fbpx

รวม 75 คำศัพท์สัตว์ภาษาอังกฤษหมวดต่างๆ น่ารู้ พร้อมคำอ่าน คำแปล

สารบัญ
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ สัตว์

รวม 75 คำศัพท์สัตว์ภาษาอังกฤษหมวดต่างๆ น่ารู้ พร้อมคำอ่าน คำแปล

คำศัพท์สัตว์ภาษาอังกฤษที่น่ารู้ น่าสนใจมีอยู่หลายคำด้วยกัน ซึ่งสามารถแยกออกไปเป็นหมวดต่างๆ ตั้งแต่หมวดสัตว์เลี้ยงและสัตว์ในฟาร์ม หมวดสัตว์ปีก หมวดสัตว์น้ำ หมวดแมลงและสัตว์เลื้อยคลาน ไปจนถึงหมวดสัตว์ป่า อาจมีคำศัพท์ภาษาอังกฤษหมวดสัตว์ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก บทความนี้ได้รวบรวมเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้สอนให้กับลูกๆ ให้ได้เรียนรู้เอาไว้เป็นความรู้ และนำไปใช้ในอนาคตต่อไปได้

คำศัพท์ภาษาอังกฤษสัตว์เลี้ยง

หมวดสัตว์เลี้ยงและสัตว์ในฟาร์ม (Pets & Farm Animals)

มาเริ่มต้นกับคำศัพท์ภาษาอังกฤษหมวดสัตว์เลี้ยงและสัตว์ในฟาร์ม ที่ถือว่าใกล้ตัวพวกเราที่สุดกัน โดยคำศัพท์สัตว์ภาษาอังกฤษเหล่านี้อาจจะคุ้นเคยและคุ้นหูไม่มากก็น้อย หรืออาจมีศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยกับน้องๆ บ้างเหมือนกัน ไปดูพร้อมกันเลยว่าจะมีคำศัพท์สัตว์ภาษาอังกฤษอะไรในหมวดนี้บ้าง

1. Buffalo

  • คำอ่าน: บั๊ฟฟะโล
  • ความหมาย: กระบือ, ควาย

2. Cat

  • คำอ่าน: แค็ท
  • ความหมาย: แมว

3. Chicken

  • คำอ่าน: ชิคคิ่น
  • ความหมาย: ไก่

4. Cow

  • คำอ่าน: คาว
  • ความหมาย: วัวตัวเมีย

5. Dog

  • คำอ่าน: ด๊อก
  • ความหมาย: สุนัข

6. Goat

  • คำอ่าน: โกท
  • ความหมาย: แพะ

7. Goldfish

  • คำอ่าน: โก๊ลดฟิช
  • ความหมาย: ปลาทอง

8. Hamster

  • คำอ่าน: แฮ็มสเตอะ
  • ความหมาย: หนูแฮมสเตอร์

9. Horse

  • คำอ่าน: ฮอซ
  • ความหมาย: ม้า

10. Ox

  • คำอ่าน: อ็อกซ
  • ความหมาย: วัวตัวผู้

11. Pig

  • คำอ่าน: พิก
  • ความหมาย: หมู

12. Rabbit

  • คำอ่าน: แร็บบิท
  • ความหมาย: กระต่าย

13. Sheep

  • คำอ่าน: ชีพ
  • ความหมาย: แกะ
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ สัตว์ปีก

หมวดสัตว์ปีก (Animals with wings)

มาต่อกันเลยที่หมวดคําศัพท์ภาษาอังกฤษของสัตว์ปีก ที่มีตั้งแต่สัตว์มีปีกทั่วไปจำพวกนกที่เราคุ้นเคยกันดี ซึ่งเป็นส่วนใหญ่คือสัตว์ปีกที่บินได้สูงลิบ โลดแล่นไปอย่างอิสระบนท้องฟ้า หรือจะเป็นประเภทของสัตว์ปีกที่บินได้แบบไม่สูงมาก แต่อย่างน้อยก็ยังมีปีกไว้บินได้เหมือนกัน ไม่ก็เป็นสัตว์ปีกที่มีปีกไว้ประดับร่างกายเฉยๆ แต่บินไม่ได้เลย จะมีเจ้าสัตว์ปีกตัวไหนอยู่ในใจ ลอยเข้ามาในหัวบ้าง แล้วจะเป็นศัพท์ภาษาอังกฤษหมวดสัตว์ปีกที่เรามานำเสนอหรือไม่นั้น ต้องลองไปดูกัน

14. Bat

  • คำอ่าน: แบ็ท
  • ความหมาย: ค้างคาว

15. Bird

  • คำอ่าน: เบิร์ด
  • ความหมาย: นก

16. Duck

  • คำอ่าน: ดัค
  • ความหมาย: เป็ด

17. Eagle

  • คำอ่าน: อี๊เกิล
  • ความหมาย: นกอินทรี

18. Goose

  • คำอ่าน: กูซ
  • ความหมาย: ห่าน

19. Hawk

  • คำอ่าน: ฮอค
  • ความหมาย: เหยี่ยว

20. Ostrich

  • คำอ่าน: อ็อสตริช
  • ความหมาย: นกกระจอกเทศ

21. Owl

  • คำอ่าน: อาวล
  • ความหมาย: นกฮูก

22. Parrot

  • คำอ่าน: แพ๊เริท
  • ความหมาย: นกแก้ว

23. Peacock

  • คำอ่าน: พี๊ค็อค
  • ความหมาย: นกยูง

24. Turkey

  • คำอ่าน: เท๊อคิ
  • ความหมาย: ไก่งวง

25. Vulture

  • คำอ่าน: วั๊ลเชอะ
  • ความหมาย: แร้ง

หมวดสัตว์น้ำ (Aquatic Animals)

จากที่ได้เหินฟ้าไปรู้จักกับคำศัพท์ภาษาอังกฤษหมวดสัตว์ปีกกันมาแล้ว ตอนนี้ตรงดิ่งแล่นฉิวลงมาในผืนน้ำ อยู่กับคำศัพท์ภาษาอังกฤษหมวดสัตว์น้ำกันบ้าง ซึ่งคำศัพท์ภาษาอังกฤษหมวดนี้จะมีทั้งสัตว์ที่อยู่ในน้ำตลอดเวลา เช่น ปลาต่างๆ หรือไม่ก็เป็นสัตว์ที่อยู่ในน้ำก็ได้และอยู่บนบกก็ได้ ราวกับมีความสามารถพิเศษ แต่ก็เป็นแค่ธรรมชาติของสัตว์ประเภทนั้นๆ เท่านั้นเอง โดยคำศัพท์ที่เรานำมาให้เรียนรู้นั้น มีแต่คำศัพท์ที่น่าสนใจมาพร้อมกับคำอ่านเลย พร้อมแล้วก็ไปรู้จักกับคำศัพท์ในหมวดนี้กัน

26. Crab

  • คำอ่าน: แครบ
  • ความหมาย: ปู

27. Crocodile

  • คำอ่าน: คร็อกคะได
  • ความหมาย: จระเข้

28. Fish

  • คำอ่าน: ฟิช
  • ความหมาย: ปลา

29. Frog

  • คำอ่าน: ฟรอก
  • ความหมาย: กบ

30. Octopus

  • คำอ่าน: อ็อคเทอะเพิส
  • ความหมาย: หมึกยักษ์

31. Seahorse

  • คำอ่าน: ซี๊ฮอส
  • ความหมาย: ม้าน้ำ

32. Seal

  • คำอ่าน: ซีล
  • ความหมาย: แมวน้ำ

33. Shark

  • คำอ่าน: ชาร์ค
  • ความหมาย: ฉลาม

34. Squid

  • คำอ่าน: สกวิด
  • ความหมาย: หมึก

35. Starfish

  • คำอ่าน: สต๊าร์ฟิช
  • ความหมาย: ดาวทะเล, ปลาดาว

36. Whale

  • คำอ่าน: เวล
  • ความหมาย: วาฬ
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ สัตว์น้ำ

หมวดแมลงและสัตว์เลื้อยคลาน (Insect and Reptile)

จากที่ได้ไปดูสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กันมาหลายหมวดแล้ว คราวนี้เป็นคำศัพท์หมวดแมลงและสัตว์เลื้อยคลานเป็นภาษาอังกฤษกันบ้าง มีตั้งแต่สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่อาจเคยเห็นในบ้านหรือตามสถานที่ทั่วไป ไปจนถึงสัตว์ขนาดกลางที่เลื้อยคลานไปมาบนพื้นดิน จะมีสัตว์อะไรที่รู้จักหรือเคยได้ยินชื่อกันมาบ้าง ไปดูคลังศัพท์ภาษาอังกฤษหมวดแมลงและสัตว์เลื้อยคลานที่น่าสนใจกันได้เลย

37. Bee

  • คำอ่าน: บี
  • ความหมาย: ผึ้ง

38. Butterfly

  • คำอ่าน: บั๊ทเทอะฟลาย
  • ความหมาย: ผีเสื้อ

39. Centipede

  • คำอ่าน: เซ็นเทอะพีด
  • ความหมาย: ตะขาบ

40. Cobra

  • คำอ่าน: โค๊บระ
  • ความหมาย: งูเห่า

41. Cockroach

  • คำอ่าน: ค็อคโรช
  • ความหมาย: แมลงสาบ

42. Dragonfly

  • คำอ่าน: แดร๊เกินฟลาย
  • ความหมาย: แมลงปอ

43. Earthworm

  • คำอ่าน: เอิร์ธเวิร์ม
  • ความหมาย: ไส้เดือน

44. Gecko

  • คำอ่าน: เก็คโค
  • ความหมาย: ตุ๊กแก

45. Grasshopper

  • คำอ่าน: กร๊าซฮ็อพเพอะ
  • ความหมาย: ตั๊กแตน

46. Lizard

  • คำอ่าน: ลิ๊เสิด
  • ความหมาย: จิ้งจก

47. Millipede

  • คำอ่าน: มิ๊ลเลอะพีด
  • ความหมาย: กิ้งกือ

48. Mosquito

  • คำอ่าน: เมิร์สกี๊โท
  • ความหมาย: ยุง

49. Mouse

  • คำอ่าน: เมาส
  • ความหมาย: หนู

50. Scorpion

  • คำอ่าน: สก๊อร์เพียน
  • ความหมาย: แมงป่อง

51. Snake

  • คำอ่าน: สเนค
  • ความหมาย: งู

52. Spider

  • คำอ่าน: สไป๊เดอะ
  • ความหมาย: แมงมุม

53. Toad

  • คำอ่าน: โทด
  • ความหมาย: คางคก

54. Turtle

  • คำอ่าน: เท๊อร์เทิล
  • ความหมาย: เต่า

55. Wasp

  • คำอ่าน: วอซพึ
  • ความหมาย: ตัวต่อ
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ สัตว์ป่า

หมวดสัตว์ป่า (Wild Animals)

นอกจากคำศัพท์ภาษาอังกฤษหมวดสัตว์ต่างๆ ที่ผ่านมมา อย่างหมวดสัตว์เลี้ยง สัตว์ในฟาร์ม สัตว์ปีก สัตว์น้ำ แมลงและสัตว์เลื้อยคลานแล้ว ยังมีคำศัพท์สัตว์อีกหมวดที่ไม่พูดถึงเลยคงไม่ได้ นั่นคือหมวดสัตว์ป่า ถึงแม้จะมองว่าสัตว์ในหมวดหมู่นี้อยู่ไกลตัวเราแต่ก็สามารถศึกษาคำศัพท์เอาไว้เป็นความรู้เพิ่มเติมได้ เนื่องจากในกรณีที่ไปสวนสัตว์หรือดูสารคดีสัตว์ป่า ก็จะได้รู้ว่าสัตว์ที่เราดู เราชมอยู่นั้น มีศัพท์ภาษาอังกฤษที่เรียกว่าอย่างไร

56. Bear

  • คำอ่าน: แบร์
  • ความหมาย: หมี

57. Bison

  • คำอ่าน: ไบ๊เซิน
  • ความหมาย: วัวป่า

58. Camel

  • คำอ่าน: แค็มเมิล
  • ความหมาย: อูฐ

59. Chimpanzee

  • คำอ่าน: ซิมเพินซี๊
  • ความหมาย: ลิงชิมแปนซี

60. Deer

  • คำอ่าน: เดียร์
  • ความหมาย: กวาง

61. Elephant

  • คำอ่าน: เอ็ลละเฟินทึ
  • ความหมาย: ช้าง

62. Fox

  • คำอ่าน: ฟ็อกซ์
  • ความหมาย: หมาจิ้งจอก

63. Giraffe

  • คำอ่าน: เจอะร๊าฟ
  • ความหมาย: ยีราฟ

64. Gorilla

  • คำอ่าน: เกอะริ๊ลละ
  • ความหมาย: ลิงกอริลล่า

65. Hippopotamus

  • คำอ่าน: ฮิบเพอะโพ๊เทอะเมิส
  • ความหมาย: ฮิปโปโปเตมัส

66. Kangaroo

  • คำอ่าน: แค็งเกอะรู๊
  • ความหมาย: จิงโจ้

67. Koala

  • คำอ่าน: โคอ๊าละ
  • ความหมาย: หมีโคอาลา

68. Lion

  • คำอ่าน: ไล๊เยิน
  • ความหมาย: สิงโต

69. Monkey

  • คำอ่าน: มั๊งคิ
  • ความหมาย: ลิง

70. Panda

  • คำอ่าน: แพ๊นดะ
  • ความหมาย: หมีแพนด้า

71. Polar bear

  • คำอ่าน: โพ๊ละร์ แบร์
  • ความหมาย: หมีขั้วโลก

72. Rhinoceros

  • คำอ่าน: ไรโน๊ซะเริส
  • ความหมาย: แรด

73. Tiger

  • คำอ่าน: ไท๊เกอะ
  • ความหมาย: เสือ

74. Wolf

  • คำอ่าน: วูล์ฟ
  • ความหมาย: หมาป่า

75. Zebra

  • คำอ่าน: สี๊บระ
  • ความหมาย: ม้าลาย

สรุป

คำศัพท์สัตว์ภาษาอังกฤษหมวดต่างๆ ที่รวบรวมมานำเสนอนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของคำศัพท์หมวดสัตว์เท่านั้น แต่ก็เป็นคำศัพท์ภาษาอังกฤษหมวดสัตว์เบื้องต้นที่อย่างน้อยควรรู้ไว้ เหมาะมากสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองที่จะนำคำศัพท์ไปสอนต่อให้กับลูกๆ ได้ เพื่อให้ลูกๆ เรียนรู้และมีความรู้จากศัพท์ตรงนี้ เพราะการให้เด็กได้รู้จักคำศัพท์ตามหมวดหมู่ มักจะทำให้เด็กเห็นภาพ จดจำคำศัพท์ได้รวดเร็วและดีกว่าการจำศัพท์โดยทั่วไปแบบไม่แบ่งหมวดหมู่

ซึ่งนอกจากการเรียนรู้คำศัพท์เฉยๆ แล้ว หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดต้องการให้ลูกๆ ได้มีความรู้รวมไปถึงทักษะทางภาษาอังกฤษต่างๆ มากยิ่งขึ้น ทั้งการฟัง การพูด การอ่าน การเขียน ก็สามารถมาเรียนได้ที่  Speak Up โดยทางเรามีเทคนิคการสอนที่น่าสนใจ มีสื่อการสอนที่ทำให้การเรียนรู้ของเด็กๆ สนุกสนานมากขึ้น ไม่ได้เรียนรู้แค่จากตำราอย่างเดียว แต่ยังมีการปฏิบัติจริงด้วย รวมถึงครูผู้สอนที่เป็นชาวต่างชาติ ที่จะทำให้ทักษะทางภาษาอังกฤษสามารถพัฒนาขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้จะช่วยให้เด็กๆ เก่งภาษาอังกฤษได้มากขึ้นแน่นอน

เทคนิคการท่องศัพท์

รวม 9 วิธีท่องศัพท์อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ท่องได้ขึ้นใจ จำได้ไม่มีลืม

ในปัจจุบันเราคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าภาษาที่สอง นอกจากภาษาบ้านเกิดของเรานั้น มีความสำคัญมากขึ้นในทุกๆ วัน เพราะภาษาได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน ซึ่งการมีคลังคำศัพท์ไว้มากๆ จะช่วยให้เราได้เปรียบในการสื่อสารและมีโอกาสเติบโตในอนาคต แต่การจะจดจำศัพท์ที่มีเป็นพันๆ คำได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย ดังนั้น เราจึงต้องมีเทคนิคการท่องศัพท์ที่เหมาะกับตัวเราและได้ผลลัพธ์ที่ดี


บทความนี้ได้รวบรวมวิธีท่องศัพท์ที่มีประสิทธิภาพ แถมยังไม่น่าเบื่อ เพื่อให้เกิดการจำในระยะยาว ซึ่งมีมาให้เลือกถึง 9 วิธี ไม่ว่าจะเป็นการใช้แฟลชการ์ด การนำศัพท์ไปใช้ ไปจนถึงการสร้างมายแมพขึ้นมา ให้คุณได้ลองหาวิธีท่องศัพท์ที่ใช่ ที่เหมาะกับตัวเอง ทิ้งการจำศัพท์แบบเดิมๆ แล้วมาสนุกกับวิธีท่องศัพท์แบบใหม่กันเถอะ

เทคนิคจำศัพท์ โดยการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

1.นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

การนำไปใช้ในชีวิตประจำวันเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด การที่เราจะเรียนรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง การลงมือปฏิบัติ หรือการนำมาใช้จริง ช่วยให้เราเข้าใจสิ่งนั้นได้เร็วขึ้น การใช้ร่างกายได้เรียนรู้ ใช้ร่างกายในการจดจำ ก็คือการได้นำคำศัพท์นั้นมาลองใช้จริง มาลองเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ รอบตัวที่ผ่านเข้ามา เห็นอะไรก็ให้ลองนึกถึงคำศัพท์นั้นหรือการลองใช้คำศัพท์นั้นในสถานการณ์ที่ได้ใช้คำนั้นจริงๆ จะยิ่งช่วยให้จดจำศัพท์คำนั้นได้แม่นขึ้น

ข้อดี

จำศัพท์ได้มากขึ้นและจำได้แม่นกว่าการท่องเฉยๆ แถมยังเข้าใจการใช้คำศัพท์นั้น เข้าใจบริบทของคำ ซึ่งจะสามารถใช้ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ จะเป็นผลดีต่อเมื่อต้องใช้พูดคุยกับเจ้าของภาษาจริงๆ และยังเป็นประโยชน์ต่อการเขียน essay หรือเรียงความภาษานั้นๆ อีกด้วย

ฝึกทักษะ ฟัง พูด อ่าน เขียน

2.ฝึกทักษะฟัง พูด อ่าน เขียน ให้ครบ

เป็นอีกวิธีที่ได้ผลเป็นอย่างมากในการเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ การฟังคำอ่านออกเสียงที่ถูกต้องในพจนานุกรมแล้วลองออกเสียงตาม ต่อด้วยเขียนลงสมุดตอนที่อ่านออกเสียงไปด้วย จะทำให้จำศัพท์ได้ดีขึ้น เพราะสมองเราจะจดจำสิ่งนั้นเชื่อมกัน

