fbpx

เพลงเป็นตัวช่วยที่ดีในการฝึกภาษาและทักษะต่างๆ ของเด็ก ไปดูข้อดีของการใช้เพลงฝึกภาษา พร้อม 11 เพลงเด็ก พร้อมเนื้อเพลงภาษาอังกฤษ ให้นำไปร้องเล่นกับเด็กๆ กัน

มาฝึกภาษาให้ลูกกับ 11 เพลงเด็กภาษาอังกฤษ พร้อมเนื้อเพลง

สารบัญ
มาฝึกภาษาให้ลูกกับ 11 เพลงเด็กภาษาอังกฤษ พร้อมเนื้อเพลง

มาฝึกภาษาให้ลูกกับ 11 เพลงเด็กภาษาอังกฤษ พร้อมเนื้อเพลง

ทักษะการสื่อสารและภาษา เป็นทักษะที่สำคัญมากสำหรับทุกคน ดังนั้นจึงต้องส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็กๆ เพื่อที่เด็กจะสามารถนำไปต่อยอดการเรียนรู้สิ่งอื่นต่อได้ การใช้เพลงฝึกภาษาอังกฤษ เป็นทางเลือกที่ดีที่จะดึงดูด และทำให้เด็กเล็กสนใจการฝึกภาษา เพราะเสียงเพลงเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับทุกคน ทุกวัย เด็กเองก็ชอบที่จะได้ยินเสียงเพลงเช่นกัน โดยเพลงสำหรับเด็กมีเนื้อเพลงที่ซ้ำไปซ้ำมา จำได้ง่ายทำให้เด็กเรียนรู้คำศัพท์และโครงสร้างประโยคอย่างสนุกสนาน 

ดังนั้นเพลงนี่แหละที่จะเป็นตัวช่วยที่ดีในการฝึกภาษาอังกฤษและทักษะต่างๆ ของเด็ก บทความนี้จะพาไปดูข้อดีของการใช้เพลงฝึกภาษาอังกฤษ พร้อม 11 เนื้อเพลงเด็กภาษาอังกฤษ ให้นำไปร้องเล่นกับเด็กๆ กัน

ฝึกภาษาไปกับเนื้อเพลงเด็ก ภาษาอังกฤษ ดียังไง

ฝึกภาษาไปกับเนื้อเพลงเด็ก ภาษาอังกฤษ ดียังไง

เพลงเด็กภาษาอังกฤษ จะมีเนื้อเพลงเสริมทักษะการเรียนรู้ที่สนุกและน่าสนใจ เพราะเด็กจะรู้สึกสนุก และมีความสุขขณะร้องเพลง ไม่กดดันหรือฝืนเหมือนการท่องจำ จะทำให้เด็กๆ ให้ความร่วมมือ และมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ โดยการฝึกให้เด็กร้องเพลงภาษาอังกฤษ ใช้ได้กับทั้งเด็กอนุบาล และเด็กประถม ซึ่งการร้องเพลงภาษาอังกฤษจะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการต่างๆ ดังนี้

ช่วยพัฒนาด้านภาษา

การใช้เพลงในการฝึกภาษาอังกฤษช่วยในการพัฒนาด้านภาษาของเด็กอย่างมาก เพราะเด็กจะเริ่มต้นด้วยการฟัง และจะเริ่มเข้าใจภาษาอังกฤษ โดยเรียนรู้คำศัพท์ และโครงสร้างประโยคผ่านทางการฟังเนื้อเพลง อีกทั้งยังช่วยพัฒนาทักษะในการออกเสียงที่ชัดเจน เด็กสามารถใช้เนื้อเพลงในการฝึกการพูดอย่างชัดเจน และสามารถเรียนรู้คำศัพท์ และสรรพนามในบทบาทต่างๆ ในเนื้อเพลง ทำให้เข้าใจการใช้ศัพท์ในเนื้อเพลงได้

ช่วยพัฒนาด้านการจัดการอารมณ์

การร้องเพลงสามารถทำให้เด็กแสดงความรู้สึก และแสดงอารมณ์ผ่านเพลงได้  ซึ่งจะทำให้เด็กๆ เข้าใจอารมณ์ของตนเอง และผู้อื่น เพราะในแต่ละเพลงจะส่งอารมณ์ที่แตกต่างกัน เช่น การร้องเพลงเกี่ยวกับความสุข ความสนุกสนาน หรือความเศร้าเสียใจ ช่วยให้เด็กเข้าใจ และปรับอารมณ์ของเด็กในสถานการณ์ต่างๆ บางเพลงมีเนื้อเพลงที่นับถอยหลัง ซึ่งการร้องเพลงด้วยการนับถอยหลังจะช่วยให้เด็กเรียนรู้ และฝึกการจัดการอารมณ์ของตนเองในระหว่างการรอคอยได้

ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับเด็ก

การร้องเพลงเป็นประสบการณ์ที่สนุก และเป็นทางเลือกที่ดีในการสร้างความมั่นใจ เพราะความรู้สึกของเด็กที่สามารถร้องเพลงได้บางท่อน หรือร้องได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นความสำเร็จที่น่าภูมิใจ เด็กๆ จะรู้สึกมั่นใจในความสามารถของตนเอง และจะสามารถนำความมั่นใจไปต่อยอดกิจกรรมที่พัฒนาทักษะการเรียนรู้อย่างอื่นได้

ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดี

อาจจะสงสัยว่าการที่เด็กได้ฝึกร้องเพลงอนุบาลภาษาอังกฤษ จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้อย่างไร การร้องเพลงจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครองได้ เพราะการร้องเพลงร่วมกันเป็นกิจกรรมที่สนุก และเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองและเด็กได้ สามารถนั่งร้องเพลงร่วมกันในเวลาว่างหรือเวลาเข้านอนได้ เป็นการสร้างความสนิท และเพิ่มความรักในครอบครัว อีกทั้งยังส่งเสริมความกล้าในการเข้าสังคม ไม่เขินอาย สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันได้อย่างราบรื่น

ช่วยให้เด็กได้ออกกำลัง

เด็กที่กำลังร้องเพลงจะแสดงอารมณ์ต่างๆ ผ่านการขยับร่างกายได้อย่างชัดเจน การเต้นรำหรือเคลื่อนไหวตามเพลงจะช่วยปลดปล่อยอารมณ์ และลดความตึงเครียด โดยผู้ปกครองสามารถสร้างกิจกรรมที่ร่วมกับการร้องเพลงภาษาอังกฤษได้ เช่น การเต้นรำ การเคลื่อนไหว หรือการทำกิจกรรมท่องเที่ยวที่มีเพลงเป็นส่วนหนึ่ง เพื่อเพิ่มความสนุกสนาม

รวม 11 เพลงเด็กภาษาอังกฤษ พร้อมเนื้อเพลง

รวม 11 เพลงเด็กภาษาอังกฤษ พร้อมเนื้อเพลง

เมื่อได้รู้แล้วว่าการที่เด็กๆ ฝึกภาษาอังกฤษด้วยวิธีการร้องเพลงนั้นสามารถเสริมสร้างทักษะด้านภาษา และได้รับประโยชน์ด้านอื่นๆ แล้ว คุณพ่อคุณแม่อยากจะหาเพลงภาษาอังกฤษดีๆ ร้องง่าย ฟังติดหู ไปร้องกับลูกๆ หรือคุณครูที่อยากหาเพลงภาษาอังกฤษไปให้นักเรียนฝึกร้องในห้องเรียน Speak Up ได้รวบรวม 11 เพลงภาษาอังกฤษ พร้อมคำอ่านภาษาไทย มาให้เลือกแล้ว ดังนี้

1. Tommy Thumb Where Are You?

1. Tommy Thumb Where Are You?

“Tommy Thumb Where Are You?” เป็นเพลงเด็กภาษาอังกฤษที่มีเนื้อเพลงชวนเด็กๆ เล่นเกม และเพลิดเพลินกับท่าทางของนิ้วมือ เนื้อเพลงจำง่าย ไม่ซับซ้อน เป็นอีกวิธีที่ใช้สอนศัพท์นิ้วทั้ง 5 นิ้ว อย่างสนุกสนาน ซึ่งแต่ละนิ้วจะถูกยกขึ้น และนำมาแสดงตามที่ร้องเพลง ซึ่งการฝึกจำ และสังเกตศัพท์นิ้วมือเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ เป็นวิธีพัฒนาทักษะการจำ และการควบคุมร่างกายของเด็ก

Tommy Thumb Tommy Thumb (ทอมมี่ ธัม ทอมมี่ ธัม)

ทอมมี่นิ้วโป้ง ทอมมี่นิ้วโป้ง

Where are you? (แวร์ อาร์ ยู)

อยู่ที่ไหน?

Here I am here I am (เฮียร์ ไอ แอม เฮียร์ ไอ แอม)

อยู่นี่จ๊ะ อยู่นี่จ๊ะ

How do you do? (ฮาว ดู ยู ดู)

สุขสบายดีหรือไร?

Peter Pointer Peter Pointer (พีเทอะ พอยน์เทอะ พีเทอะ พอยน์เทอะ)

ปีเตอร์นิ้วชี้ ปีเตอร์นิ้วชี้

Where are you? (แวร์ อาร์ ยู)

อยู่ที่ไหน?

Here I am here I am (เฮียร์ ไอ แอม เฮียร์ ไอ แอม)

อยู่นี่จ๊ะ อยู่นี่จ๊ะ

How do you do? (ฮาว ดู ยู ดู)

สุขสบายดีหรือไร?

 

Toby Tall Toby Tall (โทบี ทอล โทบี ทอล)

โทบี้นิ้วกลาง โทบี้นิ้วกลาง

Where are you? (แวร์ อาร์ ยู)

อยู่ที่ไหน?

Here I am here I am (เฮียร์ ไอ แอม เฮียร์ ไอ แอม)

อยู่นี่จ๊ะ อยู่นี่จ๊ะ

How do you do? (ฮาว ดู ยู ดู)

สุขสบายดีหรือไร?