การฟังเพลงไปพร้อมๆ เนื้อเพลง ก็จะทำให้ได้คำศัพท์ใหม่ๆ และได้ท่องศัพท์ไปในตัวได้เช่นกัน หรือจะเป็นในระหว่างเดินทาง อย่างบนรถไฟฟ้า รถโดยสารประจำทาง ลองเปิด Podcasts สนุกๆ ฟังก็สามารถทำให้คุ้นเคยกับภาษานั้นได้เร็ว รวมถึงได้ฝึกฟังสำเนียงได้อีกด้วย

ข้อดี

เป็นวิธีที่ไม่น่าเบื่อ เพราะนอกจากจะไม่ใช่การท่องคำศัพท์อย่างเดียว ยังได้หลายทักษะในคราวเดียวกันด้วย การฝึกออกเสียงจะทำให้ออกเสียงได้ชัดขึ้น และเมื่อสมองได้จดจำทั้งภาพและเสียงพร้อมๆ กัน สมองจะเชื่อมโยงสิ่งนั้นเข้าด้วยกัน ส่งผลให้จำศัพท์ได้ดีขึ้นอีกด้วย

จำคำศัพท์เป็นกลุ่ม

3. จำคำศัพท์เป็นกลุ่ม

การจัดคำศัพท์ให้อยู่เป็นกลุ่ม เช่น จำคำที่มีความหมายคล้าย (Synonym) หรือคำที่มีความหมายตรงข้าม (Anyonym) เมื่อจำศัพท์นั้นไปพร้อมๆ กัน จะทำให้จำศัพท์ได้ทีละหลายๆ คำ และจำได้ดีมากยิ่งขึ้น เช่น คำว่า end, finish, complete มีความหมายว่า จบ, เสร็จสิ้น เหมือนกัน แต่ในส่วนของการจำศัพท์แบบ Synonym ต้องดูเรื่องการใช้ในบริบทต่างๆ เพราะบางคำก็ไม่สามารถใช้แทนกันได้ ต้องศึกษาความแตกต่างของคำศัพท์นั้นด้วย

ข้อดี

ช่วยให้จำได้ทีละหลายๆ คำ จะทำให้มีคลังคำศัพท์มาใช้ได้มากขึ้น และรู้ถึงความแตกต่างของคำ สามารถนำคำศัพท์นั้นๆ มาประยุกต์ใช้ได้ในหลากหลายสถานการณ์

4. จำจากรากศัพท์

ในบางภาษาการเรียนรู้คำศัพท์จากรากศัพท์จะทำให้เราสามารถเข้าใจที่มาของคำศัพท์นั้นได้ รากศัพท์แต่ละคำก็มีความหมายในตัว หากเราเข้าใจความหมายของรากศัพท์ก็จะสามารถจำศัพท์ที่มีที่มาจากรากศัพท์นั้นได้แม่นขึ้นและยังช่วยให้เราสามารถเดาความหมายคำศัพท์นั้นได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ภาษาอังกฤษ มีวิวัฒนาการมาจากภาษากรีกและภาษาละติน ที่เป็นหน่วยคำอยู่ในคำศัพท์ภาษาอังกฤษมากมาย ซึ่งนั่นก็คือรากศัพท์ เช่น mono เป็นรากศัพท์ที่แปลว่า “หนึ่ง” มาจากภาษากรีก คำที่มีรากศัพท์นี้ เช่น monotone หมายถึง การพูดในระดับเสียงเดิมตลอด หรือ คำว่า monopoly หมายถึง ผูกขาด ซึ่งหากทราบถึงรากศัพท์จะทำให้เข้าใจว่าคำนั้นมีการเชื่อมกับความหมายของรากศัพท์นั้นอย่างไรนั่นเอง

ข้อดี

เป็นวิธีที่จะช่วยให้จำศัพท์ได้มากขึ้น จากการเชื่อมความหมายของรากศัพท์ ช่วยให้เดาความหมายได้ใกล้เคียงกับความหมายจริง รวมถึงไม่จำเป็นต้องนั่งท่องศัพท์ที่ยาวๆ ยากๆ เพราะแค่รู้ความหมายของรากศัพท์ก็ได้ศัพท์ใหม่หลายคำแล้ว

จดคำศัพท์บ่อยๆ ลงโพสต์อิท

5. จดคำศัพท์บ่อยๆ ลงโพสต์อิท

เป็นวิธีที่จะช่วยจำเป็นภาพและสร้างจุดเชื่อมกันของคำศัพท์ได้ คือการเขียนคำศัพท์ลงบนโพสต์อิท แล้วจำไปแปะไว้ตามสถานที่ที่มีความหมายเกี่ยวข้องกับคำศัพท์นั้น เช่น คำว่า  Accumulate แปลว่า เพิ่มพูน นำไปติดไว้ที่กระปุกออมสิน เน้นการแปะไว้ในที่ที่เห็นได้ง่ายหรือที่ที่ต้องเดินผ่านเป็นประจำ เพื่อให้เราเห็นผ่านตาบ่อยๆ เช่น ประตูห้องนอน กระจกห้องน้ำ ตู้เย็น เป็นต้น ซึ่งจะทำให้เราคุ้นเคยกับคำศัพท์นั้นไปเองโดยธรรมชาติ

ข้อดี

เมื่อเราได้เห็นคำศัพท์บ่อยๆ สมองเราจะจดจำศัพท์ได้เองโดยไม่ต้องท่องจำ และการได้เห็นบ่อบๆ จะทำให้สมองเรียนรู้จนกลายเป็นความจำในระยะยาว ทำให้ลืมได้ยาก

6. ใช้แฟลชการ์ดช่วยจำ

เป็นวิธีที่เหมือนเป็นแบบทดสอบความจำ ซึ่งทำให้เรารู้ว่าคำไหนที่จำได้แล้วกับคำไหนที่ยังจำไม่ได้ เป็นวิธีคลาสสิกที่ได้ผลลัพธ์ที่ดี และยังสามารถพกพาไปไหนก็ได้ สะดวก นำออกมาท่องตอนไหนก็ได้ โดยแฟลชการ์ดจะเป็นกระดาษที่มีคำศัพท์ไว้ด้านนึงและคำแปลไว้อีกด้านนึง มีทั้งแบบสำเร็จรูปหรือสามารถทำแฟลชการ์ดคำศัพท์เองได้ วิธีทำนั้นก็แสนง่ายดาย

ข้อดี

วิธีนี้จะช่วยทดสอบความจำตัวเอง พอทดสอบแล้ว คำไหนที่จำไม่ได้ ก็สามารถแยกออกเป็นอีกกองนึง เพื่อที่เราจะได้โฟกัสกับคำศัพท์ที่ยังจำไม่ได้เต็มที่ ท่องตอนไหนก็ได้ และประหยัดเวลา

จำคำศัพท์โดยการเล่นเกม

7. เปลี่ยนจากการจำมาเป็นเล่นเกม

เกมนอกจากจะช่วยสร้างความบันเทิงแล้ว ยังสามารถช่วยฝึกทักษะต่างๆ เพิ่มเติมได้อีกด้วย ซึ่งก็มีหลายคนได้คำศัพท์ใหม่ๆ จากการเล่นเกม ไม่ว่าจะเป็นเกมออนไลน์ เกมเนื้อเรื่อง ที่มีการพูดคุยกันเป็นภาษาอื่นๆ 

 

ยังมีเกมคลาสสิกที่เป็นเกมสำหรับฝึกภาษาโดยเฉพาะด้วยเช่นกัน 

เช่น เกมจับคู่คำศัพท์กับความหมาย, Hangman, Crossword หรือเกมจากแอปพลิเคชันก็สนุกไม่แพ้กัน แถมเล่นที่ไหนก็ได้ เช่น Ruzzle เกมปริศนาคำศัพท์

ข้อดี

ช่วยทำให้การท่องศัพท์เฉยๆ ไม่น่าเบื่อ เกมจะช่วยให้รู้จักผ่อนคลายมากขึ้น ไม่เครียดกับการท่องศัพท์จนเกินไป และจะช่วยให้มีแรงใจในการเริ่มต้นท่องศัพท์ ได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ ต่อได้อีก

หมั่นท่องศัพท์อย่างสม่ำเสมอ

8. หมั่นท่องศัพท์อย่างสม่ำเสมอ

สิ่งสำคัญที่สุดคือความขยัน ความสม่ำเสมอ ไม่ว่าวิธีท่องศัพท์นั้นจะดีแค่ไหน แต่หากไม่ฝึกฝนเป็นประจำก็มีโอกาสที่จะลืมได้ การเรียนรู้คำศัพท์หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทุกอย่างต้องใช้เวลา และให้เวลากับตัวเองในการทำความคุ้นเคยกับการเรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆ พยายามท่องคำศัพท์ให้ได้ในทุกๆ วัน แม้ว่าจะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ อย่างนั่งรอรถเพราะในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นก็สามารถทำให้ท่องศัพท์ไปได้ไม่น้อยเลย หากเห็นคำศัพท์นั้นเป็นประจำ สมองก็จะเรียนรู้คำศัพท์นั้นไปจนทำให้เราจำศัพท์นั้นได้ขึ้นใจ ไม่มีวันลืมนั่นเอง

 

ดังนั้น เราอาจจะกำหนดช่วงเวลาสำหรับการทบทวนคำศัพท์ออกเป็นช่วงๆ อย่างทบทวนหลังเรียนเสร็จทันที ทบทวนหลังเรียนไปแล้ว 24 ชั่วโมง ทบทวนหลังจากนั้น 1 สัปดาห์ ทบทวนหลังจากนั้น 1 เดือน ซึ่งการแบ่งช่วงเวลาเหล่านั้น จะช่วยลดการสูญเสียความจำจากสิ่งที่เรียนรู้ไปได้

ข้อดี

สร้างความทรงจำในระยะยาวได้ ช่วยให้สามารถจำสิ่งที่เรียนรู้และเข้าใจสิ่งนั้น เมื่อได้ให้เวลาและความสม่ำเสมอสมองจะจดจำ โอกาสลืมคำศัพท์ก็จะน้อยลงด้วย

ใช้มายแมพช่วยในการท่องศัพท์

9. ใช้มายแมพเข้าช่วย

Mind map คือสิ่งที่จะช่วยให้ได้เข้าใจคำศัพท์นั้นได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการเชื่อมโยงระหว่างคำและบริบทของคำเหล่านั้นสามารถเพิ่มรูปภาพได้ เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น จะจดจำได้ง่ายขึ้น มายแมพจะคอยช่วยให้เราจัดระเบียบความได้ ผ่านการเชื่อมโยง โดยจะมีการแตกย่อยลงไปในรายละเอียด ทำให้เห็นภาพรวมของคำศัพท์ได้ชัดเจนกว่าการท่องเฉยๆ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยจัดลำดับความยากง่ายของคำศัพท์ ซึ่งจะช่วยในเรื่องการค่อยๆ เรียนรู้และทบทวนได้ง่าย การจัดกลุ่มคำที่เกี่ยวข้องกัน จะทำให้เราจดจำมันได้ดีขึ้น

มายแมพนั้นสร้างขึ้นได้ง่ายมาก โดยอาจจะเขียนลงสมุดหรือบน Note iPad หรือ Post it ก็ได้ เพียงแค่มีพื้นที่สำหรับการใส่คำศัพท์ แล้วเริ่มสร้างมายแมพได้เลย โดยมีวิธีดังนี้

  • วางกระดาษเป็นแนวนอนหรือหันอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้เป็นแนวนอน เพื่อให้มีพื้นที่ในการเติมคำศัพท์ลงไป
  • วาดรูปหรือวาดกรอบตรงกลาง เพื่อใส่หัวข้อหลักของคำศัพท์ เช่น หมวดหมู่ของกิน หมวดหมู่คำกิริยา เป็นต้น
  • พอได้หัวข้อหลักมาแล้ว ก็แตกแยกหมวดหมู่ย่อยออกมาจากหัวข้อหลัก เช่น ในกรณีที่เป็นหัวข้อ Food หมวดหมู่ที่แยกออกมาอาจจะเป็น Thai Food, Italy Food เป็นต้น
  • หลังจากนั้นให้ลากเส้นออกจากหัวข้อหลัก ใช้หมวดหมู่ย่อยสร้างกล่องข้อความ แล้ววาดเส้นเพิ่มเติมเพื่อเชื่อมโยงไปยังคำศัพท์ใหม่ๆ

ข้อดี

ช่วยจับประเด็นสำคัญได้ดี อันมาจากการแยกหมวดหมู่ ทำให้เห็นภาพและเข้าใจได้ง่ายขึ้น เห็นลำดับความสำคัญ มีคำที่ยากและคำที่ง่าย ทำให้ท่องศัพท์ได้เป็นระบบจากหัวข้อหลักไปยังหัวข้อย่อย

สรุป

แต่ละคนก็มีความสามารถในการจดจำต่างกัน เทคนิคการท่องศัพท์จึงต่างกันด้วย ตามสไตล์ของตัวเอง 9 เทคนิคที่ได้กล่าวถึงไป สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม ตามความชอบของผู้ที่ต้องการจำศัพท์ได้ ในแต่ละวิธีก็จะมีข้อดี ข้อเสียต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการนำคำศัพท์ไปใช้จริงที่จะสามารถทำให้จำศัพท์ได้ในระยะยาวผ่านการลองใช้ในสถานการณ์จริง การใช้แฟลชการ์ดที่ช่วยให้จำศัพท์ได้มาก รวมไปถึงการจำศัพท์ด้วย มายแมพเองก็ดี ที่จะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของคำศัพท์ที่แตกแยกย่อยออกมา ซึ่งเป็นวิธีที่แนะนำสำหรับผู้ที่กำลังเริ่มจำศัพท์ เพราะจะทำให้เห็นภาพและรู้ถึงความหมายอื่นๆ เพิ่มเติม จะได้คำศัพท์มากขึ้นและเข้าใจบริบทของมัน 

 

ซึ่งที่ Speak Up เองก็มีเทคนิคจำคำศัพท์ต่างๆ ที่จะช่วยให้การจำศัพท์ของเด็กๆ มีประสิทธิภาพด้วยเช่นกัน หากผู้ที่กำลังสนใจเรียนรู้คำศัพท์หรือผู้ปกครองอยากให้ลูกๆ หลานๆ มีทักษะภาษาอังกฤษที่ดีขึ้น ก็สามารถมาเรียนที่ Speak Up ได้

แต่นอกจากวิธีจำศัพท์ ในการเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ เพื่อให้จดจำได้ ต้องอาศัยความสม่ำเสมอด้วยเช่นกัน

รวมมิตร 50 คำศัพท์ภาษาจีนในชีวิตประจำวัน ได้นำไปใช้บ่อยแน่นอน

รวมมิตร 50 คำศัพท์ภาษาจีนในชีวิตประจำวัน ได้นำไปใช้บ่อยแน่นอน

ภาษาจีนเป็นภาษาที่ถ้าจำศัพท์ไว้ ก็สามารถนำไปใช้ได้ไม่ยาก ในการฝึกภาษาจีนช่วงแรก อาจจะเริ่มจากการพูดหรือการอ่านคำศัพท์ภาษาจีน โดยฝึกจากคำศัพท์สั้นๆ ง่ายๆ โดยเลือกคำศัพท์จากสิ่งรอบตัวก่อนหรือเลือกเป็นคำศัพท์ภาษาจีนที่ใช้ในชีวิตประจำวันก็ได้ เพื่อให้ค่อยๆ พัฒนาความจำ การเรียนรู้ ให้คล่องจนไปสู่ขั้นต่อไปได้ อย่างเช่น การพูดหรือการเขียน ที่ฝึกบ่อยๆ จนสามารถทำได้คล่องกว่าเดิม 

ในปัจจุบันภาษาจีนถือเป็นอีกหนึ่งภาษาที่คนต่างนิยมใช้กันเป็นอย่างมาก จนเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งภาษาที่ 3 ที่คนนึกถึงรองจากภาษาอังกฤษเลยก็ว่าได้ เลยทำให้ใครหลายๆ คน เริ่มหันมาศึกษาคำศัพท์ภาษาจีนหรือเริ่มสนใจเรียนภาษาจีนกันมากขึ้น รวมถึงผู้ปกครองบางท่าน ก็เริ่มอยากให้ลูกๆ ได้ฝึกหรือเริ่มเรียนคำศัพท์ภาษาจีนเช่นกัน 

ในบทความนี้เลยได้รวบรวม 50 คำศัพท์ ภาษาจีนที่รู้ไว้แล้วได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันแน่นอน รวมถึงเกร็ดเล็ก เกร็ดน้อยในการใช้คำศัพท์ อีกทั้งคำศัพท์ภาษาจีนที่รวบรวมมาก็เป็นคำศัพท์ภาษาจีนง่ายๆ ที่สามารถฝึกพูดได้ทุกวันอีกด้วย

50 คำศัพท์ภาษาจีนในชีวิตประจำวัน ได้นำไปใช้บ่อยแน่นอน

1. 你好

  • Pinyin: nĭ hăo 
  • คำอ่านภาษาไทย: หนีห่าว
  • ความหมาย: สวัสดี (เป็นคำทักทายที่นิยมใช้กับบุคคลทั่วไป ส่วนมากจะนิยมใช้กันใน กลุ่มเพื่อน คนสนิท หรือคนอายุใกล้เคียงกัน)

2. 好

  • Pinyin: hǎo 
  • คำอ่านภาษาไทย: ห่าว 
  • ความหมาย: ดี

3. 再见

  • Pinyin: zàijiàn    
  • คำอ่านภาษาไทย: จ้ายเจี้ยน
  • ความหมาย: ลาก่อน, พบกันใหม่, ไว้พบกันอีก (เป็นคำบอกลาที่ใช้บ่อยที่สุดในภาษาจีน)

4. 我

  • Pinyin: wǒ    
  • คำอ่านภาษาไทย: หว่อ
  • ความหมาย: ฉัน, ผม (เป็นคำที่ใช้เรียกแทนตนเอง)

5. 你

  • Pinyin: nǐ     
  • คำอ่านภาษาไทย: หนี่
  • ความหมาย: คุณ, เธอ (เป็นคำที่ใช้เรียกฝ่ายตรงข้ามหรือคู่สนทนา)

6. 您

  • Pinyin: nín    
  • คำอ่านภาษาไทย: หนิน
  • ความหมาย: คุณ, ท่าน (คำพูดแบบสุภาพที่ให้เกียรติคนที่อายุเยอะกว่า)

7. 爸爸

  • Pinyin: bàba  
  • คำอ่านภาษาไทย: ป้าปะ
  • ความหมาย: พ่อ

8. 妈妈

  • Pinyin: māma  
  • คำอ่านภาษาไทย: มามะ
  • ความหมาย: แม่

9. 我们

  • Pinyin: wǒmen  
  • คำอ่านภาษาไทย: หว่อเมิน
  • ความหมาย: พวกเรา (ใช้พูดถึงกลุ่มบุคคลเดียว ไม่รวมกลุ่มบุคคลอื่น)

10. 叫

  • Pinyin: jiào    
  • คำอ่านภาษาไทย: เจี้ยว
  • ความหมาย: มีชื่อว่า, เรียกชื่อว่า (ส่วนมากจะอยู่ในรูปแบบประโยคบอกเล่า เอาไว้ใช้กับการแนะนำตัวเอง เช่น ผมชื่อ ฉันชื่อ)
50 คำศัพท์ภาษาจีนในชีวิตประจำวัน ได้นำไปใช้บ่อยแน่นอน