 

Ruby Ring Ruby Ring (รูบี ริง รูบี ริง)

รูบี้นิ้วนาง รูบี้นิ้วนาง

Where are you? (แวร์ อาร์ ยู)

อยู่ที่ไหน?

Here I am here I am (เฮียร์ ไอ แอม เฮียร์ ไอ แอม)

อยู่นี่จ๊ะ อยู่นี่จ๊ะ

How do you do? (ฮาว ดู ยู ดู)

สุขสบายดีหรือไร?

 

Baby Small Baby Small (เบบี สมอล เบบี สมอล)

เบบี้นิ้วก้อย เบบี้นิ้วก้อย

Where are you? (แวร์ อาร์ ยู)

อยู่ที่ไหน?

Here I am here I am (เฮียร์ ไอ แอม เฮียร์ ไอ แอม)

How do you do? (ฮาว ดู ยู ดู)

สุขสบายดีหรือไร?

2. Ten Little Fingers

2. Ten Little Fingers

เพลงภาษาอังกฤษสำหรับเด็กอนุบาลเพลงนี้ เป็นเพลงที่สอนนับจำนวนนิ้วมือ เป็นเพลงที่สามารถช่วยให้เด็กเรียนรู้การนับจำนวนตั้งแต่หนึ่งถึงสิบ แต่ละส่วนของเนื้อเพลงระบุจำนวนนิ้วมือที่ต้องนับ การร้องเพลงนี้ช่วยในการฝึกทักษะการนับ และการจดจำจำนวนตัวเลขของเด็ก อีกทั้งยังส่งเสริม และปูพื้นฐานการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์ที่อยู่ในขั้นพื้นฐาน

One little, two little, three little fingers. (วัน ลิทเทิล ทู ลิทเทิล ธรี ลิทเทิล ฟิงเกอร์ซฺ)
หนึ่ง แล้วก็สอง แล้วก็สามนิ้วมือน้อย
Four little, five little, six little fingers. (โฟร์ ลิทเทิล ไฟว์ ลิทเทิล ซิกซฺ ลิทเทิล ฟิงเกอร์ซฺ)
สี่ แล้วก็ห้า แล้วก็หกนิ้วมือน้อย
Seven little, eight little, nine little fingers. (เซฟวฺ เวิน ลิทเทิล เอท ลิทเทิล ไนนฺ ลิทเทิล ฟิงเกอร์ซฺ)
เจ็ด แล้วก็แปด แล้วก็เก้านิ้วมือน้อย
Ten fingers on my hand. (เท็น ฟิงเกอร์ซฺ ออน มาย แฮนด์)
สิบนิ้วบนมือของฉัน

Ten little, nine little, eight little fingers. (เท็น ลิทเทิล ไนน ลิทเทิล เอท ลิทเทิล ฟิงเกอร์ซฺ)

สิบ แล้วก็เก้า แล้วก็แปดนิ้วมือน้อย
Seven little, six little, five little fingers. (เซฟวฺ เวิน ลิทเทิล ซิกซฺ ลิทเทิล ไฟว์ ลิทเทิล ฟิงเกอร์ซฺ)
เจ็ด แล้วก็หก แล้วก็ห้านิ้วมือน้อย
Four little, three little, two little fingers. (โฟร์ ลิทเทิล ธรี ลิทเทิล ทู ลิทเทิล ฟิงเกอร์ซฺ)
สี่ แล้วก็สาม แล้วก็สองนิ้วมือน้อย
One finger on my hand. (วัน ฟิงเกอร์ซฺ ออน มาย แฮนด์)
หนึ่งนิ้วบนมือฉัน

3. Five Green Bottles

3. Five Green Bottles

“Five Green Bottles” เป็นเพลงที่นับถอยหลัง (countdown) เหมาะกับการเรียนรู้การนับจำนวนถอยหลังจากห้าไปจนถึงศูนย์ เพลงนี้เป็นอีกหนึ่งเพลงที่สนุก สามารถใช้ในการฝึกพัฒนาทักษะการนับเลข และความจำของเด็กได้อีกด้วย

Five green bottles hanging on the wall (ไฟว์ กรีน บอทเทิลซฺ แฮงกิง ออน เดอะ วอล)

ขวดเขียวห้าขวดอยู่บนกำแพง
Five green bottles hanging on the wall (ไฟว์ กรีน บอทเทิลซฺ แฮงกิง ออน เดอะ วอล)

ขวดเขียวห้าขวดอยู่บนกำแพง
And if one green bottle should accidentally fall (แอนดฺ อิฟ วัน กรีน บอทเทิล เชิด แอคซิเดนแท็ลลิ ฟอล)

ถ้าหนึ่งขวดเขียวเกิดตกลงมา
There’d be four green bottles hanging on the wall (แธ บี โฟว์ กรีน บอทเทิลซฺ แฮงกิง ออน เดอะ วอล)

เหลือสี่ขวดเขียวอยู่บนกำแพง


Four green bottles hanging on the wall (โฟว์ กรีน บอทเทิลซฺ แฮงกิง ออน เดอะ วอล)

ขวดเขียวสี่ขวดอยู่บนกำแพง

Four green bottles hanging on the wall (โฟว์ กรีน บอทเทิลซฺ แฮงกิง ออน เดอะ วอล)

ขวดเขียวสี่ขวดอยู่บนกำแพง
And if one green bottle should accidentally fall (แอนดฺ อิฟ วัน กรีน บอทเทิล เชิด แอคซิเดนแท็ลลิ ฟอล)

ถ้าหนึ่งขวดเขียวเกิดตกลงมา
There’d be three green bottles hanging on the wall (แธ บี ธรี กรีน บอทเทิลซฺ แฮงกิง ออน เดอะ วอล)

เหลือสามขวดเขียวอยู่บนกำแพง


Three green bottles hanging on the wall (ธรี กรีน บอทเทิลซฺ แฮงกิง ออน เดอะ วอล)

ขวดเขียวสามขวดอยู่บนกำแพง
Three green bottles hanging on the wall (ธรี กรีน บอทเทิลซฺ แฮงกิง ออน เดอะ วอล)

ขวดเขียวสามขวดอยู่บนกำแพง
And if one green bottle should accidentally fall (แอนดฺ อิฟ วัน กรีน บอทเทิล เชิด แอคซิเดนแท็ลลิ ฟอล)

ถ้าหนึ่งขวดเขียวเกิดตกลงมา
There’d be two green bottles hanging on the wall (แธ บี ทู กรีน บอทเทิลซฺ แฮงกิง ออน เดอะ วอล)

เหลือสองขวดเขียวอยู่บนกำแพง


Two green bottles hanging on the wall (ทู กรีน บอทเทิลซฺ แฮงกิง ออน เดอะ วอล)

ขวดเขียวสองขวดอยู่บนกำแพง
Two green bottles hanging on the wall (ทู กรีน บอทเทิลซฺ แฮงกิง ออน เดอะ วอล)

ขวดเขียวสองขวดอยู่บนกำแพง
And if one green bottle should accidentally fall (แอนดฺ อิฟ วัน กรีน บอทเทิล เชิด แอคซิเดนแท็ลลิ ฟอล)

ถ้าหนึ่งขวดเขียวเกิดตกลงมา
There’d be one green bottle hanging on the wall (แธ บี วัน กรีน บอทเทิล แฮงกิง ออน เดอะ วอล)

เหลือหนึ่งขวดเขียวอยู่บนกำแพง


One green bottle hanging on the wall (วัน กรีน บอทเทิลซฺ แฮงกิง ออน เดอะ วอล)

ขวดเขียวหนึ่งขวดอยู่บนกำแพง

One green bottle hanging on the wall (วัน กรีน บอทเทิลซฺ แฮงกิง ออน เดอะ วอล)

ขวดเขียวหนึ่งขวดอยู่บนกำแพง
And if one green bottle should accidentally fall (แอนดฺ อิฟ วัน กรีน บอทเทิล เชิด แอคซิเดนแท็ลลิ ฟอล)

ถ้าหนึ่งขวดเขียวเกิดตกลงมา
There’d be no green bottles hanging on the wall (แธ บี โน กรีน บอทเทิลซฺ แฮงกิง ออน เดอะ วอล)

ไม่เหลือขวดเขียวอยู่บนกำแพง

4. Five Little Ducks

4. Five Little Ducks

“Five Little Ducks” เป็นเพลงภาษาอังกฤษสําหรับอนุบาลที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับลูกเป็ด 5 ตัว ที่ออกไปเที่ยว และหลังจากนั้นก็กลับมาไปแม่เป็ดที่บ่นว่าลูกหายไปหนึ่งตัว แต่กลับพบว่าลูกเป็ดทั้งห้ากลับมาอยู่กับแม่เป็ดอย่างปลอดภัย ผู้ปกครองสามารถสอนเด็กๆ นับเลขถอยหลังไปพร้อมกับการฝึกภาษาได้ ทั้งเนื้อเพลง และท่าทางของนิ้วมือ จะช่วยให้เด็กเรียนรู้การนับเลขถอยหลัง และการพัฒนาทักษะสื่อสารได้

One …. two …. three… Four….five (วัน….ทู….ธรี….โฟว์….ไฟว์)

หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า

Five little ducks (ไฟว์ ลิทเทิล ดัคซฺ)

ลูกเป็ดห้าตัว

Went out one day (เวนทฺ เอาท์ วัน เดย์)

ออกไปเดินเล่น

Over the hill and far away (โอเฝอะ เดอะ ฮิล แอนดฺ ฟาร์ อะเวย์)

ข้ามภูเขาไปไกลแสนไกล

Mother duck said (มาเธอะ ดัค เซด)

แม่เป็ดร้องเรียก

“Quack, quack, quack, quack.” (แควคฺ, แควคฺ, แควคฺ, แควคฺ)

ก๊าบ ก๊าบ ก๊าบ ก๊าบ  

But only four little ducks came back. (บัท โอนลี โฟว์ ลิทเทิล ดัคซฺ เคม แบค)