11. 名字

  • Pinyin: míngzi   
  • คำอ่านภาษาไทย: หมิงจึ
  • ความหมาย: ชื่อ, ชื่อจริง (การใช้คำจะคล้ายกับคำว่า 叫 ( jiào เจี้ยว) ที่แปลว่า มีชื่อว่า แต่ส่วนมากคำว่า 名字 (หมิง จึ) จะอยู่ในรูปแบบประโยคคำถาม เช่น 你叫什么名字 ? (nǐ jiào shénme míngzì? หนี่ เจี้ยว เฉินเมอะ หมิงจึ แปลว่า คุณชื่ออะไร)

12. 什么

  • Pinyin: shénme   
  • คำอ่านภาษาไทย: เฉินเมอะ
  • ความหมาย: อะไร (ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปประโยคคำถาม ใช้แสดงความสงสัย)

13. 高兴

  • Pinyin: gāoxìng   
  • คำอ่านภาษาไทย: เกาซิ่ง
  • ความหมาย:  ดีใจ, พอใจ, มีความสุข, ตื่นเต้น  (ใช้แสดงอารมณ์หรืออาการดีใจ)

14. 认识

  • Pinyin: rènshi   
  • คำอ่านภาษาไทย: เริ่นซึ
  • ความหมาย: รู้, รู้จัก, รับรู้, ความรู้, ความเข้าใจ (ใช้ได้กับสิ่งที่คุ้นเคยหรือว่ารู้จัก ไม่ว่าจะเป็นคน, สิ่งของ และสถานที่)

15. 不

  • Pinyin: bù   
  • คำอ่านภาษาไทย: ปู้
  • ความหมาย: ไม่ (ใช้ในรูปประโยคปฏิเสธ มักใช้กับเหตุการณ์ในปัจจุบันและอนาคต)

16. 对不起

  • Pinyin: duìbùqǐ  
  • คำอ่านภาษาไทย: ตุ้ยปู้ฉี่
  • ความหมาย: ขอโทษ

17. 没关系

  • Pinyin: méiguānxi  
  • คำอ่านภาษาไทย: เหมยกวนซี
  • ความหมาย: ไม่เป็นไร (ใช้ตอบรับกับคำกล่าวขอบคุณหรือคำขอโทษ)

18. 人

  • Pinyin: Rén  
  • คำอ่านภาษาไทย: เหริน
  • ความหมาย: คน (เขียนต่อท้ายชื่อประเทศ จะมีความหมายว่า สัญชาติ)

19. 有

  • Pinyin: Yǒu  
  • คำอ่านภาษาไทย: โหย่ว
  • ความหมาย: มี

20. 几

  • Pinyin: Jǐ   
  • คำอ่านภาษาไทย: จี๋
  • ความหมาย: กี่, เท่าไร (ใช้ในประโยคคำถาม เช่น การถามจำนวนที่ต้องการทราบ)
50 คำศัพท์ภาษาจีนในชีวิตประจำวัน ได้นำไปใช้บ่อยแน่นอน

21. 吃

  • Pinyin: chī   
  • คำอ่านภาษาไทย: ชือ
  • ความหมาย: กิน, รับประทาน

22. 面条

  • Pinyin: miàntiáo   
  • คำอ่านภาษาไทย: เมี่ยนเถียว
  • ความหมาย: ก๋วยเตี๋ยว

23. 鸡蛋

  • Pinyin: jīdàn  
  • คำอ่านภาษาไทย: จีต้าน
  • ความหมาย: ไข่

24. 去

  • Pinyin: qù  
  • คำอ่านภาษาไทย: ชวี่
  • ความหมาย: ไป

25. 食堂

  • Pinyin: shítáng  
  • คำอ่านภาษาไทย: สือถัง
  • ความหมาย: โรงอาหาร, ห้องอาหาร

26. 吃饭

  • Pinyin: chīfàn  
  • คำอ่านภาษาไทย: ชือฟ้าน
  • ความหมาย: กินข้าว

27. 喝

  • Pinyin: hē  
  • คำอ่านภาษาไทย: เฮอ
  • ความหมาย: ดื่ม, ซด

28. 牛奶

  • Pinyin: niúnǎi  
  • คำอ่านภาษาไทย: หนิวไหน่
  • ความหมาย: นมวัว (แต่ถ้าวางคำสลับกันจะเป็นคำว่า 奶牛 (nǎiniú ไหน่หนิว) ที่แปลว่า วัวนม)

29. 茶

  • Pinyin: chá 
  • คำอ่านภาษาไทย: ฉา
  • ความหมาย: ชา

30. 咖啡

  • Pinyin: kāfēi 
  • คำอ่านภาษาไทย: คาเฟย
  • ความหมาย: กาแฟ
50 คำศัพท์ภาษาจีนในชีวิตประจำวัน ได้นำไปใช้บ่อยแน่นอน

31. 今天

  • Pinyin: jīntiān 
  • คำอ่านภาษาไทย: จินเทียน
  • ความหมาย: วันนี้, ปัจจุบันนี้, ขณะนี้ (หากเขียนแยกเป็น 天 (tiān เทียน) จะแปลว่า วัน ใช้ได้ในหลายความหมายเช่น เมื่อวาน, วันนี้, พรุ่งนี้ เป็นต้น)

32. 明天

  • Pinyin: míngtiān 
  • คำอ่านภาษาไทย: หมิงเทียน
  • ความหมาย: พรุ่งนี้

33. 星期

  • Pinyin: xīngqi  
  • คำอ่านภาษาไทย: ซิงชี
  • ความหมาย: สัปดาห์ (หากใช้นำหน้าตัวเลขในภาษาจีน ก็จะหมายถึงวันต่างๆ เช่น วันจันทร์, วันอังคาร, วันพุธ เป็นต้น)

34. 几点

  • Pinyin: jǐdiǎn 
  • คำอ่านภาษาไทย: จี๋เตี่ยน
  • ความหมาย: กี่โมง (ใช้ในการถามเกี่ยวกับช่วงเวลา)

35. 这

  • Pinyin: zhè 
  • คำอ่านภาษาไทย: เจ้อ
  • ความหมาย: นี่, นี้

36. 那

  • Pinyin: nà 
  • คำอ่านภาษาไทย: หน้า
  • ความหมาย: ที่นั่น, ที่นู้น, ที่โน่น (เป็นคำใช้ชี้ระยะใกล้ ไกล)

37. 的

  • Pinyin: de 
  • คำอ่านภาษาไทย: เตอะ
  • ความหมาย: ของ, ที่, ซึ่ง, อัน (ใช้เป็นคำเชื่อมประธาน ของรูปประโยค กับ คน สัตว์ สิ่งของ ต่างๆ)

38. 知道

  • Pinyin: zhīdào 
  • คำอ่านภาษาไทย: จือเต้า 
  • ความหมาย: รู้, ทราบ, เข้าใจ (ใช้ได้กับสิ่งที่คุ้นเคยหรือว่ารู้จักกันแค่เพียงผิวเพิน ไม่ว่าจะเป็นคน, สิ่งของ และสถานที่)

39. 不是

  • Pinyin: búshì 
  • คำอ่านภาษาไทย: ปู๋ชื่อ
  • ความหมาย: ไม่ใช่

40. 谁

  • Pinyin: shuí
  • คำอ่านภาษาไทย: เสย
  • ความหมาย: ใคร
50 คำศัพท์ภาษาจีนในชีวิตประจำวัน ได้นำไปใช้บ่อยแน่นอน

41. 可以

  • Pinyin: kěyǐ 
  • คำอ่านภาษาไทย: เขออี่ 
  • ความหมาย: สามารถ, ความสามารถ (อาจจะใช้ในกรณี การขออนุญาตทำบางสิ่งบางอย่าง, การอนุญาตให้ทำบางสิ่งบางอย่าง)

42. 一点

  • Pinyin: yìdiǎn 
  • คำอ่านภาษาไทย: อี้เตี่ยน
  • ความหมาย: นิดหน่อย, เล็กน้อย, กว่านี้อีกหน่อย (ส่วนมากจะใช้เป็นคำบอกจำนวน)

43. 谢谢

  • Pinyin: xièxie 
  • คำอ่านภาษาไทย: เซี่ยเซีย
  • ความหมาย: ขอบคุณ

44. 不用谢

  • Pinyin: bùyòngxiè
  • คำอ่านภาษาไทย: ปู๋ย่งเซี่ย
  • ความหมาย:  ด้วยความยินดี, ไม่เป็นไร, ไม่ต้องขอบคุณ (ใช้ตอบรับคำขอบคุณเท่านั้น)

45. 要

  • Pinyin: yào
  • คำอ่านภาษาไทย: เย่า
  • ความหมาย: ต้องการ, อยาก

46. 吗

  • Pinyin: ma
  • คำอ่านภาษาไทย: มะ
  • ความหมาย: ไหม, หรือไม่ (คำที่ไว้ใช้ต่อท้ายประโยคคำถามหรือประโยคปฏิเสธ)

47. 很

  • Pinyin: hěn 
  • คำอ่านภาษาไทย: เหิ่น
  • ความหมาย: มาก

48. 是

  • Pinyin: shì 
  • คำอ่านภาษาไทย: ซื่อ
  • ความหมาย: เป็น, คือ, ใช่, รับ (การแปลจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์)

49. 和

  • Pinyin: Hé 
  • คำอ่านภาษาไทย: เหอ
  • ความหมาย: กับ, และ (ใช้สำหรับเชื่อมวลีหรือประโยค และใช้เชื่อมเฉพาะคำนามกับคำนามเท่านั้น)

50. 一起

  • Pinyin: yìqǐ  
  • คำอ่านภาษาไทย:  อี้ฉี
  • ความหมาย: ด้วยกัน, พร้อมกัน, พร้อมเพรียงกัน

นี่เป็น 50 คำศัพท์ภาษาจีนที่นำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวันได้ แต่ก็ยังสามารถเรียนรู้คำศัพท์ภาษาจีนอื่นๆ เพิ่มเติมได้อีกเพื่อเพิ่มทักษะในการฟัง พูด อ่านเขียน ซึ่งหากฝึกคำศัพท์ภาษาจีนบ่อยๆ ก็จะทำให้มีความชำนาญ ช่วยส่งเสริมความจำและการเรียนรู้ ส่งผลเรื่องของการสื่อสาร ที่สามารถนำภาษาจีนไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ในการฝึกอาจจะหาแบบฝึกหัดคำศัพท์ภาษาจีนง่ายๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มลำดับขั้นของการเรียนได้ หรือจะเลือกเรียนที่โรงเรียนสอนภาษาโดยเฉพาะเพื่อให้ได้การเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน ตลอดจนทำให้ใช้ภาษาได้ดียิ่งขึ้น 

สำหรับผู้ปกครองที่สนใจอยากพาลูกๆ มาเรียนภาษาจีน Speak Up ก็มีการสอนภาษาจีน เพื่อให้ได้ทักษะที่ดีและมีประสิทธิภาพ สอนโดยครูผู้มีประสบการณ์ ช่วยให้ลูกๆ ได้เรียนรู้คำศัพท์ภาษาจีนได้ง่ายๆ สามารถนำภาษาจีนไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ใช้ต่อยอดกับการเรียน การสอนที่โรงเรียน ทำให้มีความรู้ทางภาษาจีนเพิ่มขึ้นได้

minecraft coding

Minecraft Coding เสริมสร้างจินตนาการ สานฝันโปรแกรมเมอร์ตัวน้อย

คุณพ่อคุณแม่หลายคนคงอยากให้ลูกฝึกทักษะ hard skill ตั้งแต่เด็ก เพราะเป็นวัยที่จดจำและเรียนรู้ได้เร็ว โดยเฉพาะการเขียนโปรแกรม ที่เป็นการเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์แก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการใช้ชีวิต 


บทความนี้จะมาแนะนำ ว่า Minecraft coding คืออะไร เรียนแล้วเจ้าตัวน้อยจะได้ทักษะอะไรบ้าง มีประโยชน์ที่สามารถนำไปสู่การพัฒนาต่อยอดไปยังหลายๆ อาชีพที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในอนาคตได้อย่างไรบ้าง

minecraft coding คืออะไร

minecraft coding คืออะไร

Minecraft coding คือ การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาโค้ด  มีหน้าตาเป็นกล่องสี่เหลี่ยม เป็นสื่อการเรียนการสอนผ่านเกมส์แบบเปิดกว้าง (open world) เติมเต็มจินตนาการพร้อมการเรียนไปด้วย นักเรียนสามารถปรับแต่งได้ตามใจชอบในรูปแบบของตนเอง ให้การเรียนเขียนโค้ดสนุกสนานมากขึ้นนั่นเอง

ทำไม minecraft coding จึงเหมาะกับการเรียนรู้ของเด็ก

Minecraft education  เหมาะกับเด็กที่มีอายุ 5-15 ปี ซึ่งเป็นวัยแห่งจินตนาการ เต็มไปด้วยไอเดียแปลกใหม่ อยากรู้อยากลอง โดยเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมในการลงมือปฏิบัติจริง วิเคราะห์สถานการณ์และหาทางออกเอาชนะอุปสรรค

แพลตฟอร์มนี้จะช่วยเพิ่มทักษะพื้นฐานด้านการเขียนภาษา coding นอกจากนี้ยังฝึกการคิดที่เป็นระบบ มีตรรกะ เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับโปรแกรมและเทคโนโลยี นำไปต่อยอดการเรียนสู่อาชีพต่างๆ ในอนาคต

minecraft coding skill

Skill ที่เด็กๆ จะได้จากการเรียน

Skill ที่น้องๆ จะได้ผ่านการเรียนรู้แบบ Play-based Learning ทั้งเพลิดเพลินจากการเรียนเขียนโค้ด มีดังนี้

Computational thinking

Computational thinking เป็นทักษะส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กในการใช้ความคิดตัดสินใจ การแก้ปัญหาด้วยตนเองในชีวิตประจำวันหรือการทำงานได้ อาชีพที่จำเป็นต้องมีทักษะนี้มีอยู่หลายอาชีพ เช่น นักวิทยาศาสตร์ โปรแกรมเมอร์ คุณหมอ ทนายความ นักบัญชี หรือแม้แต่ทำธุรกิจค้าขาย การเรียน Minecraft Coding  จะฝึกทักษะการคิดเชิงระบบ โดยอาศัยการวิเคราะห์ในการแก้ไขปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ ตรรกะ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการเรียนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์

Grit

Grit คือ พลังแห่งความพยายามค้นหาด้วยตัวเอง โดยการลองผิดลองถูก มีความอดทน เห็นได้ชัดว่าทักษะนี้เป็นทักษะของหลายๆ อาชีพ ไม่ว่าจะเป็น เหล่าบรรดานักวิทยาศาสตร์ นักเขียน หรือแม้แต่นักกีฬา ทักษะนี้จะค่อยๆ เปลี่ยนพฤติกรรมของเด็กๆ ให้กลายเป็นคนที่มีความตั้งใจแน่วแน่ รู้จักหาคำตอบหรือทำอะไรก็ตามแต่ให้ประสบความสำเร็จ ด้วยความรักและความมานะ เป็นผลให้สามารถทำสิ่งๆ นั้นได้ในระยะยาว

Curiosity

Curiosity หรือความอยากรู้อยากเห็น ขี้สงสัย รู้จักตั้งข้อสังเกตจากสิ่งรอบตัว พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เสมอ อาชีพที่จำเป็นต้องมีทักษะนี้ ได้แก่ นักวิทยาศาสตร์ นักข่าว นักเขียนโปรแกรม นักวิศวะ เป็นต้น

 

ทักษะนี้จะส่งเสริมให้เด็กรู้จักใฝ่รู้ในสิ่งต่างๆ และหาคำตอบเพื่อแก้ข้อสงสัยของตนเองผ่านการวิเคราะห์และประเมินจากข้อมูล

วิธีการสอน minecraft coding

วิธีการสอน

ลักษณะวิธีการสอนเป็นแบบ Mission Base Learning โดยสร้างบรรยากาศใกล้เคียงเสมือนการใช้ชีวิตจริงผ่านการลงมือทำ ไม่เพียงแค่ท่องจำบทเรียนเหมือนในห้องเรียนธรรมดา น้องๆ จะได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดและหาทางแก้ไขปัญหานั้นด้วยตนเอง นอกจากนี้ ยังได้ทักษะด้านวิศวกรรมในการออกแบบหุ่นยนต์ การคำนวนระยะทาง การเคลื่อนไหว และ น้องๆ จะได้ฝึกเรียนรู้ ภาษา Lua ซึ่งเป็นภาษาที่สำคัญในการเขียนโค้ดดิ้งอีกด้วย

ภาษา lua คืออะไร

ภาษา Lua คืออะไร

ภาษา Lua หรือ ลูอา เป็นหนึ่งในภาษาโปรแกรมที่คอยทำหน้าที่แปลคำสั่งแบบโต้ตอบ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเขียนภาษาโปรแกรมที่มีความยืดหยุ่น ไม่ซับซ้อน มาในรูปแบบของสคริปต์ เป็นภาษาที่ใช้พื้นที่ขนาดเล็ก เลยทำให้เข้าใจง่ายในการนำไปใช้อธิบายข้อมูล 

ซึ่งเป็นภาษาที่สำคัญในการเขียนโค้ด minecraft หรือโค้ดอื่นๆ เบื้องต้น เช่นเดียวกับการเขียนเกม

ประโยชน์ของ minecraft coding

ประโยชน์ของการเรียนเขียนโปรแกรมตั้งแต่เด็ก

ประโยชน์ของการเรียนเขียนโปรแกรม Minecraft education ตั้งแต่เด็กมีดังนี้

  • ช่วยดึงศักยภาพที่มีอยู่ออกมา กล้าคิดกล้าทำ
  • แก้ปัญหาจากสิ่งใหม่ๆ หรือมีการเปลี่ยนแปลงได้
  • ฝึกการคิดแบบ systematic กระบวนการวิเคราะห์ตามลำดับอย่างเป็นเหตุเป็นผล
  • เป็นคนใฝ่รู้ รู้จักหาคำตอบด้วยตนเอง
  • มีความพยายามและมุมานะ เพื่อให้ประสบผลสำเร็จ
  • เสริมทักษะจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์
  • มีทักษะด้านวิศวกรรม ในการออกแบบหุ่นยนต์ให้ทำตามคำสั่ง
  • มีทักษะด้านคณิตศาสตร์และเรขาคณิตจากการคำนวณ

สรุป

Minecraft coding ต่างจากการเขียนโค้ดแบบอื่น ที่มีความสนุกสนานและท้าทายในการแก้ปัญหา ออกแบบที่สามารถทดลองหยิบจับและสัมผัสได้จริง ไม่ใช่การเพียงการท่องจำ การที่ได้เรียนรู้ตั้งแต่เด็กจะช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ ออกจากกรอบเดิมๆ  Speak Up Language Center มีคอร์ส minecraft coding สำหรับเด็กตั้งแต่อายุ 5-15 ปี ที่ต้องการเรียนและฝึกการเขียนโปรแกรม script เบื้องต้น ออกแบบและวางแผนเกมด้วยตัวเอง ช่วยให้ฝึกการคิดเป็นขั้นเป็นตอนและประมวลผล ผ่านการสอนแบบ Game base learning ให้การเรียนสนุก ไม่น่าเบื่อหรือจำเจอีกต่อไป

growth mindset

Growth Mindset ปรับมุมมอง สอนให้ลูกเติบโตขึ้นอย่างมีความสุข

แน่นอนเลยว่า สำหรับคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย ก็ย่อมจะคาดหวังให้ลูกรัก ประสบทุกความสำเร็จ และสามารถใช้ชีวิตได้ด้วยตนเองอย่างมีความสุข ซึ่งทุกอย่างสำหรับการฝึก ก็จะต้องเริ่มต้นจากคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่เรียกได้ว่าเป็นส่วนสำคัญ หากเปรียบลูกเป็นเสมือนต้นไม้ พ่อกับแม่ก็เป็นเสมือนรากไม้ ที่คอยส่งเสริมให้ลูกเติบโต คอยปลูกฝังแนวคิดที่ดีให้แก่ลูก โดยการที่เด็กน้อยคนหนึ่ง จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ก็ไม่ได้เกิดมาจากความฉลาดแค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่การที่จะประสบความสำเร็จก็จะต้องเกิดจากความพยายาม ความนับถือตนเอง ความมุ่งมั่นตั้งใจ รวมไปถึงการมี Growth Mindset ด้วยนั่นเอง

Growth Mindset เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแนวคิดที่น่าสนใจ ช่วยพัฒนาทั้งความคิด และการใช้ชีวิตได้เป็นอย่างดี แม้ว่าคุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจจะมองว่า การเลี้ยงลูกให้มี Growth Mindset อาจจะเป็นเรื่องที่ยาก แต่ถ้าหากมีความหวังดีต่อลูก ไม่มีอะไรที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนทำไม่ได้ การเลี้ยงลูกให้มี Growth Mindset ก็เช่นเดียวกัน คุณพ่อคุณแม่หลายคนก็สามารถทำได้ หากเข้าใจถูกต้อง ก่อนอื่นต้องตามไปทำความรู้จักกับ Growth Mindset คืออะไร ทำไมจึงมีความสำคัญ แล้วสามารถสร้างแนวคิดให้แก่ลูกน้อยก้าวเข้าสู่ความสำเร็จ มีคุณภาพชีวิตที่ดี ใช้ชีวิตมีความสุขได้อย่างไร ไปดูกันได้เลย

growth mindset คืออะไร

Growth Mindset คืออะไร สำคัญต่อเด็กอย่างไร

Growth Mindset คือ แนวคิดที่เชื่อกันว่า เด็กทุกคนนั้นสามารถที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน หากเด็กมีความตั้งใจ มีความพยายาม และไม่ยอมแพ้ เนื่องจากความสามารถต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านไหนก็ตาม ซึ่งไม่ได้เกิดมาจากการมีพัฒนาการทางสมองที่ดีเพียงอย่างเดียว แต่จะเกิดมาจากความมุ่งมั่น การพัฒนา และการทำซ้ำๆ นอกจากนี้ สิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดก็คือการมีทัศนคติ ที่บอกว่าทุกความล้มเหลวเป็นแค่เพียงหนทางแห่งการเรียนรู้

แนวคิด Growth Mindset มีความสำคัญต่อเด็กมากๆ หากเด็กมีวิธีคิดตามแนวคิด Growth Mindset จะทำให้เด็กกลายเป็นเด็กที่ชอบการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ กล้าที่จะเผชิญกับปัญหาทุกปัญหา ไม่ย่อท้อต่อสิ่งต่าง ๆ พยายามจนกว่าจะสำเร็จ จนทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ง่าย

หลักของ Growth Mindset

หลักของ Growth Mindset เชื่อกันว่าความสามารถของทุกคน สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ทุกช่วงเวลา ผ่านความพยายาม การเรียนรู้ และการไม่ยอมแพ้ แม้จะตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก หรืออยู่ท่ามกลางสภาวะที่ไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร หากเรียนรู้ พยายาม และไม่ยอมแพ้ แล้วทุกอย่างจะผ่านไปได้

สิ่งที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับ growth mindset

สิ่งที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Growth Mindset

ถ้าหากลองเข้าไปค้นหาคำว่า Growth Mindset เชื่อเลยว่าท่านจะพบคำอธิบายที่คล้ายกันมากมาย เมื่อบังเอิญเข้าไปอ่านแล้ว รู้สึกว่าฟังแล้วก็ดูดี ก็ไม่เห็นจะมีอะไรมากกว่านี้ เข้าใจได้ ก็คือให้คิดบวก คิดไปในทางที่ดีแบบโลกสวยไว้ก่อน ซึ่งถ้าหากท่านรู้สึกแบบนี้ แปลว่าท่านยังไม่เข้าถึงแก่นของ คำนิยาม Growth Mindset ด้วย 3 สิ่งที่หลายคนมักจะเข้าใจผิด ถ้าหากยังไม่รู้จักเกี่ยวกับ Growth Mindset แบบดีพอ ซึ่ง 3 สิ่งนี้ จะมีอะไรกันบ้าง ตามไปทำความเข้าใจกันได้เลย

Growth Mindset คือคิดบวก

Growth Mindset ไม่ใช่การคิดบวก ซึ่งการคิดบวก ก็คือการมองในแง่ดี เมื่อพบเจอกับปัญหาก็มักจะหลอกตัวเองแล้วมองว่าเป็นสิ่งที่ดี เดี๋ยวก็ผ่านไป แต่ Growth Mindset ไม่ใช่การคิดบวก เพราะเป็นการสอนให้แก้ปัญหา ก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ มากกว่าการคิดบวกหลอกตัวเองเพื่อที่จะหนีปัญหา

Growth Mindset คือห้ามผิดพลาด

Growth Mindset คือการที่คนเราสามารถที่จะผิดพลาดได้ หรือสามารถที่จะล้มเหลวได้ ซึ่งแนวคิด Growth Mindset มีความเชื่อว่าความสามารถของทุกคนสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ผ่านการเรียนรู้ ไม่ยอมแพ้ และมีความพยายาม

Growth Mindset คือการเรียนรู้อยู่ตลอด

Growth Mindset ไม่ต้องเรียนรู้ตลอด ไม่ต้องเรียนรู้ทุกเรื่อง เพราะคนที่มี Growth Mindset ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นคนที่มีความรู้รอบตัวเยอะ เนื่องจากชีวิตของคนเรามีเวลาจำกัด ต้องเลือกเรียนรู้สิ่งที่มีความสำคัญ เพื่อไปพัฒนาต่อ

ความต่างของ fixed mindset กับ growth mindset

ความต่างของ Fixed mindset กับ Growth Mindset

Fixed Mindset คือทัศนคติแบบดั้งเดิม หรือแนวคิดแบบยึดติด ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเชื่อว่า คนมีความสามารถ มีทักษะ มีศักยภาพ มีความคิดสร้างสรรค์ มีความฉลาด ได้แค่เพียงเท่านี้ ไม่สามารถที่จะพัฒนาต่อไปได้ จนทำให้มีความคิดอยู่ในกรอบแบบเดิมๆ กลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวความล้มเหลว ไม่กล้าที่จะคิด หรือไม่กล้าที่จะทำสิ่งใหม่ๆ เป็นต้น

Growth Mindset คือทัศนคติแบบใหม่ หรือแนวคิดแบบยืดหยุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเชื่อว่าความสามารถ ทักษะ และความคิดสร้างสรรค์สามารถที่จะสร้างกันได้ รวมถึงสามารถที่จะพัฒนาต่อไปข้างหน้าได้ ซึ่งมีความเชื่อว่าศักยภาพของคนจะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง ไม่กลัวความล้มเหลว กล้าที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ เป็นต้น

วิธีเลี้ยงลูกให้มี growth mindset

วิธีเลี้ยงลูกให้มี Growth Mindset

หากคุณพ่อคุณแม่ต้องการที่จะปลูกฝังลูกให้มีวิธีคิดแบบ Growth Mindset ในการใช้ชีวิตประจำวัน สามารถสร้างได้ง่ายๆ เริ่มต้นโดยการปรับทัศนคติของตนเองก่อน และจะต้องมีความเชื่อมั่นในตัวลูก ว่าลูกมีความสามารถพร้อมที่จะพัฒนาได้ หลังจากนั้นค่อยไปปรับทัศนคติของลูก หากคุณพ่อคุณแม่พร้อมแล้ว ก็สามารถตามไปดูวิธีการสร้าง Growth Mindset ที่เป็นตัวช่วยทำให้ลูกน้อยพัฒนา ก้าวผ่านอุปวรรค จนประสบความสำเร็จได้ ดังต่อไปนี้

ให้ลูกได้เรียนรู้ และลองทำสิ่งใหม่ ๆ

การสร้าง Growth Mindset การให้ลูกได้เรียนรู้ และลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้ลูกค้นหาความสามารถ ค้นหาความถนัดของตนเองได้ อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยทำให้ลูกเป็นคนที่เปิดใจเพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้อย่างมีความสุขอีกด้วย

สอนให้ลูกยอมรับในความผิดพลาด

กิจกรรมสร้าง Growth Mindset สอนให้ลูกน้อยยอมรับในความผิดพลาด สำหรับวิธีการเลี้ยงลูกให้มี Growth Mindset ไม่ได้เป็นแค่เพียงการสอนลูกให้รู้จักความพยายาม แต่ยังเป็นการสอนลูกให้ยอมรับในความผิดพลาดให้ได้ แต่จะต้องไม่ทำให้ลูกรู้สึกว่าความผิดพลาดครั้งนี้เป็นตราบาป แต่จะต้องสอนให้ลูกมองว่าเป็นโอกาสสำหรับการเรียนรู้ และสามารถนำมาปรับปรุงเพื่อที่จะพัฒนาตัวเองต่อไปได้

ชื่นชมในความพยายามของลูกเสมอ

หลักแนวคิด Growth Mindset เมื่อคุณพ่อคุณแม่ได้สอนให้ลูกน้อยมีความพยายามที่จะทำสิ่งใหม่ๆ ด้วยตนเองแล้ว ก็ไม่ควรที่จะลืมชื่นชมความพยายามของลูกน้อยด้วยทุกครั้ง โดยจะต้องใช้คำชมแบบเจาะจงไปที่วิธีการ ไม่ใช่ผลสำเร็จ เช่น แม่มีความตั้งใจมากที่ลูกตั้งใจเรียน และมีความตั้งใจที่จะอ่านหนังสือสอบ โดยจะต้องหลีกเลี่ยงคำชมที่ไม่ส่งผล และไม่ทำให้เกิดพัฒนาการทางความคิด เช่น อัจฉริยะ เก่ง และฉลาด เป็นต้น

สอนให้ลูกรู้จักเผชิญปัญหาด้วยตัวเอง

การสอนให้ลูกรู้จักเผชิญปัญหาด้วยตนเอง เป็นอีกหนึ่งวิธีที่มีความสำคัญมากที่สุด ไม่แพ้ไปจากวิธีอื่นๆ สำหรับการเลี้ยงลูกให้มี Growth Mindset ที่ดี คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายจะต้องปล่อยให้ลูกน้อยได้รู้จักการเผชิญปัญหา และมีความพยายามแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ทุกคนจะต้องเฝ้าดูอย่างอดทน และต้องอดใจไม่ลงมือที่จะแก้ปัญหาให้ลูกเสียเอง ซึ่งวิธีดังกล่าวจะเป็นตัวช่วยที่ทำให้ลูกได้เรียนรู้ และสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่

สอนให้ลูกเข้าใจแนวคิดที่ว่าไม่มีอะไรที่เรายังทำไม่ได้ถ้ายังไม่ลองทำ

เมื่อถึงวันที่ลูกน้อยเกิดความผิดพลาด หรือเกิดความล้มเหลว คุณพ่อคุณแม่ก็จะต้องสอนให้ลูกเข้าใจแนวคิด Growth Mindset ที่ว่าหากอะไรที่เรายังไม่ลองทำ ไม่ได้แปลว่าเราทำสิ่งนั้นไม่ได้ เพียงแต่ว่า เรายังไม่สามารถที่จะทำได้ในตอนนี้เท่านั้น ซึ่งต้องบอกกับลูกเสมอว่า หากลูกมีความพยายามสูง มีความตั้งใจมากพอที่จะทำมัน และจะต้องมองข้ามผ่านความล้มเหลว ซึ่งความล้มเหลวไม่ใช่จุดจบ ลูกน้อยก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอนในอนาคต

สรุป

สรุปแล้ว Growth Mindset คือแนวคิดที่ เชื่อกันว่า เด็กทุกคนสามารถที่จะเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จได้ หากมีความพยายาม มีความตั้งใจ และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา ซึ่งจะมีความแตกต่างกับ Fixed Mindset ที่อยู่ในกรอบเดิมๆ ไม่มีความพยายาม กลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวความล้มเหลว ไม่กล้าคิดที่จะทำสิ่งใหม่ๆ หรือการยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ หวังว่าวิธีการเลี้ยงลูกให้มี Growth Mindset ตามที่ได้มีการรวบรวมไปเพื่อที่จะให้คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายได้ลองนำไปใช้ จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเพิ่มทักษะการใช้ชีวิตให้แก่ลูกน้อยได้ ด้วยการให้ลูกได้เรียนรู้วิธีคิดด้วยทัศนคติแบบ Growth Mindset ที่ Speak Up Language Center  ในการเรียนการสอนก็จะมีกิจกรรมต่างๆ ที่จะทำให้เด็กๆ ที่มาเรียนได้เรียนรู้ และเติบโต ไม่ติดอยู่ในกรอบแบบการเรียนสมัยก่อน โดยจะเป็นตัวช่วยเพิ่มโอกาสก้าวเข้าสู่ความสำเร็จ และทำให้ลูกใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากต่อไป

การนับเลขภาษาจีนตั้งแต่หลักหน่วยถึงหลักร้อย

นับเลขภาษาจีน ตั้งแต่หลักหน่วยถึงหลักล้าน เด็กจำง่าย พร้อมคำอ่านไทย

การนับเลขภาษาจีน ถือเป็นพื้นฐานของการเรียนภาษาจีนเลยก็ว่าได้ หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องยาก และท้าทาย เพราะระบบการนับเลขของจีนถึงจะดูง่าย แต่ก็ต้องเข้าใจพื้นฐาน หลักการ และเงื่อนไขบางอย่าง บทความนี้ จึงขอชวนน้องๆ และคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองที่อยากจะเริ่มต้นสอนภาษาจีนให้เด็กๆ มาเริ่มเรียนนับเลขภาษาจีนกันได้ง่ายๆ นับได้ตั้งแต่หลักหน่วยไปจนถึงหลักล้าน พร้อมดูข้อยกเว้นและกฎในการนับเลขจีนกลาง ถ้าพร้อมแล้วไปเริ่มกันเลย

การเรียนนับเลขภาษาจีนสำคัญอย่างไร

การเรียนนับเลขภาษาจีนสำคัญอย่างไร

การที่เด็กๆ สามารถนับเลขภาษาจีนได้นั้น มีความสำคัญมากในการเรียนภาษาจีนและการนำไปใช้งานจริง เช่น เวลาไปซื้อของก็สามารถบอกจำนวนที่ต้องการได้อย่างถูกต้อง ถ้าหากอยากจะจองโต๊ะที่ร้านอาหารหรือทำการนัดหมายใดๆ ก็สามารถระบุวันและเวลาได้ อีกทั้งยังช่วยในการเรียนรู้คำสแลงต่างๆ ในภาษาจีน และหลีกเลี่ยงตัวเลขอัปมงคลที่เป็นความเชื่อของวัฒนธรรมจีน

ตัวเลขพื้นฐานในภาษาจีน

ตัวเลขพื้นฐานในภาษาจีน

ตัวเลขอักษรจีนพินอินคำอ่านคำแปล
1 อี หนึ่ง
2èr เอ้อร์ สอง
3sānซานสาม
4ซื่อ สี่
5หวู่ ห้า
6liùลิ่วหก
7ชีเจ็ด
8ปาแปด
9jiǔ จิ่วเก้า
0líng หลิงศูนย์

ข้อควรรู้เกี่ยวกับตัวเลขพื้นฐาน

  • เลข 0 หรือ 零 ซึ่งอ่านว่า líng (หลิง) ที่แปลว่าเลขศูนย์ในการนับเลขภาษาจีน ในบางครั้งจะเห็นการใช้อักขระ 〇 ซึ่งจะอ่านว่า líng (หลิง) และแปลว่าเลขศูนย์เช่นกัน
  • เลข 1 ตามปกติแล้วเลขหนึ่งในภาษาจีนจะออกเสียงว่า yī (อี) แต่ถ้าในสถานการณ์ที่บอกเบอร์โทรศัพท์ เลขที่บ้าน หรือเลขที่ห้อง มักจะพูดว่า 幺 ซึ่งออกเสียงว่า yāo (เยา) แทน
  • เลข 2 ส่วนใหญ่แล้วเลขสองในการนับตัวเลขภาษาจีนและการบอกเบอร์โทรศัพท์จะใช้ 二 ที่อ่านว่า èr (เอ้อร์) แต่ถ้าเป็นการบอกจำนวนหรือปริมาณจะใช้คำว่า 两 ซึ่งอ่านว่า liǎng (เหลี่ยง)
  • เลข 4 ตามความเชื่อของจีน หมายเลขสี่เป็นเหมือนเลขอัปมงคลที่จะนำพาความโชคร้ายเข้ามา เพราะเลขสี่ออกเสียงว่า sì (ซื่อ) ซึ่งออกเสียงคล้ายกับคำว่า 死 sǐ (สื่อ) ที่มีความหมายว่า ตาย จึงเป็นเลขที่ชาวจีนมักจะหลีกเลี่ยงกัน โดยเฉพาะการให้ของผู้อื่น จะไม่ให้จำนวนสี่ชิ้น และอาคารต่างๆ ก็จะไม่มีชั้นสี่เช่นกัน

ตัวอย่างเลขที่ควรรู้

  • ตัวอย่างการอ่านเบอร์โทรศัพท์เป็นภาษาจีน เช่น 0985715312 อ่านว่า líng jiǔ bā wǔ qī yāo wǔ sān yāo èr (หลิง จิ่ว ปา หวู่ ชี เยา หวู่ ซาน เยา เอ้อร์)
  • ตัวอย่างการใช้เลขสองในการบอกจำนวนและปริมาณ เช่น 两个橙子 liǎng gè chéngzi (เหลี่ยง เก้อ เฉิงจึ) แปลว่า ส้ม 2 ผล
การนับเลขในภาษาจีนหลักสิบ

การนับเลขในภาษาจีนหลักสิบ

นับเลขภาษาจีนในหลักหน่วยกันไปแล้ว การนับเลขหลักสิบในภาษาจีนมีหน่วยการนับเป็น 十 (shí) ซึ่งแปลว่า 10 โดยสามารถนับได้ดังนี้