แต่มีลูกเป็ดแค่สี่ตัวกลับมา

 

One …. two …. three… Four (วัน….ทู….ธรี….โฟว์)

หนึ่ง สอง สาม สี่

Four little ducks (โฟว์ ลิทเทิล ดัคซฺ)

ลูกเป็ดสี่ตัว

Went out one day (เวนทฺ เอาท์ วัน เดย์)

ออกไปเดินเล่น

Over the hill and far away (โอเฝอะ เดอะ ฮิล แอนดฺ ฟาร์ อะเวย์)

ข้ามภูเขาไปไกลแสนไกล

Mother duck said (มาเธอะ ดัค เซด)

แม่เป็ดร้องเรียก

“Quack, quack, quack, quack.” (แควคฺ, แควคฺ, แควคฺ, แควคฺ)

ก๊าบ ก๊าบ ก๊าบ ก๊าบ  

But only three little ducks came back. (บัท โอนลี ธรี ลิทเทิล ดัคซฺ เคม แบค)

แต่มีลูกเป็ดแค่สามตัวกลับมา

One …. two …. three… (วัน….ทู….ธรี)

หนึ่ง สอง สาม

Three little ducks (ธรี ลิทเทิล ดัคซฺ)

ลูกเป็ดสามตัว

Went out one day (เวนทฺ เอาท์ วัน เดย์)

ออกไปเดินเล่น

Over the hill and far away (โอเฝอะ เดอะ ฮิล แอนดฺ ฟาร์ อะเวย์)

ข้ามภูเขาไปไกลแสนไกล

Mother duck said (มาเธอะ ดัค เซด)

แม่เป็ดร้องเรียก

“Quack, quack, quack, quack.” (แควคฺ, แควคฺ, แควคฺ, แควคฺ)

ก๊าบ ก๊าบ ก๊าบ ก๊าบ  

But only two little ducks came back. (บัท โอนลี ทู ลิทเทิล ดัคซฺ เคม แบค)

แต่มีลูกเป็ดแค่สองตัวกลับมา

One…. two (วัน….ทู)

หนึ่ง สอง 

Two little ducks (ทู ลิทเทิล ดัคซฺ)

ลูกเป็ดสองตัว

Went out one day (เวนทฺ เอาท์ วัน เดย์)

ออกไปเดินเล่น

Over the hill and far away (โอเฝอะ เดอะ ฮิล แอนดฺ ฟาร์ อะเวย์)

ข้ามภูเขาไปไกลแสนไกล

Mother duck said (มาเธอะ ดัค เซด)

แม่เป็ดร้องเรียก

“Quack, quack, quack, quack.” (แควคฺ, แควคฺ, แควคฺ, แควคฺ)

ก๊าบ ก๊าบ ก๊าบ ก๊าบ  

But only one little duck came back. (บัท โอนลี วัน ลิทเทิล ดัคซฺ เคม แบค)

แต่มีลูกเป็ดแค่หนึ่งตัวกลับมา

One (วัน)

หนึ่ง 

One little duck (วัน ลิทเทิล ดัคซฺ)

ลูกเป็ดหนึ่งตัว

Went out one day (เวนทฺ เอาท์ วัน เดย์)

ออกไปเดินเล่น

Over the hill and far away (โอเฝอะ เดอะ ฮิล แอนดฺ ฟาร์ อะเวย์)

ข้ามภูเขาไปไกลแสนไกล

Mother duck said (มาเธอะ ดัค เซด)

แม่เป็ดร้องเรียก

“Quack, quack, quack, quack.” (แควคฺ, แควคฺ, แควคฺ, แควคฺ)

ก๊าบ ก๊าบ ก๊าบ ก๊าบ  

But none of the five little ducks came back. (บัท นัน ออฟ เดอะ ไฟว์ ลิทเทิล ดัคซฺ เคม แบค)

แต่ไม่มีลูกเป็ดตัวไหนกลับมา

No (โน)

ไม่มี

No little duck (โน ลิทเทิล ดัคซฺ)

ไม่มีลูกเป็ด

Went out one day (เวนทฺ เอาท์ วัน เดย์)

ออกไปเดินเล่น

Over the hill and far away (โอเฝอะ เดอะ ฮิล แอนดฺ ฟาร์ อะเวย์)

ข้ามภูเขาไปไกลแสนไกล

Mother duck said (มาเธอะ ดัค เซด)

แม่เป็ดร้องเรียก

“Quack, quack, quack, quack.” (แควคฺ, แควคฺ, แควคฺ, แควคฺ)

ก๊าบ ก๊าบ ก๊าบ ก๊าบ  

But none of the five little ducks came back. (บัท นัน ออฟ เดอะ ไฟว์ ลิทเทิล ดัคซฺ เคม แบค)

แต่ไม่มีลูกเป็ดห้าตัวกลับมา

One two three four five . (วัน….ทู….ธรี….โฟว์….ไฟว์)

หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า

5. Five Speckled Frogs

5. Five Speckled Frogs

เนื้อเพลงฝึกภาษาอังกฤษที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับลูกกบ 5 ตัว ที่นั่งอยู่บนขอนไม้ ลูกกบแต่ละตัวจะกระโดดลงจากขอนไม้ ทีละหนึ่งตัว เมื่อมีแมลงวันบินผ่านมา แม่กบจะร้องเพลงเป็นการนับถอยหลังเริ่มจากลูกกบตัวที่ 5 และลดลงมาทีละตัว จนกว่าจะไม่มีลูกกบเหลืออยู่บนขอนไม้ เพลงนี้เป็นอีกเพลงที่สอนนับเลขถอยหลัง ที่สามารถพัฒนาทักษะการพูดและการร้องเพลงของเด็ก ด้วยวิธีการนับลูกกบ ผู้ปกครองสามารถเพิ่มลูกเล่น”Yum, yum!” เป็นการส่งเสริมความมั่นใจให้เด็กในขณะร้องเพลง

Five Little Speckled Frogs. (ไฟว์ ลิทเทิล สเพคเคิล ฟรอกซฺ)

ลูกกบลายจุดห้าตัว

Sat on a speckled log. (แซท ออน อะ สเพคเคิล ลอก)

นั่งบนขอนไม้มีลายด่าง

Eating the most delicious bugs. Yum! Yum! (อีททิง เดอะ โมสทฺ ดิลิชเชิส บักซฺ ยัม! ยัม!)

กำลังกินแมลงสุดแสนอร่อย งั่ม งั่ม

One jumped into the pool. (วัน จัมพฺ อินทู พูล)

หนึ่งตัวกระโดดลงสระน้ำ

Where it was nice and cool. (แวร์ อิท วอส ไนสฺ แอนดฺ คูล)

ซึ่งมีอากาศเย็นและสบาย

Now there are Four green speckled frogs. (เนา แดร์ อาร์ โฟว์ กรีน สเพคเคิล ฟรอกซฺ)

ตอนนี้เหลือกบลายจุดสี่ตัว

Four Little Speckled Frogs. (โฟว์ ลิทเทิล สเพคเคิล ฟรอกซฺ)

ลูกกบลายจุดสี่ตัว

Sat on a speckled log. (แซท ออน อะ สเพคเคิล ลอก)

นั่งบนขอนไม้มีลายด่าง

Eating the most delicious bugs. Yum! Yum! (อีททิง เดอะ โมสทฺ ดิลิชเชิส บักซฺ ยัม! ยัม!)

กำลังกินแมลงสุดแสนอร่อย งั่ม งั่ม

One jumped into the pool. (วัน จัมพฺ อินทู พูล)

หนึ่งตัวกระโดดลงสระน้ำ

Where it was nice and cool. (แวร์ อิท วอส ไนสฺ แอนดฺ คูล)

ซึ่งมีอากาศเย็นและสบาย

Now there are Three green speckled frogs. (เนา แดร์ อาร์ ธรี กรีน สเพคเคิล ฟรอกซฺ)

ตอนนี้เหลือกบลายจุดสามตัว

Three little speckled frogs. (ธรี ลิทเทิล สเพคเคิล ฟรอกซฺ)

ลูกกบลายจุดสามตัว

Sat on a speckled log. (แซท ออน อะ สเพคเคิล ลอก)

นั่งบนขอนไม้มีลายด่าง

Eating the most delicious bugs. Yum! Yum! (อีททิง เดอะ โมสทฺ ดิลิชเชิส บักซฺ ยัม! ยัม!)

กำลังกินแมลงสุดแสนอร่อย งั่ม งั่ม

One jumped into the pool. (วัน จัมพฺ อินทู พูล)

หนึ่งตัวกระโดดลงสระน้ำ

Where it was nice and cool. (แวร์ อิท วอส ไนสฺ แอนดฺ คูล)

ซึ่งมีอากาศเย็นและสบาย

Now there are Two green speckled frogs. (เนา แดร์ อาร์ ทู กรีน สเพคเคิล ฟรอกซฺ)

ตอนนี้เหลือกบลายจุดสองตัว

Two little speckled frogs. (ทู ลิทเทิล สเพคเคิล ฟรอกซฺ)

ลูกกบลายจุดสองตัว

Sat on a speckled log. (แซท ออน อะ สเพคเคิล ลอก)

นั่งบนขอนไม้มีลายด่าง

Eating the most delicious bugs. Yum! Yum! (อีททิง เดอะ โมสทฺ ดิลิชเชิส บักซฺ ยัม! ยัม!)

กำลังกินแมลงสุดแสนอร่อย งั่ม งั่ม

One jumped into the pool. (วัน จัมพฺ อินทู พูล)

หนึ่งตัวกระโดดลงสระน้ำ

Where it was nice and cool. (แวร์ อิท วอส ไนสฺ แอนดฺ คูล)

ซึ่งมีอากาศเย็นและสบาย

Now there is one green speckled frog. (เนา แดร์ อีส วัน กรีน สเพคเคิล ฟรอก)

ตอนนี้เหลือกบลายจุดหนึ่งตัว

One little speckled frog. (วัน ลิทเทิล สเพคเคิล ฟรอก)

ลูกกบลายจุดหนึ่งตัว

Sat on a speckled log. (แซท ออน อะ สเพคเคิล ลอก)

นั่งบนขอนไม้มีลายด่าง

Eating the most delicious bugs. Yum! Yum! (อีททิง เดอะ โมสทฺ ดิลิชเชิส บักซฺ ยัม! ยัม!)