ตัวเลขอักษรจีนพินอินคำอ่านคำแปล
10 shí สือ สิบ
11十一 shíyī สืออีสิบเอ็ด
12十二shíèr สือเอ้อร์สิบสอง
13十三 shísān สือซาน สิบสาม
14十四 shísì สือซื่อสิบสี่
15十五 shíwǔ สือหวู่สิบห้า
16十六shíliùสือลิ่วสิบหก
17十七 shíqī สือชีสิบเจ็ด
18十八shíbā สือปาสิบแปด
19十九 shíjiǔ สือจิ่วสิบเก้า
20二十 èrshí เอ้อร์สือยี่สิบ
30三十 sānshí ซานสือสามสิบ
40四十sìshí ซื่อสือสี่สิบ
50五十 wǔshíหวู่สือห้าสิบ
60六十 liùshí ลิ่วสือหกสิบ
70七十 qīshí ชีสือเจ็ดสิบ
80八十 bāshí ปาสือแปดสิบ
90九十 jiǔshí จิ่วสือเก้าสิบ

ข้อควรรู้เกี่ยวกับตัวเลขหลักสิบ

สามารถสังเกตเห็นได้ว่าการนับเลขภาษาจีนในหลักสิบ เป็นการนำเอาเลข 10 มารวมกับเลขตัวอื่นๆ เช่น 20, 30, 40 … มีการใช้รูปแบบเดียวกัน และมีความคล้ายคลึงกันกับในภาษาไทย เพียงแค่เอาเลขด้านหน้าตามด้วยหลักสิบ ทำให้จำแค่เพียงจำเลข 1-10 ก็สามารถประกอบเป็นเลขได้เกือบครบ 100 แล้ว

ตัวอย่างเลขที่ควรรู้

  • ตัวอย่างการรวมเลขในหลักสิบ เช่น 55 ในภาษาจีนคือ 五十五 wǔshíwǔ (หวู่ สือ หวู่) หรือ 73 ในภาษาจีนคือ 七十三 qīshísān (ชี สือ ซาน)
การนับเลขในภาษาจีนหลักร้อย

การนับเลขในภาษาจีนหลักร้อย

การนับเลขหลักร้อยมีหน่วยการนับเป็น 百 อ่านว่า bǎi (ไป่) หรือ 一百 อ่านว่า yìbǎi (อีไป่) ซึ่งแปลว่า 100 โดยสามารถนับเลขภาษาจีนหลักร้อยได้ดังนี้

ตัวเลขอักษรจีนพินอินคำอ่านคำแปล
100一百 yìbǎi อีไป่หนึ่งร้อย
101一百零一yìbǎi líng yīอีไป่หลิงอีหนึ่งร้อยเอ็ด
102一百零二 yìbǎi líng èrอีไป่หลิงเอ้อร์หนึ่งร้อยสอง
103一百零三 yìbǎi líng sān อีไป่หลิงซานหนึ่งร้อยสาม
104一百零四 yìbǎi líng sì อีไป่หลิงซื่อ หนึ่งร้อยสี่
105一百零五 yìbǎi líng wǔ อีไป่หลิงหวู่หนึ่งร้อยห้า
106一百零六 yìbǎi líng liù อีไป่หลิงลิ่วหนึ่งร้อยหก
107一百零七 yìbǎi líng qī อีไป่หลิงชีหนึ่งร้อยเจ็ด
108一百零八 yìbǎi líng bā อีไป่หลิงปาหนึ่งร้อยแปด
109一百零九 yìbǎi líng jiǔ อีไป่หลิงจิ่วหนึ่งร้อยเก้า
110一百一十 yìbǎi yī (shí) อีไป่อี (สือ) หนึ่งร้อยสิบ
129一百二十九 yìbǎi èrshíjiǔ อีไป่เอ้อร์สือจิ่วหนึ่งร้อยยี่สิบเก้า
175一百七十五 yìbǎi qīshíwǔ อีไป่ชีสือหวู่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้า
200二百, 两百 èrbǎi, liǎngbǎi เอ้อร์ไป่, เหลียงไป่สองร้อย
300三百 sānbǎi ซานไป่สามร้อย

 

 

ข้อควรรู้เกี่ยวกับตัวเลขหลักร้อย

วิธีนับเลขภาษาจีนของตัวเลข 100-109 จะมีความแตกต่างจากไทยอยู่นิดหน่อยตรงที่จะใช้คำว่า 零 (líng) ที่แปลว่า เลขศูนย์ คั่นระหว่างคำว่า 一百 (yìbǎi) ที่อยู่ข้างหน้ากับเลขตัวเลขหลักหน่วยที่อยู่ด้านหลัง และควรระมัดระวังการใช้เลข 250 เพราะในจีน 250 มีความหมายแฝงที่ไม่ดี หมายถึงงี่เง่าหรือโง่ ใช้เป็นคำดูถูกผู้อื่น

การนับเลขในภาษาจีนหลักพัน

การนับเลขในภาษาจีนตั้งแต่ 1,000 ขึ้นไป

การนับเลขจีนกลางในหลักพันขึ้นไป ที่สามารถพบเห็นได้เป็นประจำ เด็กๆ จำเป็นต้องรู้ไว้เป็นพื้นฐาน มีดังนี้

จำนวนครั้งอักษรจีนพินอินคำอ่าน
หนึ่งครั้ง一次 yīcì อีชื่อ
สองครั้ง两次 liǎngcìเหลี่ยงชื่อ
สามครั้ง三次 sāncì ซานชื่อ
สี่ครั้ง四次 sìcìซื่อชื่อ
ห้าครั้ง五次 wǔcì หวู่ชื่อ
หกครั้ง六次 liùcìลิ่วชื่อ
เจ็ดครั้ง七次 qīcì ชีชื่อ
แปดครั้ง八次 bācìปาชื่อ
เก้าครั้ง九次 jiǔcì จิ่วชื่อ
สิบครั้ง十次 shícìสือชื่อ

ข้อควรรู้เกี่ยวกับตัวเลขหลักพัน

ตัวเลขหลักพันขึ้นไปในภาษาจีน ก็มีหลักการเดียวกันกับเลขหลักสิบและหลักร้อย โดยสามารถเอามารวมกันได้เลย และการรวมกันของหลักก็ทำให้เกิดเป็นหลักใหม่ อย่างหลัก 10 กับ 10,000 รวมเป็น 十万 (shí wàn) ซึ่งมีความหมายว่าหนึ่งแสน

ตัวอย่างเลขที่ควรรู้

  • 37,850 三万七千八百五十 sān wàn qī qiān bā bǎi wǔ shí (ซาน ว่าน ชี เชียน ปา ไป่ หวู่ สือ)
  • 102,046 十万两千四十六 shí wàn liǎng qiān sì shí liù (สือ ว่าน เหลี่ยง เชียน ซื่อ สือ ลิ่ว)
การนับเลขลำดับที่ในภาษาจีน

การนับเลขลำดับที่ในภาษาจีน

เรียนนับเลขภาษาจีนกันไปเรียบร้อยแล้ว และถ้าหากต้องการนับเป็นลำดับที่จะต้องทำอย่างไร ไม่ยากเลย เพียงแค่ใช้คำว่า อ่านว่า dì (ตี้) ซึ่งแปลว่า ที่ มานำหน้าตัวเลขลำดับที่ต้องการ ดังนี้

จำนวนครั้งอักษรจีนพินอินคำอ่าน
หนึ่งครั้ง一次 yīcì อีชื่อ
สองครั้ง两次 liǎngcìเหลี่ยงชื่อ
สามครั้ง三次 sāncì ซานชื่อ
สี่ครั้ง四次 sìcìซื่อชื่อ
ห้าครั้ง五次 wǔcì หวู่ชื่อ
หกครั้ง六次 liùcìลิ่วชื่อ
เจ็ดครั้ง七次 qīcì ชีชื่อ
แปดครั้ง八次 bācìปาชื่อ
เก้าครั้ง九次 jiǔcì จิ่วชื่อ
สิบครั้ง十次 shícìสือชื่อ

ตัวอย่างการนับลำดับเลข

  • ลำดับที่ 32 第三十二 dì sān shí èr (ตี้ ซาน สือ เอ้อร์)
  • ลำดับที่ 539 第五百三十九 dì wǔ bǎi sān shí jiǔ (ตี้ หวู ไป่ ซาน สือ จิ่ว)
การนับเลขจำนวนครั้งในภาษาจีน

การนับเลขจำนวนครั้งในภาษาจีน

การบอกจำนวนครั้งในภาษาจีนก็ง่ายมากเช่นเดียวกัน เพียงเติมคำว่า อ่านว่า cì (ชื่อ) ที่แปลว่า ครั้ง ตามหลังตัวเลขที่ต้องการ ดังนี้

จำนวนครั้งอักษรจีนพินอินคำอ่าน
หนึ่งครั้ง一次 yīcì อีชื่อ
สองครั้ง两次 liǎngcìเหลี่ยงชื่อ
สามครั้ง三次 sāncì ซานชื่อ
สี่ครั้ง四次 sìcìซื่อชื่อ
ห้าครั้ง五次 wǔcì หวู่ชื่อ
หกครั้ง六次 liùcìลิ่วชื่อ
เจ็ดครั้ง七次 qīcì ชีชื่อ
แปดครั้ง八次 bācìปาชื่อ
เก้าครั้ง九次 jiǔcì จิ่วชื่อ
สิบครั้ง十次 shícìสือชื่อ

ตัวอย่างการนับจำนวนครั้ง

  • 48 ครั้ง 四十八次 sì shí bā cì (ซื่อ สือ ปา ชื่อ)
  • 133 ครั้ง 一百三十三次 yì bǎi sān shí sān cì (อี ไป่ ซาน สือ ซาน ชื่อ)

สรุป

การนับเลขภาษาจีนไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถ เพียงแค่จำตัวเลขหลักหน่วย 10 ตัว และจำหลักสิบ หลักร้อย หลักพัน และหลักหมื่น รวมถึงรู้หลักการและข้อควรรู้ต่างๆ อีกเล็กน้อย ก็สามารถนำมาผสมรวมกันจนสามารถนับเลขภาษาจีนได้ถึงหลักล้านแล้ว การได้สอนลูกๆ หรือเด็กๆ ให้เริ่มหัดเรียนเลขภาษาจีนจะช่วยให้เด็กค่อยๆ จดจำได้ดีอย่างเป็นธรรมชาติ ที่ Speak Up Language Center มีหลักสูตรภาษาจีนสำหรับเด็กเล็ก 2.5-12 ปี เริ่มตั้งแต่พื้นฐานอย่างการนับเลข ไปจนถึงการสนทนาเป็นประโยค ซึ่งจะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ภาษาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และสามารถต่อยอดได้ในอนาคต

คำศัพท์หมวดผลไม้ภาษาอังกฤษ

คำศัพท์ภาษาอังกฤษหมวดผลไม้ A-Z พร้อมคำอ่าน และคำแปลไทย

การเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากสิ่งใกล้ตัว เช่น ผักและผลไม้ที่ต้องรับประทานทุกวัน นอกจากจะทำให้น้องๆ จำคำศัพท์ได้ง่ายและเร็วขึ้น สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ ยังสนุกกับการทายคำศัพท์ของอาหารแต่ละมื้อ ว่ามีผักผลไม้ชนิดใด มีชื่อภาษาอังกฤษว่าอย่างไรบ้าง ซึ่งคำศัพท์ภาษาอังกฤษหมวดผลไม้และผักก็มีอยู่มากมายให้ได้เลือกทดสอบความจำ

คำศัพท์ภาษาอังกฤษ หมวดผลไม้ A-Z

คำศัพท์อังกฤษเกี่ยวกับผัก และผลไม้สำคัญอย่างไร

การเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับผัก ผลไม้ จะช่วยเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ทางด้านภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นเรื่องใกล้ตัว พบเห็นได้บ่อย จึงง่ายต่อการจดจำเรียนรู้ ยิ่งรู้คำศัพท์มากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ทักษะทางภาษาอังกฤษก้าวหน้าขึ้นมากเท่านั้น เพราะสามารถนำเอาคำศัพท์ไปสร้างเป็นประโยคง่ายๆ หรือใช้เป็นบทสนทนาในชีวิตประจำวันได้

คำศัพท์ภาษาอังกฤษ หมวดผลไม้

คำศัพท์ภาษาอังกฤษหมวดผลไม้ A-Z

คำศัพท์ภาษาอังกฤษหมวดผลไม้นั้นมีอยู่มากมายให้ได้เลือกท่องจำ ตัวอย่างคำศัพท์หมวดผลไม้ตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ ดังนี้

1. Apple

  • คำอ่าน: แอ็พเพิล
  • คำแปล: แอปเปิล
  • ตัวอย่างประโยค: I am eating an apple.

2. Apricot

  • คำอ่าน: แอพริค็อท
  • คำแปล: แอปพลิคอท
  • ตัวอย่างประโยค: I like to eat apricot jam with bread.

3. Avocado

  • คำอ่าน: แอฟวะคาโด
  • คำแปล: อะโวคาโด
  • ตัวอย่างประโยค: Avocados provide high protein and vitamins.

4. Banana

  • คำอ่าน: แบนานะ
  • คำแปล: กล้วย
  • ตัวอย่างประโยค: How much does those bananas cost?

5. Blueberry

  • คำอ่าน: บลูแบรี
  • คำแปล: บลูเบอรี
  • ตัวอย่างประโยค: Blueberry cheesecake is my favorite dessert.

6. Blackcurrant

  • คำอ่าน: แบล็คเคอะเรินท
  • คำแปล: แบล็คเคอร์แรนท์
  • ตัวอย่างประโยค: I don’t like the blackcurrant flavor.

7. Bilimbi

  • คำอ่าน: เบลมบิ
  • คำแปล: ตะลิงปลิง
  • ตัวอย่างประโยค: The bilimbi tease is terrible.

8. Bael fruit

  • คำอ่าน: เบล ฟรุท
  • คำแปล: มะตูม
  • ตัวอย่างประโยค: My mom loves to drink bael fruit juice, it is so tasty.

9. Bilberry

  • คำอ่าน: บิลล เบอรี
  • คำแปล: บิลเบอร์รี
  • ตัวอย่างประโยค: Those bilberries were picked from the garden.

10. Cantaloupe

  • คำอ่าน: แคนทะโลพ
  • คำแปล: แคนตาลูป
  • ตัวอย่างประโยค: I have a piece of cantaloupe .

11. Cherry

  • คำอ่าน: เช๊ะรี
  • คำแปล: เชอรี
  • ตัวอย่างประโยค: We put some cherries on top of the ice cream.

12. Coconut

  • คำอ่าน: โค๊ะโคนัท
  • คำแปล: มะพร้าว
  • ตัวอย่างประโยค: That coconut coffee is yummy.

13. Custard apple

  • คำอ่าน: คัสทาด แอพเพิ้ล
  • คำแปล: น้อยหน่า
  • ตัวอย่างประโยค: The custard apples are very rare.

14. Chestnut

  • คำอ่าน: เชสนัท
  • คำแปล: เกาลัด
  • ตัวอย่างประโยค: I made a cake with roasted chestnuts.

15. Chinese plum

  • คำอ่าน: ไชนีส พลัม
  • คำแปล: บ๊วย
  • ตัวอย่างประโยค: That Chinese plum is a bit sour.

16. Dragon fruit

  • คำอ่าน: แดร๊เกิน ฟรุท
  • คำแปล: แก้วมังกร
  • ตัวอย่างประโยค: I bought some dragon fruits from the Thai market.

17. Date

  • คำอ่าน: เดท
  • คำแปล: อินผลัม
  • ตัวอย่างประโยค: The dates are too sweet.

18. Durian

  • คำอ่าน: ดู๊เรียน
  • คำแปล: ทุเรียน
  • ตัวอย่างประโยค: Durian provides a unique smell.

19. Elderberry

  • คำอ่าน: เอ็ลเดอะแบริ
  • คำแปล: เอลเดอร์เบอร์รี
  • ตัวอย่างประโยค: My father drinks elderberry wine every night.

20. Fig

  • คำอ่าน: ฟิ้ก
  • คำแปล: มะเดื่อ
  • ตัวอย่างประโยค: The dried fig is soft and delicious.

21. Goji Berry

  • คำอ่าน: กอจิแบรรี่
  • คำแปล: โกจิเบอร์รี
  • ตัวอย่างประโยค: Goji Berry has been used as traditional medicine.

22. Grape

  • คำอ่าน: เกรพ
  • คำแปล: องุ่น
  • ตัวอย่างประโยค: The wine is made from sweet grapes.

23. Grapefruit

  • คำอ่าน: เกร๊พฟรูท
  • คำแปล: เกรปฟรุต
  • ตัวอย่างประโยค: The grapefruit is similar to orange.

24. Guava

  • คำอ่าน: กว๊าหวะ
  • คำแปล: ฝรั่ง
  • ตัวอย่างประโยค: Guava has very small seeds.

25. Jackfruit

  • คำอ่าน: แจ็คฟรุท
  • คำแปล: ขนุน
  • ตัวอย่างประโยค: I don’t know how to eat jackfruit.

26. Jambolan plum

  • คำอ่าน: จัมโบลาน พลัม
  • คำแปล: ลูกหว้า
  • ตัวอย่างประโยค: Jambolan plum can be found in Thailand.

27. Jujube

  • คำอ่าน: จู๊จูบ
  • คำแปล: พุทรา
  • ตัวอย่างประโยค: The dried Jujube is too hard to chew.

28. Kiwi

  • คำอ่าน: คี๊วี
  • คำแปล: กีวี
  • ตัวอย่างประโยค: Baker usually uses sliced kiwi as a cake decoration.

29. Kumquat

  • คำอ่าน: คั๊มคว็อท
  • คำแปล: ส้มจี๊ด
  • ตัวอย่างประโยค: This snack is made from dried kumquat.

30. Longan

  • คำอ่าน: ล๊องเกิน
  • คำแปล: ลำไย
  • ตัวอย่างประโยค: The primary flavor of longan is sweet.

31. Lychee

  • คำอ่าน: ลีชชี
  • คำแปล: ลิ้นจี่
  • ตัวอย่างประโยค: My son is eating lychee pudding.

32. Langsat

  • คำอ่าน: แลงแซท
  • คำแปล: ลางสาด
  • ตัวอย่างประโยค: The langsat is a fruit which can be found in Asia.

33. Mango

  • คำอ่าน: แม๊งโก
  • คำแปล: มะม่วง
  • ตัวอย่างประโยค: Mango sticky rice is the most delicious dessert.

34. Mangosteen

  • คำอ่าน: แมงโกสทีน
  • คำแปล: มังคุด
  • ตัวอย่างประโยค: Mangosteen is a fruit which is mostly found in Sourest Asia.

35. Marian Plum

  • คำอ่าน: แมเรียน พลัม
  • คำแปล: มะปราง
  • ตัวอย่างประโยค: Marian Plum is a tropical fruit.

36. Melon

  • คำอ่าน: เมลลอน
  • คำแปล: เมลอน
  • ตัวอย่างประโยค: Melons which are imported from Japan are expensive.

37. Nectarine

  • คำอ่าน: เน็คเทอะรีน
  • คำแปล: เน็คทารีน
  • ตัวอย่างประโยค: Nectarine is a good source of fiber.

38. Orange

  • คำอ่าน: ออเรนจฺ
  • คำแปล: ส้ม
  • ตัวอย่างประโยค: Here is your breakfast, orange juice and boiled egg.

39. Papaya

  • คำอ่าน: พาพายา
  • คำแปล: มะละกอ
  • ตัวอย่างประโยค: Papaya salad is one of the most popular Thai dishes.

40. Passionfruit

  • คำอ่าน: แพ๊เชิ่นฟรุทฺ
  • คำแปล: เสาวรส
  • ตัวอย่างประโยค: I’m crazy about passion fruit tart.

41. Pomegranate

  • คำอ่าน: พอม’แกรนนิท
  • คำแปล: ทับทิม
  • ตัวอย่างประโยค: Pomegranate is rich in antioxidant compounds.

42. Pomelo

  • คำอ่าน: พะเม๊โล
  • คำแปล: ส้มโอ
  • ตัวอย่างประโยค: I think a pomelo is similar in flavor to grapefruit.

43. Pear

  • คำอ่าน: แพร์
  • คำแปล: ลูกแพร์
  • ตัวอย่างประโยค: The pear is a delicious fruit. I like it so much

44. Plum

  • คำอ่าน: พลัม
  • คำแปล: ลูกพลัม
  • ตัวอย่างประโยค: There are many plums in the basket.

45. Peach

  • คำอ่าน: พีชฺ
  • คำแปล: ลูกพีช
  • ตัวอย่างประโยค: I drink peach tea almost everyday.

46. Pineapple

  • คำอ่าน: ไพ๊แนพเพิล
  • คำแปล: สัปปะรด
  • ตัวอย่างประโยค: My mother is slicing the pineapple.

47. Quince

  • คำอ่าน: ควินซ
  • คำแปล: ลูกควินช์
  • ตัวอย่างประโยค: Can I make juice from Quince?

48. Rambutan

  • คำอ่าน: แร๊มบุเทิน
  • คำแปล: เงาะ
  • ตัวอย่างประโยค: Can I have some Rambutan?

49. Raspberry

  • คำอ่าน: แรสแบรี่
  • คำแปล: ราสเบอร์รี
  • ตัวอย่างประโยค: I spread my toast with raspberry jam.

50. Rose apple

  • คำอ่าน: โรส แอพเพิล
  • คำแปล: ชมพู่
  • ตัวอย่างประโยค: I love eating fresh rose apples.

51. Strawberry

  • คำอ่าน: สตรอแบรี่
  • คำแปล: สตรอว์เบอร์รี
  • ตัวอย่างประโยค: Do you like to have some strawberry shortcake?

52. Star fruit

  • คำอ่าน: สตา ฟรุท
  • คำแปล: มะเฟือง
  • ตัวอย่างประโยค: Star fruit has the shape of a five-point star.

53. Sapodilla

  • คำอ่าน: แซเพอะดิลหล่า
  • คำแปล: ละมุด
  • ตัวอย่างประโยค: Who stole my sapodillas?

54. Star gooseberry

  • คำอ่าน: สตา กูซฺแบรี่
  • คำแปล: มะยม
  • ตัวอย่างประโยค: I don’t like to eat star gooseberries.

55. Southern langsat

  • คำอ่าน: เซาเทิน แลงเซท
  • คำแปล: ลองกอง
  • ตัวอย่างประโยค: My sister picks Southern langsat from my basket.

56. Snake fruit

  • คำอ่าน: สเน้ค ฟรุท
  • คำแปล: สละ
  • ตัวอย่างประโยค: Do you like snake fruits?

57. Santol

  • คำอ่าน: แซ้นเทิล
  • คำแปล: กระท้อน
  • ตัวอย่างประโยค: I haven’t tried santol before.

58. Sugar palm nut

  • คำอ่าน: ชูก้าร์ ปาลม นัท
  • คำแปล: ลูกตาล
  • ตัวอย่างประโยค: I have tried sugar palm nuts. It is so soft and sweet.

59. Tamarind

  • คำอ่าน: แท็มมะรินด
  • คำแปล: มะขาม
  • ตัวอย่างประโยค: You are not allowed to eat tamarind candy.

60. Watermelon

  • คำอ่าน: ว้อเทอะเมเหลิ่น
  • คำแปล: แตงโม
  • ตัวอย่างประโยค: Can I have a glass of watermelon juice please?
คำศัพท์หมวดผลไม้

คำศัพท์ภาษาอังกฤษหมวดผัก A-Z

คำศัพท์ภาษาอังกฤษหมวดผักเองก็มีอยู่มากมายไม่แพ้กัน ตัวอย่างคำศัพท์หมวดผักตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ ดังนี้

1. Asparagus

  • คำอ่าน: แอสพาระกัส 
  • คำแปล: หน่อไม้ฝรั่ง
  • ตัวอย่างประโยค: Stir-fried asparagus with shrimp is my favorite dish.

2. Acacia pennata

  • คำอ่าน: อะเค๊เชอะ เพ็นนะทะ 
  • คำแปล: ชะอม
  • ตัวอย่างประโยค: Acacia pennata is smelly.

3. Angle luffa

  • คำอ่าน: แอ็งเกิล ลู๊ฟะ 
  • คำแปล: บวบเหลี่ยม
  • ตัวอย่างประโยค: Angle luffa is one of my favorite vegetables.

4. Bamboo shoot

  • คำอ่าน: แบ๊มบู ชูท 
  • คำแปล: หน่อไม้
  • ตัวอย่างประโยค: My mother boils sliced bamboo shoots.

5. Baby corn

  • คำอ่าน: เบบี้ คอร์น
  • คำแปล: ข้าวโพดอ่อน
  • ตัวอย่างประโยค: I hope you like the baby corn.

6. Bean

  • คำอ่าน: บีน 
  • คำแปล: ถั่ว
  • ตัวอย่างประโยค: Shall we plant some beans in our garden?

7. Bean sprout

  • คำอ่าน: บีน สเปร๊าท
  • คำแปล: ถั่วงอก
  • ตัวอย่างประโยค: I bought bean sprouts from a Chinese shop.

8. Bell pepper

  • คำอ่าน: เบ็ล เพ็พเพอะ
  • คำแปล: พริกหยวก
  • ตัวอย่างประโยค: I don’t like to eat bell peppers.

9. Black mushroom

  • คำอ่าน: แบล็ค มั๊ชรูม 
  • คำแปล: เห็ดหอม
  • ตัวอย่างประโยค: The black mushroom soup is so yummy.

10. Bok choy

  • คำอ่าน: บ็อค ชอย 
  • คำแปล: ผักกาดกวางตุ้ง
  • ตัวอย่างประโยค: She is eating stir-fried Bok choy this morning.

11. Bitter cucumber

  • คำอ่าน: บิทเทอะ คิว’คัมเบอะ 
  • คำแปล: มะระ
  • ตัวอย่างประโยค: I don’t like bitter cucumbers. It tastes too bitter.

12. Broccoli

  • คำอ่าน: บร๊อคเคอะลิ  
  • คำแปล: บรอกโคลี
  • ตัวอย่างประโยค: Broccoli is one of the superfoods.

13. Cabbage

  • คำอ่าน: แค๊บเบจ 
  • คำแปล: กะหล่ำปลี
  • ตัวอย่างประโยค: My mother bought some cabbage from the market.

14. Carrot

  • คำอ่าน: แค๊เริท 
  • คำแปล: แครอท
  • ตัวอย่างประโยค: These carrots are so sweet.

15. Cauliflower

  • คำอ่าน: ค๊อลิเฟลาเวอะ
  • คำแปล: กะหล่ำดอก
  • ตัวอย่างประโยค: I cut cauliflower into chunks.

16. Chilli

  • คำอ่าน: ชิลลิ
  • คำแปล: พริก
  • ตัวอย่างประโยค: The chilli is so spicy.

17. Coriander

  • คำอ่าน: คอริแอ๊นเดอะ
  • คำแปล: ผักชี
  • ตัวอย่างประโยค: Coriander leaves are an excellent source of vitamins.

18. Cucumber

  • คำอ่าน: คิ๊วคัมเบอะ 
  • คำแปล: แตงกวา
  • ตัวอย่างประโยค: My brother don’t like to eat cucumber

19. Cashew nut

  • คำอ่าน: แคชชู นัท
  • คำแปล: เม็ดมะม่วงหิมพานต์
  • ตัวอย่างประโยค: The cashew nut is one ingredient of toffee cake.

20. Celery

  • คำอ่าน: เซลเลอรี
  • คำแปล: ขึ้นฉ่าย
  • ตัวอย่างประโยค: Celery juice is good for your health.

21. Eggplant

  • คำอ่าน: เอ๊กแพลนท 
  • คำแปล: มะเขือม่วง
  • ตัวอย่างประโยค: The grilled eggplant is my favorite dish.

22. Enoki mushroom

  • คำอ่าน: เอ๊ะโนะคิ มั๊ชรูม  
  • คำแปล: เห็ดเข็มทอง
  • ตัวอย่างประโยค: Eating enoki mushroom miso soup during cold weather is really good.

23. Fingerroot

  • คำอ่าน: ฟิ๊งเกอะรูท 
  • คำแปล: กระชาย
  • ตัวอย่างประโยค: Fingerroot has been used in Thai folk medicine.

24. Garlic

  • คำอ่าน: กราลิก
  • คำแปล: กระเทียม
  • ตัวอย่างประโยค: I don’t like the tease of garlic.

25. Galangal

  • คำอ่าน: กาลังกัล
  • คำแปล: ข่า
  • ตัวอย่างประโยค: You can find galangal in Asian stores.

26. Ginger

  • คำอ่าน: จิ๊นเจอะ 
  • คำแปล: ขิง
  • ตัวอย่างประโยค: My grandfather drinks ginger ale everyday.

27. Green onion

  • คำอ่าน: กรีน เอิ๊นเนียน 
  • คำแปล: ต้นหอม
  • ตัวอย่างประโยค: My mum made green onion dressing.

28. Green bean

  • คำอ่าน: กรีน บีน 
  • คำแปล: ถั่วแขก
  • ตัวอย่างประโยค: I steamed green beans with salt and pepper.

29. Ivy gourd

  • คำอ่าน: ไอ๊วิ กอด 
  • คำแปล: ผักตำลึง
  • ตัวอย่างประโยค: I remove the ivy gourd from the bowl.

30. Kaffir lime

  • คำอ่าน: แค๊ฟเฟอะ ไลม 
  • คำแปล: มะกรูด
  • ตัวอย่างประโยค: The smell of Kaffir lime  is so good.

31. Kale

  • คำอ่าน: เคล
  • คำแปล: ผักเคล

ตัวอย่างประโยค: Kale is rich in nutrients.

32. Lemon

  • คำอ่าน: เล๊ะเมิน
  • คำแปล: มะนาว
  • ตัวอย่างประโยค: Can I have some lemon tea please?

33. Lemongrass

  • คำอ่าน: เล๊ะเมินกราส 
  • คำแปล: ตะไคร้
  • ตัวอย่างประโยค: Lemongrass is often used as a flavoring in Thai food.

34. Lettuce

  • คำอ่าน: เลท’ทิวสฺ 
  • คำแปล: ผักกาดหอม
  • ตัวอย่างประโยค: I am adding  some bacon chips in my lettuce salad.

35. Long bean

  • คำอ่าน: ลองบีน
  • คำแปล: ถั่วฝักยาว
  • ตัวอย่างประโยค: Long beans are usually used in Chinese cuisine.

36. Long eggplant

  • คำอ่าน: ลอง เอ๊กแพลนท 
  • คำแปล: มะเขือยาว
  • ตัวอย่างประโยค: My mother sliced long eggplants and fried them.

37. Mung bean

  • คำอ่าน: มัง บีน 
  • คำแปล: ถั่วเขียว
  • ตัวอย่างประโยค: Vermicelli are made from mung bean flour.

38. Morning glory

  • คำอ่าน: มอนิ่ง กรอรี่
  • คำแปล: ผักบุ้ง
  • ตัวอย่างประโยค: Stir fried Morning glory is so tasty.

39. Okra

  • คำอ่าน: โอ๊คระ 
  • คำแปล: กระเจี๊ยบ
  • ตัวอย่างประโยค: Okra is not one of the most common foods.

40. Onion

  • คำอ่าน: เอิ๊นเนียน 
  • คำแปล: หอมหัวใหญ่
  • ตัวอย่างประโยค: I like to eat crispy fried onions.

41. Oyster mushrooms

  • คำอ่าน: อ๊อยสเตอ มั๊ชรูม 
  • คำแปล: เห็ดนางฟ้า
  • ตัวอย่างประโยค: Oyster mushrooms have a savory flavor.

42. Peanut

  • คำอ่าน: พีนัท
  • คำแปล: ถั่วลิสง
  • ตัวอย่างประโยค: He is spreading peanut butter on toast.

43. Pea eggplant

  • คำอ่าน: พี เอ๊กแพลนท 
  • คำแปล: มะเขือพวง
  • ตัวอย่างประโยค: She doesn’t like to eat pea eggplant.

44. Pepper

  • คำอ่าน: เพ็พเพอะ
  • คำแปล: พริกไทย
  • ตัวอย่างประโยค: Don’t put too much pepper on his soup.

45. Peppermint

  • คำอ่าน: เพ็พเพอะมินท์
  • คำแปล: สะระแหน่
  • ตัวอย่างประโยค: Peppermint ice cream is so yummy.

46. Potato

  • คำอ่าน: พะเท๊โท
  • คำแปล: มันฝรั่ง
  • ตัวอย่างประโยค: I bought mesh potatoes from KFC.

47. Pumpkin

  • คำอ่าน: พั๊มคิน 
  • คำแปล: ฟักทอง
  • ตัวอย่างประโยค: This pumpkin soup is creamy.

48. Radish

  • คำอ่าน: เร้ดดิช
  • คำแปล: หัวไชเท้า
  • ตัวอย่างประโยค: She made chicken soup stock with radish.

49. Red bean

  • คำอ่าน: เร้ดบีน 
  • คำแปล: ถั่วแดง
  • ตัวอย่างประโยค: I will make red bean paste tomorrow.

50. Round eggplant

  • คำอ่าน: ราวนด เอ็กเพล้น 
  • คำแปล: มะเขือเปราะ
  • ตัวอย่างประโยค: Round eggplants are commonly used in Thai cuisine.

51. Seaweed

  • คำอ่าน: ซีหวีด
  • คำแปล: สาหร่าย
  • ตัวอย่างประโยค: Korean seaweed soup is also known as birthday soup.

52. Sesame seed

  • คำอ่าน: เซะซะมิ 
  • คำแปล: งา
  • ตัวอย่างประโยค: Sesame seed is a tiny and oil-rich seed.

53. Shallot

  • คำอ่าน: ชะล๊อท 
  • คำแปล: หอมแดง
  • ตัวอย่างประโยค: Have you eaten shallot?

54. Spinach

  • คำอ่าน:  สปิ๊นิช
  • คำแปล: ผักโขม
  • ตัวอย่างประโยค: Baked spinach with cheese is easy to make.

55. Sweet basil

  • คำอ่าน: สวีท บาซิล 
  • คำแปล: โหระพา
  • ตัวอย่างประโยค: He topped his pasta with fresh sweet basil.

56. Tomato

  • คำอ่าน: ทะเม๊โท 
  • คำแปล: มะเขือเทศ
  • ตัวอย่างประโยค: We need more tomato sauce in this pizza.

57. Water mimosa

  • คำอ่าน: ว๊อเทอะ มิโมซะ 
  • คำแปล: ผักกระเฉด
  • ตัวอย่างประโยค: We cook stir fried water mimosa for dinner.

58. Winged bean

  • คำอ่าน: วิงดึ บีน 
  • คำแปล: ถั่วพู
  • ตัวอย่างประโยค: My mother likes to eat winged beans.

59. White jelly fungus

  • คำอ่าน: ไวทฺ-เจลลิ-ฟังกัซฺ
  • คำแปล: เห็ดหูหนูขาว
  • ตัวอย่างประโยค: White jelly fungus is a popular edible mushroom.

60. Zucchini

  • คำอ่าน: สุคี๊นิ 
  • คำแปล: แตงกว่าญี่ปุ่น
  • ตัวอย่างประโยค: One of our favorite recipes is baked zucchini.

สรุป

การฝึกท่องจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษหมวดผลไม้และผัก จะช่วยส่งเสริมให้เด็กๆ ได้พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษและจำคำศัพท์ได้มากขึ้น เพราะเป็นสิ่งของที่อยู่ใกล้ตัว สามารถพบเห็นได้ทุกวัน และเป็นส่วนประกอบของอาหารที่รับประทานเป็นประจำ จึงทำให้เรียนรู้ได้ง่ายและรวดเร็ว เป็เรื่องง่ายๆ ที่ไม่ควรมองข้าม

พัฒนา eq

รวม 7 กิจกรรมพัฒนา EQ ทำได้ง่าย ๆ เพิ่มความฉลาดทางอารมณ์ในเด็ก

ถ้าอยากให้ลูกน้อยได้ใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์และมีความสุข ผู้ปกครองควรเลี้ยงลูกอย่างใส่ใจตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์ และช่วงที่อายุยังน้อยเป็นช่วงสำคัญที่จำเป็นต้องใส่ใจในเรื่องของพัฒนาการ จะเป็นการดีที่คุณพ่อกับคุณแม่หาข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการในวัยเด็กอยู่เสมอ ๆ 

ในบทความนี้ทาง Speak up จะแนะนำว่าการเน้นพัฒนา EQ  หรือก็คือการเพิ่มความฉลาดทางอารมณ์ คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร พร้อมแนะนำกิจกรรมที่ช่วยพัฒนา EQ ได้เป็นอย่างดีว่ามีอะไรบ้าง

ทำความรู้จักกับ Emotional Quotient (EQ)

อีคิว หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า EQ (Emotional Quotient) แปลว่า  ความฉลาดทางอารมณ์ ที่ควรริเริ่มปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็ก โดยส่วนนี้จะเป็นการเพิ่มความสร้างสรรค์และความสุขให้กับลูกได้ แน่นอนว่าหากมีการปลูกฝังที่ดี ก็จะส่งผลต่อการเข้าสังคมในตอนโต ความสามารถในการจัดการอารมณ์และความรู้สึก สามารถเข้าใจอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากตัวเอง และสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อย่างเหมาะสม ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตตลอดทั้งชีวิต ดังนั้นการฝึก EQ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

eq กับ iq ต่างกันอย่างไร

อีคิว (EQ) กับ ไอคิว (IQ) ต่างกันอย่างไร?

สิ่งสำคัญที่ทำให้ลูกของคุณพ่อและคุณแม่ สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติหรือราบรื่น จำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อเพิ่มศักยภาพในด้านต่างๆ ให้กับลูก จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้การเข้าสังคมอย่างถูกต้อง และเมื่อประสบพบเจอปัญหาจะสามารถแก้ได้อย่างไร โดยจะเกี่ยวเนื่องกับคำว่า อีคิว (EQ) และ ไอคิว (IQ) ซึ่งมีความแตกต่างดังนี้

  • ไอคิว (IQ) คือระดับเชาวน์ปัญญาที่จะเน้นในเรื่องความคิด ความเป็นเหตุเป็นผล การวิเคราะห์สถานการณ์ รวมถึงการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ต่าง ๆ จะส่งผลต่อการเรียนรู้เกี่ยวกับด้านวิชาการได้เป็นอย่างดี ในส่วนตรงนี้นับว่าเป็นศักยภาพของสมองที่มีมาตั้งแต่เกิด สามารถเพิ่มขึ้นได้แต่ไม่มากนัก
  • อีคิว (EQ) คือ ความสามารถรับรู้บรรยากาศโดยรอบเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง และรับรู้ความรู้สึกของคนอื่น นอกจากนี้ก็ยังจะมีการจัดการอารมณ์ของตนเองอย่างเหมาะสม ซึ่งในส่วนนี้ถือว่าพัฒนาได้ตลอดชีวิต แต่แนะนำว่าให้ พัฒนา EQ ตั้งแต่เด็กเพื่อสามารถมีชีวิตที่ดีได้ในอนาคต

องค์ประกอบของอีคิว (EQ) มีอะไรบ้าง?