กำลังกินแมลงสุดแสนอร่อย งั่ม งั่ม

It jumped into the pool. (อิท จัมพฺ อินทู เดอะ พูล)

หนึ่งตัวกระโดดลงสระน้ำ

Where it was nice and cool. (แวร์ อิท วอส ไนสฺ แอนดฺ คูล)

ซึ่งมีอากาศเย็นและสบาย

Now there is no more speckled frogs. (เนา แดร์ อีส โน โมรฺ สเพคเคิล ฟรอกซฺ)

ตอนนี้ไม่เหลือกบลายจุดสักตัว

6. If You’re Happy and You Know It

6. If You’re Happy and You Know It

พลงภาษาอังกฤษสําหรับอนุบาลต่อมาเป็นเพลงที่มีจังหวะสนุกสนาน เน้นการแสดงออกเกี่ยวกับความสุขและความรู้สึกพอใจ สามารถสร้างบรรยากาศที่สนุกสนาน และสดใสให้กับเด็กๆ ได้ ผู้ปกครองสามารถนำเพลงนี้มาสร้างกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหว หรือการกระทำที่เกี่ยวข้องกับแต่ละส่วนของเนื้อเพลง เพื่อส่งเสริมการฟัง  และไหวพริบในการจับจังหวะจากการตบมือได้

 

If you’re happy and you know it, clap your hands (clap clap)
[อีฟ ยัวร์ แฮพพี แอนดฺ ยู โน อิท, แคลพฺ ยัวร์ แฮนด์ซฺ (ตบมือ)]
หากพวกเรากำลังสบาย จงปรบมือพลัน (แปะ แปะ)
If you’re happy and you know it, clap your hands (clap clap)
[อีฟ ยัวร์ แฮพพี แอนดฺ ยู โน อิท, แคลพฺ ยัวร์ แฮนด์ซฺ (ตบมือ)]
หากพวกเรากำลังสบาย จงปรบมือพลัน (แปะ แปะ)
If you’re happy and you know it, then your face will surely show it
[อีฟ ยัวร์ แฮพพี แอนดฺ ยู โน อิท, เธน ยัวร์ เฟส วิล ชัวลี โชว์ อิท]

หากพวกเรากำลังมีสุข หมดความทุกข์ไปแล้วทุกสิ่ง
If you’re happy and you know it, clap your hands. (clap clap)
[อีฟ ยัวร์ แฮพพี แอนดฺ ยู โน อิท, แคลพฺ ยัวร์ แฮนด์ซฺ (ตบมือ)]
มัวประวิงอะไรกันเล่า จงปรบมือพลัน (แปะ แปะ)

If you’re happy and you know it, stomp your feet (stomp stomp)
[อีฟ ยัวร์ แฮพพี แอนดฺ ยู โน อิท, สตอมพฺ ยัวร์ ฟีท (กระทืบเท้า)]
หากพวกเรากำลังสบาย กระทืบเท้าพลัน (ตึบ ตึบ)
If you’re happy and you know it, stomp your feet (stomp stomp)
[อีฟ ยัวร์ แฮพพี แอนดฺ ยู โน อิท, สตอมพฺ ยัวร์ ฟีท (กระทืบเท้า)]
หากพวกเรากำลังสบาย กระทืบเท้าพลัน (ตึบ ตึบ)
If you’re happy and you know it, then your face will surely show it
[อีฟ ยัวร์ แฮพพี แอนดฺ ยู โน อิท, เธน ยัวร์ เฟส วิล ชัวลี โชว์ อิท]
หากพวกเรากำลังมีสุข หมดความทุกข์ไปแล้วทุกสิ่ง
If you’re happy and you know it, stomp your feet. (stomp stomp)
[อีฟ ยัวร์ แฮพพี แอนดฺ ยู โน อิท, สตอมพฺ ยัวร์ ฟีท (กระทืบเท้า)]
มัวประวิงอะไรกันเล่า กระทืบเท้าพลัน (ตึบ ตึบ)

If you’re happy and you know it, shout “Hurray!” (hoo-ray!)
[อีฟ ยัวร์ แฮพพี แอนดฺ ยู โน อิท, เชาทฺ (ฮูเร่!)]
หากพวกเรากำลังสบาย จงส่งเสียงดัง (ฮูเร่)
If you’re happy and you know it, shout “Hurray!” (hoo-ray!)
[อีฟ ยัวร์ แฮพพี แอนดฺ ยู โน อิท, เชาทฺ (ฮูเร่!)]
หากพวกเรากำลังสบาย จงส่งเสียงดัง (ฮูเร่)
If you’re happy and you know it, then your face will surely show it
[อีฟ ยัวร์ แฮพพี แอนดฺ ยู โน อิท, เธน ยัวร์ เฟส วิล ชัวลี โชว์ อิท]
หากพวกเรากำลังมีสุข หมดความทุกข์ไปแล้วทุกสิ่ง
If you’re happy and you know it, shout “Hurray!” (hoo-ray!)
[อีฟ ยัวร์ แฮพพี แอนดฺ ยู โน อิท,  เชาทฺ (ฮูเล่!)]
มัวประวิงอะไรกันเล่า จงส่งเสียงดัง (ฮูเร่)

If you’re happy and you know it, do all three (clap-clap, stomp-stomp, hoo-ray!)
[อีฟ ยัวร์ แฮพพี แอนดฺ ยู โน อิท, ดู ออล ธรี (ตบมือ, กระทืบ, ตะโกนฮูเล่)]
หากพวกเรากำลังสบาย ทำทั้งหมดกัน (แปะ แปะ, ตึบ ตึบ, ฮูเร่)
If you’re happy and you know it, do all three (clap-clap, stomp-stomp, hoo-ray!)
[อีฟ ยัวร์ แฮพพี แอนดฺ ยู โน อิท, ดู ออล ธรี (ตบมือ, กระทืบ, ตะโกนฮูเล่)]
หากพวกเรากำลังสบาย ทำทั้งหมดกัน (แปะ แปะ, ตึบ ตึบ, ฮูเร่)
If you’re happy and you know it, then your face will surely show it
[อีฟ ยัวร์ แฮพพี แอนดฺ ยู โน อิท, เธน ยัวร์ เฟส วิล ชัวลี โชว์ อิท]
หากพวกเรากำลังมีสุข หมดความทุกข์ไปแล้วทุกสิ่ง
If you’re happy and you know it, do all three. (clap-clap, stomp-stomp, hoo-ray!)
[อีฟ ยัวร์ แฮพพี แอนดฺ ยู โน อิท, ดู ออล ธรี (ตบมือ, กระทืบ, ตะโกนฮูเล่)]
มัวประวิงอะไรกันเล่า ทำทั้งหมดกัน (แปะ แปะ, ตึบ ตึบ, ฮูเร่)

7. The Wheels on the Bus

7. The Wheels on the Bus

เป็นเพลงที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับรถบัส และกิจกรรมที่เกิดขึ้นในรถบัส คุณครูอนุบาลนิยมนำเพลงนี้มาใช้ในการเสริมสร้างการเรียนรู้ของเด็ก โดยส่วนใหญ่จะมีการทำท่าทางตามเนื้อเพลงในแต่ละท่อน ผู้ปกครองสามารถใช้เพลงนี้กระตุ้นการเรียนรู้เกี่ยวกับยานพาหนะ และการเดินทางโดยรถสาธารณะ เช่น รถบัส รถไฟ หรือการเรียนรู้เกี่ยวกับการแต่งตัว หรือการกระทำของคนในรถบัส ซึ่งเพลงนี้จะสามารถสร้างความสนุก และความเพลิดเพลินให้กับเด็กได้ 

The wheels on the bus go round and round (เดอะ วีล ซอน เดอะ บัส โก ราวนฺ แดนดฺ ราวนฺ)

ล้อรถบัสหมุนไปและหมุนไป

Round and round (ราวนฺ แดนดฺ ราวนฺ)

หมุนและหมุน

Round and round (ราวนฺ แดนดฺ ราวนฺ)

หมุนและหมุน

The wheels on the bus go round and round (เดอะ วีล ซอน เดอะ บัส โก ราวนฺ แดนดฺ ราวนฺ)

ล้อรถบัสหมุนไปและหมุนไป

All through the town (ออล ตรู เดอะ ทาวนฺ)

ผ่านทั่วทั้งเมือง

The doors on the bus go open and shut (เดอะ ดอรฺ ซอน เดอะ บัส โก โอเป่น แนนดฺ ชัท)

ประตูรถบัสเปิดและปิด

Open and shut (โอเป่น แนนดฺ ชัท)

เปิดและปิด

Open and shut (โอเป่น แนนดฺ ชัท)

เปิดและปิด

The doors on the bus go open and shut (เดอะ ดอรฺ ซอน เดอะ บัส โก โอเป่น แนนดฺ ชัท)

ประตูรถบัสเปิดและปิด

All through the town (ออล ตรู เดอะ ทาวนฺ)

ผ่านทั่วทั้งเมือง

The wipers on the bus go swish, swish, swish (เดอะ ไวเพอรฺ ซอน เดอะ บัส โก สวิช สวิช สวิช)

ที่ปัดน้ำฝนรสบัสโบก แล้วก็โบกไปมา

Swish, swish, swish (สวิช สวิช สวิช)

โบกไป โบกมา

Swish, swish, swish (สวิช สวิช สวิช)

โบกไป โบกมา

The wipers on the bus go swish, swish, swish (เดอะ ไวเพอรฺ ซอน เดอะ บัส โก สวิช สวิช สวิช)