สำหรับองค์ประกอบของ EQ ที่ทางกรมสุขภาพจิตของไทยได้ให้นิยามไว้ว่าองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ ที่จำเป็นจะต้องมีในเด็กที่กำลัง พัฒนา EQ ดังนี้

ด้านดี

ด้านที่ดี คือ สามารถจัดการความรู้สึกของตัวเอง รวมไปถึงการควบคุมได้เป็นอย่างดี สามารถรับรู้ความต้องการของตัวเองได้ สามารถเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่คนอื่นเป็น มีความสัมพันธ์ในรูปแบบเป็นผู้รับและเป็นผู้ให้ ผิดต้องขอโทษ หากโกรธ ต้องรู้จักการให้อภัย

ด้านเก่ง

ด้านที่เก่ง คือ สามารถรู้ตัวตนของตัวเองว่าเป็นอย่างไร เมื่อประสบพบเจอเรื่องราวจะจัดการและจะแก้ปัญหาอย่างไร พร้อมสร้างพลังบวกให้ตัวเองอยู่เสมอ มีเป้าหมายในการทำอะไรบางอย่าง สามารถยอมรับกับความล้มเหลวและพัฒนาต่อไปได้

ด้านสุข

ด้านสุข คือ ด้านที่สามารถดำเนินชีวิตของตนเองได้อย่างเป็นสุข ซึ่งจุดนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับลูกเป็นอย่างมาก ทางที่ดีคือสามารถมีความสุขได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาใคร มีความมั่นอกมั่นใจ มีความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง พอใจกับชีวิตที่ตัวเองเป็นอยู่ และสามารถหาความสงบทางจิตใจให้กับตนเองได้

ทักษะสำคัญในการสร้างอีคิว

ทักษะสำคัญในการสร้างอีคิว (EQ)

สำหรับการเพิ่มความฉลาดทางอารมณ์ ต้องบอกเลยว่าเป็นสิ่งจำเป็นต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยลูกในวัยเด็กน้อยควรจะเน้นในการ พัฒนา EQ ผ่านการพบเจอสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งภายนอกและภายใน เพื่อที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เหมาะสม การเรียนรู้สภาพจิตใจของตนเอง และการเอาชนะตัวเองให้ได้ โดยทักษะที่ควรจะเน้น แบ่งได้เป็น 4 ทักษะดังนี้

1. การจัดการตนเอง

ในการจัดการตนเอง หมายถึงการจัดการควบคุมความรู้สึกนึกคิด รวมไปถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือหุนหันพลันแล่น ในจุดนี้แนะนำว่าให้ลูกของคุณพ่อและคุณแม่เรียนรู้วิธีที่จะควบคุมอารมณ์ของตัวเอง เรียนรู้การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เช่น เมื่อเด็กมีอารมณ์โกรธ ลองฝึกให้เด็ก “ขอเวลานอก” เพื่อให้เด็กได้อยู่กับตัวเองสักพัก และสามารถจัดการกับอารมณ์โกรธได้ด้วยตัวเอง

2. การตระหนักรู้ในตนเอง

ในการตระหนักรู้ในตนเอง ก็คือการเข้าใจอารมณ์ที่เกิดขึ้นภายในลูกของเรา เมื่อเกิดอารมณ์นี้นำไปสู่ความคิดแบบไหน และนำไปสู่พฤติกรรมใด ซึ่งในจุดนี้หากลูกทำความเข้าใจเป็นอย่างดี ก็จะสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดจากอารมณ์ภายใน และได้เรียนรู้เข้าใจตนเองมากยิ่งขึ้น

3. การรับรู้ และมีส่วนร่วมทางสังคม

ถ้าลูกเราสามารถพัฒนา 2 ข้อแรกได้ การรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่นจึงเป็นเรื่องสำคัญไม่ใช่น้อย หรือก็คือความฉลาดทางอารมณ์ โดยแนะนำเบื้องต้นควรเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกที่คนรอบข้างแสดงออกมา รวมไปถึงความต้องการ หากปรับตรงนี้ได้ดีจะเป็นการต่อยอดในการเข้าสังคมทำให้ใช้ชีวิตประจำวันได้ดียิ่งขึ้น

4. การจัดการความสัมพันธ์กับผู้อื่น

สิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตใจได้ดีที่สุดก็คือความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์กับครอบครัว ญาติมิตร เพื่อน หรือแม้แต่คนรักในอนาคต ถ้ามีการ พัฒนา EQ ที่ดี จะสามารถรักษาความสัมพันธ์ที่มีอยู่ได้ ช่วยในการสื่อสาร และสามารถส่งต่อสิ่งดี ๆ ให้กับผู้อื่นได้

กิจกรรมพัฒนา eq

7 กิจกรรมพัฒนา EQ สำหรับเด็ก ทำได้ง่าย ๆ

สำหรับคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพัฒนา EQ ให้กับลูกอย่างไร Speak Up ขอเสนอ 7 กิจกรรมง่าย ๆ ที่สามารถเลือกหรือนำไปปรับใช้เพื่อพัฒนา EQ สำหรับเด็กได้

1. เล่นตุ๊กตาหรือหุ่นยนต์

การเล่นตุ๊กตาหรือเล่นหุ่นยนต์จะช่วยให้ลูกได้ฝึกจิตนาการต่าง ๆ และสามารถรับรู้ความรู้สึกของลูกผ่านการเล่นตุ๊กตาหรือหุ่นยนต์ ซึ่งจะสามารถแสดงความรู้สึกนึกคิด พัฒนา EQ  ของลูกได้ ในจุดนี้คุณพ่อกับคุณแม่สามารถสอนให้ลูกเรียนรู้อารมณ์ในแบบต่าง ๆ เพิ่มเติมได้

2. การวาดภาพระบายสี

การวาดภาพระบายสีเป็นการฝึกจินตนาการของลูกแบบไร้ขอบเขต เพราะการวาดภาพหรือระบายสี เป็นสิ่งที่ไม่มีผิดไม่มีถูก ในจุดนี้จะเป็นการพัฒนา EQ ที่ดี เพราะลูก ๆ จะสามารถมีสมาธิ จดจ่อกับสิ่งตรงหน้า และแน่นอนว่าสามารถเติมเต็มความสนุกได้อีกด้วย

3. ร้องเพลง หรือเต้น

การร้องเพลงหรือการเต้น โดยสามารถเลือกเพลงที่เหมาะสมตามแต่ละวัยได้ เพราะหากลูกได้ร้องเพลงและเต้น จะช่วยในการพัฒนาสมองได้เป็นอย่างมาก โดยเสียงดนตรีจะสามารถพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ได้โดยตรง แถมยังส่งเสริมความกล้าแสดงออกของเด็ก ๆ ได้อีกด้วย

4. อ่านนิทานให้ฟัง

การเล่านิทานนับเป็นอีกหนึ่งอย่างที่จะช่วยในเรื่องของจินตนาการ ผ่านการเล่านิทานของคุณพ่อคุณแม่ที่เน้นความสนุกสนาน ทำให้เด็กมีความสุขและตื่นเต้นกับเรื่อง อีกทั้งยังเป็นการสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อแม่ และจะทำให้ลูกสามารถปรับตัวในการสร้างความสัมพันธ์ได้ในอนาคต ซึ่งถือว่าเป็น วิธีเพิ่ม EQ ที่ดีมาก ๆ

5. ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายบ่อย ๆ จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับลูกได้เป็นอย่างดี ในขณะที่ออกกำลังกายนั้นจะมีการหลั่งสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข รวมไปถึงการพัฒนาระบบประสาทให้เป็นไปได้ด้วยดี  เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ลูกจะสามารถคิดวิเคราะห์ และผ่านเรื่องราวเหล่านั้นไปได้ เป็นการฝึก EQ ในชีวิตประจำวันได้

6. การแสดงสวมบทบาท

การแสดงสวมบทบาท นับว่าเป็นวิธีเพิ่ม EQ ที่เด็กจะได้สวมบทบาทเป็นตัวละครต่าง ๆ เพื่อที่จะได้เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของตัวละครนั้น ๆ ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถสร้างสัมพันธ์อันดี มีความเข้าอกเข้าใจความรู้สึก และการกระทำของบทบาทอื่น ๆ

7. การใช้คำสอนความรู้สึก

การใช้คำสอนความรู้สึกเป็นวิธีเพิ่ม EQ  โดยเป็นการให้ลูกได้เรียนรู้ความรู้สึกของคำต่าง ๆ ที่เหมาะสมตามแต่ละวัย ถ้ามองก็เหมือนเป็นการเรียนรู้คำและความหมายเหมือนตอนเรียนหนังสือ  แต่ทีนี้จะลงลึกโดยเน้นคำที่เป็นความรู้สึกแทน และลูกจะสามารถเข้าใจได้ว่าคำนี้คือหมายถึงความรู้สึกแบบนี้

กิจกรรมพัฒนา eq

ทำไมความฉลาดทางอารมณ์จึงสำคัญ?

ความฉลาดทางการเรียนเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ทุกคนล้วนต้องการให้ลูก ๆ มี เพื่อความก้าวหน้าในการประกอบอาชีพ เมื่อลูกโตขึ้น แต่การมีระดับเชาว์ปัญญา หรือ IQ สูง เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะทำให้เด็กเติบโตหรือใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ดังนั้น การที่เด็กมีพัฒนาการด้านอารมณ์ หรือ EQ ที่ดีตั้งแต่ยังเล็กจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม

  • ลูกของคุณจะสามารถอยู่กับสังคมภายนอกได้เป็นอย่างดี สามารถปรับเปลี่ยนตามได้อย่างเหมาะสม
  • ลูกสามารถสร้างความสุขได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังสร้างความภาคภูมิใจและความพึงพอใจในตัวเองได้เป็นอย่างดี
  • ลูกจะเข้าใจสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับความสัมพันธ์โดยรอบ สามารถเข้าใจสถานการณ์และเรียนรู้ผิดถูก เมื่อทำผิดก็กล้าที่จะขอโทษและรับผิดชอบการกระทำนั้น
  • ลูกจะกลายเป็นคนที่มีความกล้าในการทำอะไรต่าง ๆ มีความใฝ่รู้ และอยากจะเรียนรู้จากคนอื่น ๆ อยู่เสมอ

สรุป

สำหรับ EQ ซึ่งคือความฉลาดทางอารมณ์ ที่นับเป็นสิ่งที่เด็กควรพัฒนาตั้งแต่ยังเล็กๆ เพื่อที่จะได้รู้จักและเข้าใจตัวเองได้อย่างเต็มที่ สามารถรับรู้สถานการณ์โดยรอบและปรับตัวได้อย่างเหมาะสม ในการใช้ชีวิตกับการสร้างความสัมพันธ์กับคน ก็จะได้สามารถเข้าใจความต้องการหรือรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่นได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะช่วยในการพัฒนาความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ และสำหรับทาง Speak Up เองก็เน้นให้เด็กได้ทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างและพัฒนาอีคิว ให้เหมาะสมตามแต่ละวัยได้

executive function

ทักษะ Execution Function คืออะไร สำคัญมากแค่ไหนกับพัฒนาการของเด็ก

การจะช่วยให้ลูกน้อยในช่วงปฐมวัยมีพัฒนาการที่ดีและเหมาะสมกับช่วงวัยนั้น จำเป็นต้องอาศัยการฝึกฝนทักษะในด้านต่าง ๆ  Executive Function ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มทักษะที่มีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองหลายท่านอาจยังไม่เคยได้ยินชื่อหรือไม่รู้จักเลยก็ตาม

ในบทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับ Executive Functionหรือทักษะ EF ว่าคืออะไร มีองค์ประกอบอะไรบ้าง และมีความสำคัญหรือมีข้อดีอย่างไร พร้อมบอกวิธีในการพัฒนาทักษะเหล่านี้ตั้งแต่ในช่วงปฐมวัยอีกด้วย

executive function คือ

ทำความรู้จัก Execution Function (EF) ทักษะพัฒนาสมอง

Executive Functions หรือทักษะ ​EF คือ ทักษะการคิด และการบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การพลิกแพลง การใช้ความคิดสร้างสรรค์ หรือการเชื่อมข้อมูลจากความทรงจำในช่วงเวลาต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ตลอดจนการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง จึงถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมากกับคนทุกวัย ทั้งในด้านการเรียนรู้ การทำงาน และการเข้าสังคม โดยทักษะ ​EF จะเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองส่วนหน้า (PFC: Prefrontal Cortex)

องค์ประกอบของ Execution Function

องค์ประกอบทั้งหมดของ Executive Function จะมีด้วยกันทั้งหมด 9 ด้าน โดยสามารถจำแนกออกได้เป็น 3 กลุ่มทักษะ ดังนี้

ทักษะพื้นฐาน

ทักษะพื้นฐานของ EF จะมุ่งเน้นไปที่ทักษะที่เกี่ยวข้องกับความคิดโดยตรง ได้แก่

  • Working Memory (ความจำเพื่อใช้งาน)
    คือ ความสามารถในการเก็บและประมวลผลข้อมูลที่ได้จากประสบการณ์ในอดีต และนำมาใช้เมื่อพบเจอสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกันในปัจจุบัน
  • Inhibitory Control (การยั้งคิดไตร่ตรอง)
    คือ ความสามารถในการหยุดคิดก่อนลงมือทำหรือการพูด รวมถึง ความสามารถในการควบคุมความต้องการ โดยพิจารณาจากประสบการณ์
  • Shifting หรือ ​Cognitive Flexibility (ความยืดหยุ่นความคิด)
    คือ ความสามารถในการปรับใช้ประสบการณ์ในอดีตเข้ากับสถานการณ์ใหม่ๆ เช่น การแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกัน การพลิกแพลง หรือการปรับตัว ตลอดจนการใช้ความคิดสร้างสรรค์และการคิดนอกกรอบ

ทักษะกำกับตนเอง

ทักษะกำกับตัวเองของ EF จะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มความสามารถที่เกี่ยวข้องกับการจัดการตนเอง หรือการเรียนรู้ด้วยตนเอง ได้แก่

  • Focus หรือ Attention (จดจ่อ ใส่ใจ)
    คือ ความสามารถในการจดจ่อและให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่ทำอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยไม่วอกแวกในช่วงระยะเวลาหนึ่งหรือการทำงานให้เสร็จทีละอย่าง นั่นเอง
  • Emotional Control (ควบคุมอารมณ์)
    คือ ความสามารถในการควบคุม การจัดการ และการแสดงออกทางอารมณ์อย่างเหมาะสม เช่น ไม่หงุดหงิดง่ายจนเกินไป ไม่ฉุนเฉียวใส่ผู้อื่น
  • Self-Monitoring (การติดตามประเมินตนเอง)
    คือ ความสามารถในการประเมินหรือรู้ทันจุดที่บกพร่องของตนเอง เพื่อนำมาแก้ไขและปรับปรุง

ทักษะปฏิบัติ

ทักษะปฏิบัติของ EF จะมุ่งเน้นไปที่ทักษะที่เกี่ยวข้องกับการลงมือทำจริง ได้แก่

  • Initiating (ริเริ่มและลงมือทำ)
    คือ ความสามารถในการริเริ่มและลงมือทำ หลังผ่านกระบวนการคิดและการพิจารณามาแล้ว เช่น การลงมือทำงานทันทีโดยไม่ผัดวันประกันพรุ่ง
  • Planning and Organizing (วางแผน จัดระบบ ดำเนินการ)
    คือ ความสามารถในการมองภาพรวม และจัดสำดับความสำคัญของสิ่งที่จำเป็นต้องทำอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้
  • Goal – Directed Persistence (มุ่งเป้าหมาย)
    คือ ความพยายามที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ เช่น การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน การฝ่าฟันอุปสรรค ตลอดจนการลุกขึ้นสู้กับปัญหาอีกครั้งหลังจากล้มเหลว เป็นต้น
executive function ความสำคัญ

Execution Function มีความสำคัญอย่างไร

Executive Function มีความสำคัญกับวัยเด็กด้านการเรียนและการใช้ชีวิต เพราะเป็นทักษะที่เกี่ยวข้องกับการจดจำเนื้อหา และการจดจ่อต่อบทเรียน รวมถึงการปรับตัวเมื่อต้องเจอกับกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ และการยับยั้งชั่งใจในการทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น การทดลองใช้สารเสพติด การแสดงท่าทางก้าวร้าว เป็นต้น

เริ่มฝึก Execution Function ช่วงอายุไหนดี

การมีทักษะ Executive Function ที่ดีนั้นเกิดขึ้นได้จากการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ซึ่งสามารถทำได้ผ่านการลงมือปฏิบัติจริงและจากการรวบรวมประสบการณ์ที่หลากหลาย ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่ายิ่งเริ่มฝึกทักษะ EF ไวเท่าไร ก็จะยิ่งช่วยในการทำงานของสมองมากขึ้น จึงควรเริ่มฝึกตั้งแต่ในช่วงปฐมวัยหรืออายุ 3-6 ปี

กิจกรรม ส่งเสริม execution function

5 กิจกรรม ส่งเสริม Execution Function

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการเสริมสร้างทักษะ Executive Function ให้กับลูกน้อยของตัวเอง สามารถทำได้หลายวิธีด้วยกัน เช่น

ปล่อยให้ลูกเล่นตามอิสระ

การปล่อยให้ลูกเล่นตามอิสระ ถือเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยในการส่งเสริมทักษะที่เกี่ยวข้องกับการคิด การพิจารณา และการจัดการได้ เพราะการเล่นเป็นกิจกรรมที่จะทำให้ลูกน้อยได้ลงมือปฏิบัติและเรียนรู้จากการลงมือทำ โดยคุณพ่อคุณแม่อาจเลือกของเล่นเสริมพัฒนาการที่เหมาะสมกับช่วงวัยของลูก คอยดูแลอย่างใกล้ชิด แต่ไม่เข้าไปก้าวก่ายกับการเล่นของลูกน้อย

วาดภาพ ระบายสี

ศิลปะถือเป็นอีกสิ่งที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของลูกน้อยได้ โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกให้ลูกทำกิจกรรมวาดภาพและระบายสี เพราะนอกจากจะช่วยส่งเสริมให้ลูกน้อยได้ใช้ความคิดและจินตนาการอย่างเต็มที่แล้ว การจับดินสอสีมาขีดเขียนเป็นเส้นหรือลวดลายก็จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมัดเล็กได้

ฝึกให้ลูกทำงานบ้าน

การฝึกให้ลูกช่วยทำงานบ้านง่าย ๆ ถือเป็นอีกวิธีที่จะช่วยเสริมสร้างทักษะ EF และยังช่วยสร้างระเบียบวินัยให้กับลูกน้อยได้อีกด้วย โดยหนึ่งในวิธีการเรียนรู้ของเด็กคือจากการเลียนแบบ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงจำเป็นต้องทำให้ดูเป็นตัวอย่างให้กับลูกด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจเลือกให้ลูกทำงานบ้านง่ายๆ เช่น 

  • การให้ลูกเก็บของใช้ของตัวเองให้เป็นที่หรือเป็นระเบียบ เช่น การเก็บแปรงสีฟัน การเก็บเสื้อผ้าเข้าที่ การเก็บของเล่นใส่กล่องหลังจากที่เล่นแล้ว เป็นต้น
  • การช่วยงานบ้านอื่น ๆ เช่น การยกจานข้าวที่กินเรียบร้อยแล้วไปใส่ในอ่างล้างจาน การเช็ดเศษอาหารที่เลอะบนโต๊ะอาหาร เป็นต้น

อ่านนิทานให้ลูกฟังบ่อย ๆ

การอ่านนิทานให้ลูกฟัง การพูดคุยเกี่ยวกับภาพประกอบของนิทาน หรือการตั้งคำถามกับเนื้อเรื่อง ถือเป็นอีกวิธีที่จะช่วยพัฒนาทักษะ EF เช่น ความสามารถในการจดจ่อกับเรื่องที่เล่า ความยืดหยุ่นทางความคิด  เป็นต้น นอกจากนี้ กิจกรรมนี้ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคุณพ่อคุณแม่และลูกน้อยให้มีความใกล้ชิดกันมากขึ้นอีกด้วย

เล่น Role Play

การเล่น Role Play หรือการเล่นตามบทบาทสมมติ เป็นกิจกรรมที่จะช่วยพัฒนาทักษะต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น การสร้างจินตนาการ ทักษะทางด้านภาษา และทักษะการสื่อสาร นอกจากนี้ ยังช่วยให้สามารถพัฒนากล้ามเนื้อมัดต่างๆ ได้ เพราะเป็นกิจกรรมที่จำเป็นต้องมีการเคลื่อนไหวหรือแสดงท่าทางอีกด้วย เช่น

  • การแสดงบทบาทสมมติเป็นอาชีพ เช่น ครู หมอ พยาบาล เป็นต้น
  • การแสดงบทบาทสมมติเป็นสัตว์ เช่น กระต่าย แมว เต่า เป็นต้น
ข้อดี executive function

4 ข้อดี หากลูกมีทักษะ Execution Function

การฝึกให้ลูกน้อยมีทักษะ Executive Function จะมีประโยชน์มากมาย เช่น

เรียนหนังสือได้เก่ง

การเรียนหนังสือให้เก่งและมีผลการเรียนที่ดีนั้น ประกอบด้วยทักษะหลาย ๆ อย่าง เช่น การจดจำเนื้อหาที่เรียน การมีสมาธิในการจดจ่อกับเรื่องที่เรียน ตลอดจนการทำงานที่ได้รับมอบหมายให้ครบถ้วน และการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ดังนั้นการฝึกทักษะ ​EF ในด้านต่าง ๆ จะช่วยสนับสนุนในการเรียนของลูกน้อยได้เป็นอย่างดี

มีพฤติกรรมที่ดี

การฝึกทักษะ ​EF จะช่วยให้ลูกมีพฤติกรรมที่ดี เพราะรู้ว่าควรจัดการกับอารมณ์อย่างไรและควรแสดงออกแบบไหนให้เหมาะสม ตลอดจนการยับยั้งชั่งใจเมื่อถูกชักชวนให้ทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม อย่างการใช้สารเสพติดหรือการขโมยของ

นอกจากนี้การฝึกทักษะ EF ยังช่วยให้สามารถตัดสินใจได้เฉียบขาด กำหนดเป้าหมายและวางแผน และการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี จึงช่วยเสริมให้มีลักษณะของการเป็นผู้นำที่ดีอีกด้วย

มีสุขภาพดี

เมื่อทักษะ ​EF ช่วยให้สามารถตัดสินใจและวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดี จะทำให้ลูกน้อยสามารถเลือกวิธีการดูแลตัวเองได้เหมาะสม เช่น อาหารที่ควรกินหรือควรหลีกเลี่ยง การออกกำลังกาย หรือการหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นโทษแก่ร่างกาย เช่น สารเสพติด บุหรี่ และแอลกออฮอล์ นอกจากนี้ทักษะ EF ยังช่วยให้สามารถจัดการกับความเครียดหรือปัญหาได้เป็นอย่างดี จึงช่วยให้มีสุขภาพจิตที่ดีอีกด้วย

ไม่เป็นสมาธิสั้น

เนื่องจากการฝึกทักษะ ​EF จะช่วยการทำงานของสมองส่วนหน้าที่เกี่ยวข้องกับการจดจ่อกับสิ่งต่างๆ หรือการยับยั้งชั่งใจให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงทักษะในการบริหารจัดการตนเอง จึงเป็นอีกวิธีที่แพทย์นิยมใช้เพื่อรักษาหรือบำบัดเด็กกลุ่มที่มีโรคสมาธิสั้น (ADHD: Attention Deficit Hyperactivity Disorder) ที่มักมีอาการไม่อยู่นิ่ง ไม่สามารถเก็บรายละเอียด หรือขาดความรับผิดชอบ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เด็กสามารถทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สรุป

ทักษะ EF หรือ Executive Function คือทักษะการจัดการและการบริหารสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองส่วนหน้า สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มทักษะใหญ่ คือ ทักษะพื้นฐาน ทักษะกำกับตัวเอง และทักษะปฏิบัติ การพัฒนาทักษะ EF จะช่วยส่งเสริมทั้งด้านการเรียนและการเข้าสังคมของเด็กปฐมวัยได้ โดยควรเริ่มพัฒนาทักษะเหล่านี้ตั้งแต่ช่วงวัย 3-6 ปี ซึ่งเหมาะที่จะให้เรียนภาษาอย่างยิ่ง ที่ Speak Up ก็มีคอร์สเรียนภาษาสำหรับเด็กในช่วงวัยนี้ ยิ่งเรียนรู้ไว ยิ่งพัฒนาองค์ความรู้ให้ลูกเก่งได้ไว

ไฮสโคป

การสอนแบบ High Scope (ไฮสโคป) การเรียนรู้ที่เหมาะกับเด็กปฐมวัย

การสอนหนังสือให้กับเด็กนักเรียนนั้นสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งการเน้นเจาะจงไปที่วิชาการ เน้นการประดิษฐ์ทดลอง แต่การเรียนรู้ที่เหมาะสมนั้นควรส่งเสริมให้เด็กนักเรียนเกิดพัฒนาการทั้งในด้านของอารมณ์ องค์ความรู้ และด้านสังคม ซึ่งการสอนแบบไฮสโคปมีลักษณะที่กล่าวมาทั้งหมด โดยหลักสูตรไฮสโคปนี้จะเน้นให้นักเรียนได้เรียนรู้จากการลงมือทำด้วยตนเองอย่างอิสระ 

บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับการเรียนรู้แบบไฮสโคปที่เหมาะสำหรับเด็กปฐมวัยในยุคนี้ว่ามีที่มา มีหลักการและมีประโยชน์อย่างไรบ้าง เพื่อเป็นแนวทางประกอบการเตรียมพร้อมสำหรับการวางแผนการเรียนให้กับเด็ก ๆ

มาทำความรู้จัก High Scope (ไฮสโคป) การเรียนรู้ผ่านการเล่น

ไฮสโคปเป็นรูปแบบการสอนรูปแบบหนึ่งที่มีต้นแบบมาจากสหรัฐอเมริกา มีหลักสูตรแนวคิดมาจากทฤษฎีของเพียเจต์ เป็นการสอนโดยใช้หลักการสร้างความรู้จากการกระทำผสมผสานกับองค์ความรู้ที่วางแผนไว้ เน้นให้เด็กนักเรียนลงมือทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเองอย่างอิสระ 

ซึ่งกิจกรรมที่ทำนั้น เป็นสิ่งที่เด็กนักเรียนเลือกมานำเสนอให้กับคุณครู จากนั้นคุณครูก็จะออกแบบการเรียนรู้ผ่านกิจกรรม ประกอบกับการจัดเตรียมสื่อและอุปกรณ์ให้เหมาะสม เพื่อให้เด็กเลือกเรียนรู้ผ่านการลงมือทำด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการให้กับเด็กได้ฝึกการคิดวิเคราะห์และจัดการปัญหาเป็นระบบได้ด้วยดี

3 หัวใจสำคัญของ High Scope (ไฮสโคป) วงล้อการเรียนรู้จากการลงมือทำ

การเรียนรู้แบบไฮสโคปมีวงล้อขับเคลื่อนการเรียนรู้หลักๆ อยู่ 3 วงล้อ ได้แก่ การวางแผน การลงมือปฏิบัติและการทบทวน ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

การวางแผน (Plan)

ในขั้นนี้จะเป็นการวางแผนร่วมกันระหว่างครูและนักเรียนถึงแนวทางการเรียนรู้ว่าจะจัดการดำเนินกิจกรรมออกมาในรูปแบบใด มีวิธีการเรียนรู้อย่างไร การวางแผนเช่นนี้จะทำให้นักเรียนสนใจในกิจกรรมที่จัดมากขึ้นเพราะตนเองได้เป็นส่วนหนึ่งในการออกความคิดเห็น ซึ่งจะส่งผลให้เด็กนักเรียนเป็นคนกล้าตัดสินใจ กล้าเสนอความคิดและส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเองอีกด้วย

การลงมือปฏิบัติ (Do)

วงล้อการเรียนรู้แบบไฮสโคปอันต่อมาคือการลงมือปฏิบัติตามแบบแผนที่กำหนดร่วมกันไว้ในขั้นแรก นักเรียนจะต้องทำกิจกรรมโดยใช้วิธีการคิด วิเคราะห์ แก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างอิสระเสรีเพื่อให้กิจกรรมสำเร็จตามเวลาที่กำหนดไว้ 

โดยครูผู้สอนสามารถช่วยให้คำแนะนำประกอบได้ตามความเหมาะสม ซึ่งในขั้นตอนนี้จะส่งเสริมให้เด็กนักเรียนฝึกการทำงานร่วมกันกับผู้อื่น พร้อมทั้งฝึกใช้ความคิด ฝึกทักษะการสื่อสาร

การทบทวน (Review)

วงล้อของไฮสโคปอันสุดท้ายคือการทบทวน โดยจะเป็นการทบทวนดูว่าผลลัพธ์ที่ปรากฏออกมาให้เห็นนั้นเป็นไปตามแผนที่วางไว้หรือไม่ หากไม่เป็นไปตามความต้องการแล้ว เด็กนักเรียนจะมีวิธีการวางแผนใหม่อย่างไร ในขั้นตอนนี้จะเป็นการฝึกการสังเกต ฝึกกระบวนการคิดที่เป็นระบบ ทั้งยังฝึกการถ่ายทอดเรื่องราวประสบการณ์ที่ได้ลงมือทำให้ผู้อื่นสามารถเข้าใจอีกด้วย

จุดเด่นของการสอนแบบ High Scope
(ไฮสโคป)

การเรียนรู้แบบไฮสโคปนั้นต้องอาศัยองค์ประกอบอยู่หลายองค์ประกอบ เพื่อส่งเสริมให้เกิดเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ โดยบทความนี้จะนำเสนอองค์ประกอบที่เป็นจุดเด่นของการสอนแบบไฮสโคป 7 องค์ประกอบ ดังนี้

1. การมีเด็กเป็นศูนย์กลาง

จุดเด่นแรกของการสอนแบบไฮสโคปคือการมีเด็กเป็นจุดศูนย์กลางของการเรียนรู้ กล่าวง่ายๆ คือแบบเรียนและกิจกรรมที่ทำจะต้องอิงจากเด็กนักเรียน โดยเป็นการปรึกษากันว่าตัวของนักเรียนมีความสนใจใคร่รู้ในเรื่องใดบ้าง ต้องการที่จะทำสิ่งใดบ้าง เพื่อที่ว่าเด็กจะได้มีสมาธิและมีความใจจดใจจ่อกับสิ่งที่ตนเองอยากจะทำจริง ๆ

2. พื้นที่และเวลาที่เพียงพอ

จุดเด่นต่อมาของไฮสโคปคือมีพื้นที่และเวลาที่เพียงพอเหมาะสมกับการเรียนรู้ ซึ่งจะเป็นการแบ่งเวลาสำหรับการเล่นและการเรียนรู้ ทำกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งแบบเดี่ยวและแบบกลุ่ม โดยการมีพื้นที่ที่เหมาะสมจะช่วยส่งเสริมให้เด็กนักเรียนเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะหากมีพื้นที่ที่น้อยเกินไป เด็กทุกคนอาจจะเรียนรู้ได้ไม่ทั่วถึงกัน ส่งผลให้เด็กวอกแวก ไม่โฟกัสกับสิ่งที่ทำอยู่ นอกจากนั้นการควบคุมเวลาให้พอดี จะช่วยให้เด็กนักเรียนเรียนรู้ที่จะแบ่งเวลาเป็นและพยายามรักษาเวลาอีกด้วย

3. สื่อและอุปกรณ์เหมาะสม

สื่อและอุปกรณ์ที่เหมาะสม หลากหลาย และมีจำนวนเพียงพอจะช่วยสร้างพัฒนาการที่ดีให้กับเด็กนักเรียน เนื่องจากว่าเด็กจะสามารถเลือกสื่อและอุปกรณ์มาใช้ในการแก้ไขปัญหาและทำกิจกรรมได้อย่างอิสระ อีกทั้งยังต้องผ่านกระบวนการคิด วิเคราะห์ที่จะเลือกสรรอุปกรณ์ให้เหมาะสมเพื่อให้กิจกรรมที่ทำประสบความสำเร็จนั่นเอง

4. การจัดเก็บของ

การเรียนรู้แบบไฮสโคปจะมีการจัดของที่เป็นระบบระเบียบ เพื่อง่ายต่อการเลือกใช้งานในครั้งต่อไป โดยของที่อยู่ในหมวดหมู่ประเภทเดียวกันจะจัดให้อยู่ใกล้ ๆ กัน การทำเช่นนี้จะช่วยให้เด็กรู้จักแยกประเภทของสิ่งของ จดจำว่าสิ่งใดควรเก็บไว้ตรงไหนบ้าง และที่สำคัญที่สุดคือการฝึกให้เด็กรู้ว่าเมื่อใช้ของสิ่งใดเสร็จแล้ว ต้องจัดเก็บสิ่งของให้เข้าที่เข้าทางเสมอ

5. ประสาทสัมผัสทั้ง 5

การใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในการเรียนรู้จะช่วยให้เด็กนักเรียนเป็นคนรู้จักช่างสังเกตสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบกาย ส่งเสริมให้เกิดความสงสัย ใฝ่รู้ และนำไปสู่การลองผิดลองถูกด้วยตนเอง ซึ่งจะสั่งสมเป็นประสบการณ์ให้เด็กต่อไป

6. การบอกเล่าจากเด็ก

การบอกเล่าจากเด็กนั้นถือเป็นการสะท้อนการสอนที่ดี การสอนแบบไฮสโคปจึงเน้นฟังประสบการณ์ที่นักเรียนเป็นคนพบเจอจากการที่ได้ลงมือทำอย่างอิสระ ซึ่งเด็กจะได้ฝึกการถ่ายทอดเรื่องราวให้ผู้อื่นเข้าใจ ฝึกความเชื่อมั่นในตนเอง และหากผลลัพธ์ที่ออกมาไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ เด็กนักเรียนก็จะเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นมากขึ้นด้วย

7. การได้รับความสนับสนุนจากผู้ใหญ่

ไฮสโคปต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้ใหญ่เนื่องจากการเรียนรู้จะต้องมีอุปกรณ์ สื่อ พื่นที่ที่เหมาะสมและเพียงพอ ดังนั้นการที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ก็จะช่วยให้การเรียนรู้แบบไฮสโคปมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 

โดยนอกเหนือจากการเตรียมของที่ต้องใช้ในการเรียนแล้ว การเปิดใจรับฟังเสียงสะท้อนของเด็กและการให้กำลังใจก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ใหญ่ควรทำ เพราะหากสายสัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียนดี บรรยากาศในห้องเรียนก็จะดีตามไปด้วย

ประโยชน์ของการสอนแบบ High Scope
(ไฮสโคป) ที่ได้มากกว่าการเรียนรู้

การสอนแบบไฮสโคปที่เน้นการลงมือทำอย่างอิสระของเด็กนักเรียนนั้นส่งผลให้เกิดประโยชน์ ดังนี้

  • เด็กให้ความสนใจกับการเรียนมากกว่าปกติ เพราะตนเองมีส่วนร่วมในการออกแบบการเรียนรู้และกิจกรรมที่ทำ
  • การสอนแบบไฮสโคปจะช่วยส่งเสริมทักษะต่างๆ ให้กับเด็กนักเรียน เช่น ทักษะการคิดเป็นระบบ ทักษะการวิเคราะห์ปัญหาและการแก้ไขปัญหา ทักษะการสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจ เป็นต้น
  • เด็กนักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นทั้งเพื่อนหรือคุณครู เนื่องจากต้องสื่อสารและพยายามช่วยกันทำกิจกรรมให้เสร็จตามเวลาที่กำหนด
  • เด็กนักเรียนมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ในระยะยาว

สรุป

การเรียนรู้แบบไฮสโคปเป็นการเสริมพัฒนาการให้กับเด็กได้อย่างเหมาะสมเพราะว่าแกนหลักของหลักสูตรคือการให้เด็กนั้นวางแผนการเรียนรู้ร่วมกับคุณครูว่าต้องการให้การเรียนนั้นเป็นอย่างไร มีกิจกรรมอะไรที่เด็กต้องการจะทำบ้าง ซึ่งเด็กก็จะมีจิตใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่คุณครูสอนเนื่องจากเป็นสิ่งที่นักเรียนตัดสินใจเลือกเอง 

โดยการสอนแบบไฮสโคปไม่ได้พัฒนาแค่ด้านสมองเท่านั้น แต่ยังพัฒนาทางด้านอารมณ์และจิตใจด้วย เพราะตัวเด็กนักเรียนต้องทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา 

ทาง Speak Up Language Center ก็ใช้วิธีการสอนที่อิงมาจากการสอนแบบไฮสโคป โดย Speak Up นั้นเป็นสถาบันสอนภาษาที่มีการใช้สื่อและอุปกรณ์ เพื่อช่วยส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการทางด้านสมอง ควบคู่ไปกับการสร้างบรรยากาศในห้องเรียนให้มีความสนุกสนาน หลากหลาย ไม่จำเจ ซึ่งจะทำให้เด็กนักเรียนมีความอยากเรียนรู้อยู่ตลอด ดังนั้นแล้วหากผู้ปกครองท่านใดสนใจเทคนิคไฮสโคปที่นำมาเสนอ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ เผื่อจะนำไปปรับใช้ในการสอนลูกได้เช่นกัน