ที่ปัดน้ำฝนรสบัสโบก แล้วก็โบกไปมา

All through the town (ออล ตรู เดอะ ทาวนฺ)

ผ่านทั่วทั้งเมือง

The signals on the bus go blink, blink, blink (เดอะ ซิกนอล ซอน เดอะ บัส โก บลิงคฺ บลิงฺ บลิงคฺ)

ไฟสัญญาณรถบัสกระพริบ กระพริบ แล้วก็กระพริบ

Blink, blink, blink (บลิงคฺ บลิงคฺ บลิงคฺ)

กระพริบ กระพริบ กระพริบ

Blink, blink, blink (บลิงคฺ บลิงคฺ บลิงคฺ)

กระพริบ กระพริบ กระพริบ

The signals on the bus go blink, blink, blink (เดอะ ซิกนอล ซอน เดอะ บัส โก บลิงคฺ บลิงฺ บลิงคฺ)

ไฟสัญญาณรถบัสกระพริบ กระพริบ แล้วก็กระพริบ

All through the town (ออล ตรู เดอะ ทาวนฺ)

ผ่านทั่วทั้งเมือง

The horn on the bus goes beep, beep, beep (เดอะ ฮอรฺน ออน เดอะ บัส โกสฺ บีป บีป บีป)

แตรรถบัสดังปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ

Beep, beep, beep (บีป บีป บีป)

ปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ

Beep, beep, beep (บีป บีป บีป)

ปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ

The horn on the bus goes beep, beep, beep (เดอะ ฮอรฺน ออน เดอะ บัส โกสฺ บีป บีป บีป)

แตรรถบัสดังปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ

All through the town (ออล ตรู เดอะ ทาวนฺ)

ผ่านทั่วทั้งเมือง

The motor on the bus goes vroom, vroom vroom (เดอะ มอเทอ รอน เดอะ บัส โกสฺ วรูม วรูม วรูม)

เครื่องยนต์รถบัสดังฮึ่ม ฮึ่ม ฮึ่ม

Vroom, vroom, vroom (วรูม วรูม วรูม)

ฮึ่ม ฮึ่ม ฮึ่ม

Vroom, vroom, vroom (วรูม วรูม วรูม)

ฮึ่ม ฮึ่ม ฮึ่ม

The motor on the bus goes vroom, vroom, vroom (เดอะ มอเทอ รอน เดอะ บัส โกสฺ วรูม วรูม วรูม)

เครื่องยนต์รถบัสดังฮึ่ม ฮึ่ม ฮึ่ม

All through the town (ออล ตรู เดอะ ทาวนฺ)

ผ่านทั่วทั้งเมือง

The people on the bus go up and down (เดอะ พีเพิล ลอน เดอะ บัส โก อัพ แพนดฺ ดาวนฺ)

ผู้คนบนรถบัสเคลื่อนที่ไปมา

Up and down (อัพ แพนดฺ ดาวนฺ)

เคลื่อนที่ไป แล้วก็เคลื่อนที่มา

Up and down (อัพ แพนดฺ ดาวนฺ)

เคลื่อนที่ไป แล้วก็เคลื่อนที่มา

The people on the bus go up and down (เดอะ พีเพิล ลอน เดอะ บัส โก อัพ แพนดฺ ดาวนฺ)

ผู้คนบนรถบัสเคลื่อนที่ไปมา

All through the town (ออล ตรู เดอะ ทาวนฺ)

ผ่านทั่วทั้งเมือง

The babies on the bus go “Wah, wah, wah!” (เดอะ เบบี ซอน เดอะ บัส โก แว แว แว)

เหล่าทารกบนรถบัสร้องอุแว้ อุแว้ อุแว้

“Wah, wah, wah!” (แว แว แว)

อุแว้ อุแว้ อุแว้

“Wah, wah, wah!” (แว แว แว)

อุแว้ อุแว้ อุแว้

The babies on the bus go “Wah, wah, wah!” (เดอะ เบบี ซอน เดอะ บัส โก แว แว แว)

เหล่าทารกบนรถบัสร้องอุแว้ อุแว้ อุแว้

All through the town (ออล ตรู เดอะ ทาวนฺ)

ผ่านทั่วทั้งเมือง

The mommies on the bus go “Shh, shh, shh!” (เดอะ มอมมี่ ซอน เดอะ บัส โก ชูว ชูว ชูว)

เหล่าคุณแม่บนรถบัสพูด จุ๊ จุ๊ จุ๊

“Shh, shh, shh!” (ชูว ชูว ชูว)

จุ๊ จุ๊ จุ๊

“Shh, shh, shh!” (ชูว ชูว ชูว)

จุ๊ จุ๊ จุ๊

The mommies on the bus go “Shh, shh, shh!” (เดอะ มอมมี่ ซอน เดอะ บัส โก ชูว ชูว ชูว)

เหล่าคุณแม่บนรถบัสพูด จุ๊ จุ๊ จุ๊

All through the town (ออล ตรู เดอะ ทาวนฺ)

ผ่านทั่วทั้งเมือง

The daddies on the bus go “I love you!” (เดอะ แดดดี ซอน เดอะ บัส โก อาย ลัฟวฺ ยู)

เหล่าคุณพ่อบนรถบัสพูด ผมรักคุณ

“I love you!” (อาย ลัฟวฺ ยู)

ผมรักคุณ

“I love you!” (อาย ลัฟวฺ ยู)

ผมรักคุณ

The daddies on the bus go “I love you!” (เดอะ แดดดี ซอน เดอะ บัส โก อาย ลัฟวฺ ยู)

เหล่าคุณพ่อบนรถบัสพูด ผมรักคุณ

All through the town (ออล ตรู เดอะ ทาวนฺ)

ผ่านทั่วทั้งเมือง

8. Head, Shoulders, Knees and Toes

8. Head, Shoulders, Knees and Toes

เนื้อเพลงเด็กภาษาอังกฤษนี้ จะบอกคำศัพท์อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งจะสามารถพัฒนาความรู้  และทักษะการจำของเด็กได้ คุณครูหรือผู้ปกครองสามารถใช้เพลงนี้ในการสอนภาษา และส่งเสริมการเรียนรู้ให้เด็กได้รู้จักกับร่างกายของตนเองได้

 

Head and shoulders, knees and toes, knees and toes.
(เฮด แอนดฺ โชลเดอะซฺ, นีซฺ แอนดฺ โทซฺ, นีซฺ แอนดฺ โทซฺ)

หัวและไหล่ เข่าและนิ้วเท้า เข่าและนิ้วเท้า 
Head and shoulders, knees and toes, knees and toes.
(เฮด แอนดฺ โชลเดอะซฺ, นีซฺ แอนดฺ โทซฺ, นีซฺ แอนดฺ โทซฺ)
หัวและไหล่ เข่าและนิ้วเท้า เข่าและนิ้วเท้า
Eyes and ears and mouth and nose.
(อายซฺ แอนดฺ เอียร์ แอนดฺ เมาธฺ แอนดฺ โนซ)
ตาและหู และปากและจมูก
Head and shoulders, knees and toes, knees and toes.
(เฮด แอนดฺ โชลเดอะซฺ, นีซฺ แอนดฺ โทซฺ, นีซฺ แอนดฺ โทซฺ)
หัวและไหล่ เข่าและนิ้วเท้า เข่าและนิ้วเท้า 

Head and shoulders, knees and toes, knees and toes, knees and toes.
(เฮด แอนดฺ โชลเดอะซฺ, นีซฺ แอนดฺ โทซฺ, นีซฺ แอนดฺ โทซฺ)
หัวและไหล่ เข่าและนิ้วเท้า เข่าและนิ้วเท้า เข่าและนิ้วเท้า
Head and shoulders, knees and toes, knees and toes, knees and toes.
(เฮด แอนดฺ โชลเดอะซฺ, นีซฺ แอนดฺ โทซฺ, นีซฺ แอนดฺ โทซฺ)
หัวและไหล่ เข่าและนิ้วเท้า เข่าและนิ้วเท้า เข่าและนิ้วเท้า

9. Two Little Dickey Birds

9. Two Little Dickey Birds

เป็นอีก 1 เพลงที่เป็นเพลงเล่าเรื่องราว ซึ่งเนื้อเพลงนี้จะเกี่ยวกับนกดิกกี้ 2 ตัว ที่นั่งบนกิ่งไม้ และมีการทำท่าทางประกอบตอนร้องเพลง แต่ละท่าทางแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของนกดิกกี้ในเนื้อเพลง โดยเพลงนี้มีท่าทาง และการเคลื่อนไหวที่สนุกสนาน จะช่วยในการพัฒนาทักษะการร้องเพลง และส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ในการทำท่าทางของเด็กๆ นอกจากนี้ ยังสามารถเรียนรู้การแสดงออกของตัวละคร และการสร้างสรรค์เรื่องราวของเด็กในสถานการณ์ที่ต่างกัน 

 

Two little dicky birds sitting on a wall (ทู ลิทเทิล ดิกกี เบิร์ดซฺ ซิททิง ออน อะ วอล)
ลูกนกดิกกี้สองตัวนั่งบนกำแพง
One named Peter, one named Paul (วัน เนม พีเทอะ, วัน เนม พอล)
ตัวหนึ่งชื่อปีเตอร์ ตัวหนึ่งชื่อพอล
Fly away Peter, fly away Paul (ไฟล อะเวย์ พีเทอะ, ไฟล อะเวย์ พอล)
ปีเตอร์บินหนี พอลบินหนี
Come back Peter, come back Paul (คัม แบค พีเทอะ, คัม แบค พอล)
กลับมาปีเตอร์ กลับมาพอล

Two little dicky birds sitting on a wall (ทู ลิทเทิล ดิกกี เบิร์ดซฺ ซิททิง ออน อะ วอล)
ลูกนกดิกกี้สองตัวนั่งบนกำแพง
One named Peter, one named Paul (วัน เนม พีเทอะ, วัน เนม พอล)
ตัวหนึ่งชื่อปีเตอร์ ตัวหนึ่งชื่อพอล
Fly away Peter, fly away Paul (ไฟล อะเวย์ พีเทอะ, ไฟล อะเวย์ พอล)
ปีเตอร์บินหนี พอลบินหนี
Come back Peter, come back Paul (คัม แบค พีเทอะ, คัม แบค พอล)
กลับมาปีเตอร์ กลับมาพอล

10. The Ants Go Marching

10. The Ants Go Marching

เป็นอีก 1 เพลงที่สนุกสนาน มีเนื้อหาเรื่องราวเกี่ยวกับมดที่เดินแถวกัน และมีการเพิ่มจำนวนมดเรื่อยๆ ของแต่ละท่อนในเพลง ซึ่งทั้งหมดมี 10 ท่อน และในแต่ละท่อนมีเหตุการณ์หนึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นกับมด นิยมนำเนื้อเพลงเด็กภาษาอังกฤษนี้มาใช้ในการสอนนับจำนวน พร้อมทำท่าทางต่างๆ ร่วมกับเด็ก ซึ่งจะพัฒนาการเรียนรู้ ส่งเสริมทักษะการนับเลขไปในตัว

 

The ants go marching one by one hurrah hurrah (ดิ แอนทฺซฺ โก มาร์ชิง วัน บาย วัน ฮะรา ฮะรา)
มดเดินขบวนทีละตัว ไชโย ไชโย

The ants go marching two by two hurrah hurrah (ดิ แอนทฺซฺ โก มาร์ชิง ทู บาย ทู ฮะรา ฮะรา)

มดเดินขบวนทีละสองตัว ไชโย ไชโย

The ants go marching three by three (ดิ แอนทฺซฺ โก มาร์ชิง ธรี บาย ธรี)

มดเดินขบวนทีละสามตัว

The little one stops to climb a tree (เดอะ ลิทเทิล วัน  สทอพซฺ ทู ไคลบฺ อะ ทรี)

มดตัวเล็กหยุดแล้วปีนขึ้นต้นไม้

 

And they all go marching (แอนดฺ เธ ออล โก มาร์ชิง)

พวกมันทุกตัวเดินขบวน

Down to the ground (ดาวนฺ ทู เดอะ เกราดฺ)

ลงไปใต้ดิน

To get out of the rain (ทู เกท เอาทฺ ออฟ เดอะ เรน)

เพื่อมาหลบฝน



Boom boom boom boom (บูม บูม บูม บูม)

บูม บูม บูม บูม

Boom boom boom boom (บูม บูม บูม บูม)

บูม บูม บูม บูม

 

The ants go marching four by four hurrah hurrah (ดิแอนทฺซฺ โก มาร์ชิง โฟว์ บาย โฟว์ ฮะรา ฮะรา)

มดเดินขบวนทีละสี่แถว ไชโย ไชโย

The ants go marching five by five hurrah hurrah (ดิ แอนทฺซฺ โก มาร์ชิง ไฟว์ บาย ไฟว์ ฮะรา ฮะรา)

มดเดินขบวนทีละห้าแถว ไชโย ไชโย

The ants go marching six by six (ดิ แอนทฺซฺ โก มาร์ชิง ซิคซฺ บาย ซิคซฺ)

มดเดินขบวนทีละหกแถว

The little one stops to pick up sticks (เดอะ ลิทเทิล วัน  สทอพซฺ ทู พิค อัพ สทิคซฺ)

มดตัวเล็กหยุดแล้วหยิบกิ่งไม้

 

And they all go marching (แอนดฺ เธ ออล โก มาร์ชิง)

พวกมันทุกตัวเดินขบวน

Down to the ground (ดาวนฺ ทู เดอะ เกราดฺ)

ลงไปใต้ดิน

To get out of the rain (ทู เกท เอาทฺ ออฟ เดอะ เรน)

เพื่อมาหลบฝน

 

Boom boom boom boom (บูม บูม บูม บูม)

บูม บูม บูม บูม

Boom boom boom boom (บูม บูม บูม บูม)

บูม บูม บูม บูม

 

The ants go marching seven by seven hurrah hurrah (ดิ แอนทฺซฺ โก มาร์ชิง เซฟเวิน บาย เซฟเวิน ฮะรา ฮะรา)

มดเดินขบวนทีละเจ็ดแถว ไชโย ไชโย

The ants go marching eight by eight hurrah hurrah (ดิ แอนทฺซฺ โก มาร์ชิง เอท บาย เอท ฮะรา ฮะรา)

มดเดินขบวนทีละแปดแถว ไชโย ไชโย

The ants go marching nine by nine (ดิ แอนทฺซฺ โก มาร์ชิง ไนนฺ บาย ไนนฺ)

มดเดินขบวนทีละเก้าแถว

The little one stops to check the time (เดอะ ลิทเทิล วัน  สทอพซฺ ทู เชค เดอะ ไทม์)

มดตัวเล็กหยุดแล้วดูเวลา

 

And they all go marching (แอนดฺ เธ ออล โก มาร์ชิง)

พวกมันทุกตัวเดินขบวน

Down to the ground (ดาวนฺ ทู เดอะ เกราดฺ)

ลงไปใต้ดิน

To get out of the rain (ทู เกท เอาทฺ ออฟ เดอะ เรน)

เพื่อมาหลบฝน

 

Boom boom boom boom (บูม บูม บูม บูม)

บูม บูม บูม บูม

Boom boom boom boom (บูม บูม บูม บูม)

บูม บูม บูม บูม

 

The ants go marching ten by ten (ดิ แอนทฺซฺ โก มาร์ชิง เทน บาย เทน)

มดเดินขบวนทีละสิบแถว

The little one stops to say (เดอะ ลิทเทิล วัน สทอพซฺ เซ)

มดตัวเล็กหยุดแล้วพูดว่า

 

The end (อิ เอนดฺ)

มันหยุดแล้ว

 

And they all go marching (แอนดฺ เธ ออล โก มาร์ชิง)

พวกมันทุกตัวเดินขบวน

Down to the ground (ดาวนฺ ทู เดอะ เกราดฺ)

ลงไปใต้ดิน

To get out of the rain (ทู เกท เอาทฺ ออฟ เดอะ เรน)

เพื่อมาหลบฝน

 

Boom boom boom boom (บูม บูม บูม บูม)

บูม บูม บูม บูม

Boom boom boom boom (บูม บูม บูม บูม)
บูม บูม บูม บูม

11. Here We Go Round the Mulberry Bush

11. Here We Go Round the Mulberry Bush

จุดประสงค์ของเพลงนี้ เพื่อนำมาประกอบกิจกรรม หรือกิจวัตรที่เด็กๆ ทำทุกวัน เช่น การล้างหน้า การแปรงฟัน  แม้ว่ามีคำว่า “Mulberry Bush” (ต้นมัลเบอร์รี) ในเนื้อเพลง แต่มัลเบอร์รีไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อเพลงโดยตรง เพลงนี้สามารถนำมาส่งเสริมการเรียนรู้ พร้อมทำท่าทางต่างๆ ร่วมกับเด็กได้ นอกจากนี้ยังสามารถสร้างบรรยากาศที่สนุก เมื่อทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนหรือครอบครัวของเด็กได้อีกด้วย

 

Here we go round the mulberry bush (เฮียร์ วี โก เราดฺ เดอะ มัลเบอร์รี บูช)

เรามาหมุนไปรอบต้นหม่อน

The mulberry bush the mulberry bush (เดอะ มัลเบอร์รี บูช เดอะ มัลเบอร์รี บูช)

รอบต้นหม่อน รอบต้นหม่อน

Here we go round the mulberry bush (เฮียร์ วี โก เราดฺ เดอะ มัลเบอร์รี บูช)

เรามาหมุนไปรอบต้นหม่อน

So early in the morning (โซ เออร์ลี อิน เดอะ มอร์นิง)

ในเช้าตรู่

This is the way we wash our faces (ธิส อิส เดอะ เว วี วอช เอาเออะ เฟสซฺ)

นี่คือวิธีล้างหน้าของเรา

Wash our faces wash our faces (วอช เอาเออะ เฟสซฺ วอช เอาเออะ เฟสซฺ)

ล้างหน้าของเรา ล้างหน้าของเรา

This is the way we wash our faces (ธิส อิส เดอะ เว วอช เอาเออะ เฟสซฺ)

นี่คือวิธีล้างหน้าของเรา

So early Monday morning (โซ เออร์ลี มันเด มอร์นิง)

เช้าตรู่วันจันทร์

 

This is the way we iron our clothes (ธิส อิส เดอะ เว วี ไอเอิร์น เอาเออะ โคลธซฺ)

นี่คือวิธีรีดผ้าของเรา

Iron our clothes iron our clothes (ไอเอิร์น เอาเออะ โคลธซฺ ไอเอิร์น เอาเออะ โคลธซฺ)

รีดผ้าของเรา รีดผ้าของเรา

This is the way we iron our clothes (ธิส อิส เดอะ เว วี ไอเอิร์น เอาเออะ โคลธซฺ)

นี่คือวิธีรีดผ้าของเรา

So early in the morning (โซ เออร์ลี อิน เดอะ มอร์นิง)

ในเช้าตรู่

This is the way we brush the teeth (ธิส อิส เดอะ เว วี บรัช เดอะ เอาเออะ ทีธ)

นี่คือวิธีแปรงฟันของเรา

Brush the teeth brush the teeth (เดอะ เอาเออะ ทีธ เดอะ เอาเออะ ทีธ)

แปรงฟันของเรา แปรงฟันของเรา

This is the way we brush the teeth (ธิส อิส เดอะ เว วี บรัช เดอะ เอาเออะ ทีธ)

นี่คือวิธีแปรงฟันของเรา

So early in the morning (โซ เออร์ลี อิน เดอะ มอร์นิง)

ในเช้าตรู่

 

This is the way we mend our clothes (ธิส อิส เดอะ เว วี เมนดฺ เอาเออะ โคลธซฺ)

นี่คือวิธีเย็บผ้าของเรา

Mend our clothes mend our clothes (เมนดฺ เอาเออะ โคลธซฺ เมนดฺ เอาเออะ โคลธซฺ)

เย็บผ้าของเรา เย็บผ้าของเรา

This is the way we mend our clothes (ธิส อิส เดอะ เว วี เมนดฺ เอาเออะ โคลธซฺ)

นี่คือวิธีเย็บผ้าของเรา

So early in the morning (โซ เออร์ลี อิน เดอะ มอร์นิง)

ในเช้าตรู่

Here We Go ‘Round the Mulberry Bush (เฮียร์ วี โก เราดฺ เดอะ มัลเบอร์รี บูช)

เรามาหมุนไปรอบต้นหม่อน

The mulberry bush the mulberry bush (เดอะ มัลเบอร์รี บูช เดอะ มัลเบอร์รี บูช)

รอบต้นหม่อน รอบต้นหม่อน

Here we go ’round the mulberry bush (เฮียร์ วี โก เราดฺ เดอะ มัลเบอร์รี บูช)

เรามาหมุนไปรอบต้นหม่อน

So early in the morning (โซ เออร์ลี อิน เดอะ มอร์นิง)

ในเช้าตรู่

สรุป

การที่เด็กฝึกฝนการร้องเพลงภาษาอังกฤษ ไม่เพียงช่วยให้เด็กเก่งภาษาขึ้น แต่ยังช่วยเพิ่มทักษะให้เด็กได้หลายด้าน โดยการร้องเพลงภาษาอังกฤษช่วยส่งเสริมให้เด็กฝึกฝนทักษะในการพูดภาษาอังกฤษ และพัฒนาทักษะการออกเสียงที่ถูกต้อง นอกจากนี้สามารถเสริมสร้างความมั่นใจในตัวเด็กเองได้ ผู้ปกครองหรือคุณครูสามารถเลือกเนื้อเพลงเด็กภาษาอังกฤษที่มีเนื้อหาส่งเสริมทักษะเหล่านั้น ไปให้เด็กๆ ได้หัดร้องพร้อมทำท่าทางประกอบได้ นับว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีการสอนที่ไม่น่าเบื่อ และยังสร้างความตื่นเต้นให้กับเด็กได้อีกด้วย


หากผู้ปกครองอยากจะฝึกทักษะภาษาอังกฤษให้กับเด็กๆ เพื่อให้เด็กได้มีพัฒนาการทางด้านภาษาที่ดี ไปพร้อมกับการเรียนรู้ที่สนุกสนาน ผู้ช่วยอย่าง Speak Up เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า เพราะทาง Speak Up มีคุณครูมืออาชีพที่มีประสบการณ์และเทคนิคการสอนภาษาเด็กเล็กตั้งแต่ 2.5-12 ปี มั่นใจได้ว่าเด็กๆ จะได้รับความรู้ทางด้านภาษาอย่างเต็มที่แน่นอน

hard skill สำหรับเด็ก

Hard Skill ทักษะจำเป็นสำหรับเด็ก ฝึกให้ลูกน้อยเก่งรอบด้าน

ในยุคที่เราใช้เทคโนโลยีและความรู้เพื่อก้าวหน้าในชีวิต และการงานที่เน้นให้ความสำคัญกับความสามารถในด้าน “Soft Skill” หรือทักษะระดับบุคคลเป็นหลัก ทักษะเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราสื่อสารได้ดี ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี และเข้าถึงความรู้สึกและความคิดของผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เด็กหลายคนจึงถูกปลูกฝังทักษะนี้อย่างหนักเพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อเขาโตขึ้นเขาจะสามารถเข้ากับสังคมในยุคปัจจุบันได้ดีมากยิ่งขึ้น แต่สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่การเลี้ยงลูกในช่วงโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แค่เพียง Soft Skill คงไม่เพียงพอ ต้องกลับมาให้ความสำคัญกับ Hard Skill สำหรับเด็กมากขึ้น เพื่อให้เด็กได้รับทักษะที่สำคัญครบรอบด้าน และเติบโตอย่างมีคุณภาพทั้งในด้านอารมณ์ สังคม และสติปัญญา บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจว่า Hard Skil คืออะไร และสำคัญต่อเด็กยุคใหม่อย่างไร ทำไมผู้ปกครองจึงควรให้ความสำคัญ
hard skill คืออะไร

ทำความรู้จัก Hard Skill คืออะไร

Hard Skill คือ ทักษะหรือความสามารถที่เกี่ยวข้องกับความรู้และทางวิชาการที่เรียนรู้และพัฒนาได้ผ่านการศึกษาและการฝึกฝนที่มีลักษณะเป็นแนวทางหรือกฎเกณฑ์ที่มีค่าเฉลี่ยแน่นอน วัดผลได้ สิ่งนี้จะเกี่ยวข้องกับความเชี่ยวชาญในด้านพิเศษหรือสาขาวิชาที่เฉพาะเจาะจง เช่น การโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การออกแบบกราฟิก การวิเคราะห์ข้อมูล การทำงานทางการแพทย์ หรือความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มีรากฐานทางทฤษฎีและหลักการทางวิชาการที่เหมาะสมในงานหนึ่งๆ

Hard Skill สำหรับเด็กมักจะสามารถวัดและวิเคราะห์ได้อย่างชัดเจน และมักถูกนำมาใช้ในงานหรือสายงานที่ต้องการความเชี่ยวชาญและความรู้เฉพาะเจาะจง เพื่อให้สามารถดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ Hard Skill ยังมีลักษณะที่สามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ผ่านการฝึกฝนและปฏิบัติตามแนวทางที่มีอยู่ เช่น เรียนรู้ภาษาโปรแกรม การฝึกการทำงานทางวิทยาศาสตร์ หรือการฝึกทักษะการใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ทางวิชาการต่างๆ

Hard Skill มีความสำคัญมากในการทำงานและในสาขาอาชีพต่างๆ เนื่องจากมันเป็นส่วนสำคัญที่สามารถวัดและเปรียบเทียบได้ งานส่วนใหญ่จะต้องมี Hard Skill ที่เน้นในสาขางานที่พวกเขาทำ และการพัฒนา Hard Skill เหล่านี้จะช่วยให้สามารถรับงานที่มีความคาดหวังในด้านความรู้และทางวิชาการได้มากขึ้น นอกจากนี้ การพัฒนา Hard Skill ยังช่วยเสริมความมั่นใจและเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างอนาคตที่มั่นคงในอาชีพ รวมถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต หากต้องการดำเนินการในบทบาททางวิชาการที่สูงขึ้น

hard skill ทีเ่ด็กควรมี

ทักษะ Hard Skill ที่เด็กควรมีเพื่ออนาคต มีอะไรบ้าง

ในโลกที่เติบโตและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่เรามีในปัจจุบัน Hard Skill สำหรับเด็ก หรือทักษะทางวิชาการถือได้ว่ามีความสำคัญอย่างมากในการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตของเด็กๆ ทักษะเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการปรับตัวและประสบความสำเร็จในสายงานและชีวิตประจำวันของพวกเขา ดังนั้นไม่ว่าเด็กจะเลือกอาชีพใดในอนาคต ก็ต้องมีการพัฒนา Hard Skill อยู่ด้วยในทุกช่วงวัย โดยทักษะ Hard Skill ที่สำคัญสำหรับเด็กๆ มีด้วยกันดังนี้

ทักษะการอ่าน

ทักษะการอ่านมีลักษณะเป็น Hard Skill สำหรับเด็กที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาความรู้และความเชี่ยวชาญของเด็กๆ ในอนาคต ทั้งในแง่ของการอ่านหนังสือเรียน บทความวิชาการ หรือเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาต่างๆ ช่วยให้พวกเขาสามารถเรียนรู้และเข้าใจเนื้อหาในระดับลึกลงได้ นอกจากนี้ ความสามารถในการอ่านยังช่วยในการตัดสินใจและการแก้ปัญหา โดยการเรียนรู้จากประสบการณ์และความรู้ที่มาจากการอ่าน

สำหรับการพัฒนาทักษะการอ่านสำหรับเด็ก ทำได้โดยการฝึกอ่านอย่างสม่ำเสมอ และมีวินัย การเลือกอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องกับความสนใจของเด็กจะเป็นการสนับสนุนความสามารถในการอ่านและสร้างประสบการณ์การอ่านที่น่าสนใจสามารถช่วยกระตุ้นความสนใจในการอ่านของเด็กๆ ในทุกวัยได้อีกด้วย

ทักษะการเขียน

ทักษะการเขียนคือหนึ่งใน Hard Skill ที่ควรมีสำหรับเด็ก เด็กๆ ควรได้รับการพัฒนาตั้งแต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะกับการศึกษาในระบบที่เน้นให้เด็กคิดได้และเขียนเป็น เด็กจึงได้รับการพัฒนากันมาอย่างต่อเนื่อง เพราะการเขียนคือรูปแบบหนึ่งของการสื่อสารที่มีความสำคัญ

การฝึกทักษะ Hard Skill ด้านการเขียนเด็กๆ สามารถทำได้ด้วยการเริ่มจากฝึกเขียนตามเส้นประ และฝึกเก็บคำศัพท์สำคัญๆ เขียนตามคำบอกให้ถูกต้อง เพียงเท่านี้ก็ก็จะช่วยพัฒนาทักษะด้านการเขียนให้กับตัวเด็กได้แล้ว

ทักษะด้านภาษา

เมื่อพูดถึงการฝึก Hard Skill สำหรับเด็ก ทักษะด้านภาษาเองก็เป็นหนึ่งในทักษะที่จำเป็นสำหรับเด็กเช่นกัน ทักษะด้านภาษามีความสำคัญต่อการสื่อสาร การฝึกทักษะด้านภาษาให้กับเด็กช่วยให้พวกเขาสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการฟัง พูด อ่าน และเขียน เมื่อมีการสื่อสารที่ดี จะช่วยให้เด็กสามารถแสดงออกเกี่ยวกับความคิดเห็น ความรู้ และความรู้สึกของตนเองได้อย่างมั่นใจและชัดเจน

การมีทักษะด้านภาษาที่ดียังช่วยในการเรียนรู้ เพราะภาษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการศึกษาและค้นคว้าข้อมูล การที่เด็กมีความสามารถในการอ่านและเขียน ช่วยให้พวกเขาสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มพูนความรู้ความสามารถในอนาคตได้ต่อไป

ทักษะการคิดเลข

การพัฒนาทักษะ Hard Skill สำหรับเด็ก ในด้านการคิดเลข เป็นขั้นตอนสำคัญในการเตรียมพร้อมสู่การเรียนรู้ในอนาคต และการใช้ชีวิตประจำวัน ทักษะนี้ไม่เพียงแต่มีผลกระทบในการคำนวณเรื่องตัวเลขเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบในด้านต่างๆ ของชีวิตและการพัฒนาบุคลิกภาพของเด็ก

การคิดเลขช่วยพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาโดยการใช้วิธีการตรรกะและคิดเชิงวิเคราะห์ เด็กๆ ที่เรียนรู้ทักษะนี้มักมีความสามารถในการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การมีทักษะการคิดเลขที่แข็งแกร่งช่วยเสริมความเชื่อมั่นในตนเอง นักเรียนที่รู้ว่าพวกเขาสามารถทำการคำนวณและแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้ มักมีความรู้สึกบวก และมั่นใจในความสามารถของตนเอง

ทักษะด้านเทคโนโลยี

ในยุคดิจิทัลตอนนี้ การเตรียมความพร้อมในด้านเทคโนโลยีมีความสำคัญสำหรับเด็กๆ มาก เพราะพบว่าการมี Hard Skill โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยี ช่วยในการเตรียมพร้อมสู่โลกดิจิทัลและการพัฒนาทักษะที่จำเป็นในการสร้างอนาคตที่ประสบความสำเร็จ

ทักษะด้านเทคโนโลยีไม่เพียงแต่เป็นการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีเป็นเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงทักษะที่สำคัญในการเรียนรู้และการแก้ปัญหา การใช้เครื่องมือเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และการสืบค้นข้อมูลช่วยเด็กในการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ

เทคโนโลยีไม่เพียงแค่เตรียมพร้อมสู่อาชีพในอนาคต แต่ยังเสริมสร้างทักษะที่เกี่ยวข้องกับการคิดเชิงวิเคราะห์และการแก้ปัญหา เป็นทักษะที่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ยังเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเรียนรู้และการเจริญเติบโตของเด็กในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและการเชื่อมต่อออนไลน์อีกด้วย

การเสริมสร้าง hard skill สำหรับเด็ก

เสริมสร้าง Hard Skill ให้ลูกน้อย เพื่ออนาคตที่ดี ทำได้ยังไง

การพัฒนาทักษะการพูด อ่าน และเขียนในเด็กเป็นสิ่งสำคัญ ส่งผลดีในการเตรียมพร้อมสู่การใช้ชีวิต และการเรียนรู้ในอนาคต ภาษาเองเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารและการเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง การมีทักษะภาษาที่แข็งแรงส่งผลในการคิดเชิงวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งในหลายด้านของชีวิต

ในบทความนี้จะพาคุณผู้ปกครองไปดูการเสริมสร้างทักษะ Hard Skill สำหรับเด็ก ให้ลูกน้อยมีทักษะการพูด อ่าน และเขียนได้ดีขึ้น จะต้องฝึกฝนอย่างไรเพื่อให้เด็กมีพื้นฐานทักษะ Hard Skill เหล่านี้ที่แข็งแรง เตรียมพร้อมในการใช้ชีวิตประจำวัน และชีวิตการศึกษาในอนาคตของพวกเขา

ฝึกเขียนให้บ่อยจะได้คล่องขึ้น

การที่การฝึกเขียนอย่างต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มพูนทักษะด้านการเขียนได้จริง เพราะการเขียนเป็นกิจกรรมที่เรียนรู้และปรับปรุงให้พัฒนาได้ด้วยการฝึกฝน ผู้ที่ฝึกเขียนอย่างสม่ำเสมอจะมีโอกาสพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ การใช้รูปประโยคและภาษาได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มทักษะด้านการเรียนรู้ได้อีกด้วย ทักษะที่ดีขึ้นได้ผ่านการฝึกเขียนอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอเช่น ปรับรูปแบบประโยค การเลือกใช้คำศัพท์ที่หลากหลาย และการเรียงความคิดได้อย่างเป็นสัดส่วนและสอดคล้องกัน ดังนั้นการฝึกเขียนให้บ่อยขึ้น คือการช่วยพัฒนา Hard Skill ด้านการใช้ภาษาและการเขียนให้กับเด็กๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างการฝึกการเขียนในเพื่อเพิ่มทักษะ Hard Skill สำหรับเด็กเช่น การเขียนบันทึกประจำวัน ที่ช่วยพัฒนาทักษะการเรียบเรียงเนื้อหาเกี่ยวกับการเขียน ว่าควรเขียนเรื่องอะไรก่อนหรือหลัง และควรอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไรให้อ่านแล้วเข้าใจ และยังเป็นการส่งเสริมให้พวกเขาเขียนอย่างต่อเนื่องในทุกๆ วัน อย่างน้อยวันละครั้งก่อนเข้านอน

ปูพื้นฐานคณิตศาสตร์ด้วยการฝึกคิดเลข

Hard Skill สำหรับ เด็ก ในด้านการคิดเลขคือความสามารถในการใช้ความคิดเชิงตรรกะและคณิตศาสตร์ในการแก้ปัญหาและการคำนวณต่าง ๆ ทักษะนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในชีวิตประจำวันและการงานของเรา การฝึกคิดเลขอย่างดีเป็นวิธีที่สำคัญในการเพิ่มความสามารถในการแก้ปัญหา การวิเคราะห์ข้อมูล และการตัดสินใจในสถานการณ์ต่าง ๆ และส่งผลให้เด็กมีการบริหารจัดการการเงิน และข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดและถือได้ว่ามีประสิทธิภาพมากที่สุดคือการทำรายรับรายจ่าย หรือยอดเงินออม เป็นวิธีง่ายๆ ที่นอกจากเด็กจะได้คำนวณยังเป็นการฝึกวินัยการใช้เงินไปในตัวอีกด้วย

ท่องโลกไปกับการเรียนรู้ทักษะภาษาต่างประเทศ

การฝึกความสามารถในการใช้ภาษาต่างประเทศเป็นการฝึก Hard Skill ที่สำคัญสำหรับเด็กเป็นอย่างมาก ช่วยเสริมพัฒนาทักษะการสื่อสารและเปิดโอกาสในการเรียนรู้วัฒนธรรมและมุมมองทางสังคมต่าง ๆ ของโลก นอกจากนี้การฝึกความสามารถในการใช้ภาษาต่างประเทศไม่เพียงแต่เปิดโอกาสในการสื่อสารกับโลกภายนอก แต่ยังช่วยพัฒนาทักษะการคิด เช่นการคิดแบบหลายมุมมอง การคิดออกแบบสร้างสรรค์ และการเรียนรู้จากประสบการณ์อื่น ๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาษาอย่างตรงไปตรงมา

การฝึกทักษะภาษาต่างประเทศนั้นทำได้ทั้งการฝึกแบบตัวต่อตัวผ่านการสนทนาประจำวันกับผู้ปกครอง ไปจนถึงการฝึกภาษาต่างประเทศออนไลน์ผ่านสื่อต่างๆ เช่น ช่องยูทูบต่างประเทศ และการเรียนพิเศษ

หากกำลังมองหาสถาบันสอนภาษาต่างประเทศที่น่าเชื่อถือ และเหมาะสมสำหรับเด็ก SpeakUp Language Center สถาบันสอนภาษาอังกฤษและภาษาจีนสำหรับเด็กเล็กที่มีอายุ 2.5 ถึง 12 ปี ที่นี่มีครูมืออาชีพ มากประสบการณ์ และมีเทคนิคการสอนภาษาที่หลากหลาย นำมาประยุกต์ใช้และสอนโดยยึดความแตกต่างระหว่างบุคคล ช่วยให้เด็กสามารถพัฒนาด้านภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การปูพื้นฐานที่ดีสำหรับอนาคตของเด็ก

เรียนรู้เทคโนโลยี AI เพื่อเสริม hard skill สำหรับเด็ก

เรียนรู้เทคโนโลยีด้วย AI

ทักษะด้านความสามารถในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI (ปัญญาประดิษฐ์) คือ Hard Skill ที่สำคัญสำหรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวัน การเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI ในวัยเรียนตั้งแต่เด็กอายุน้อย ช่วยเสริมพัฒนาทักษะทางด้านการคิดวิเคราะห์และทักษะด้านเทคโนโลยี นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันและการเรียนรู้

วิธีการสร้างความสามารถในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI สำหรับเด็กอาจเริ่มจากการใช้แอปพลิเคชันการเรียนรู้ ที่ออกแบบมาเพื่อสอนเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI สำหรับเด็ก เช่น “AI for Kids” หรือ “Coding with AI” ที่ช่วยให้เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับการสร้างและใช้งานระบบ AI อย่างสนุกสนานมากยิ่งขึ้น

ฝึกนิสัยการอ่านเพื่อเพิ่มทักษะความรู้

การฝึกนิสัยให้เด็กรักการอ่าน ทั้งนิทานเบาสมองไปจนถึงหนังสือเพิ่มทักษะความรู้ต่างๆ ช่วยพัฒนาความสามารถด้านการอ่าน การเรียนรู้ ความรู้รอบตัว รวมไปถึงการเขียน ผ่านการศึกษาข้อมูลต่างๆ ผ่านหนังสือที่พวกเขาอ่าน ดังนั้นปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการฝึกนิสัยการอ่านให้เด็กๆ ช่วยเพิ่ม Hard Skill ให้พวกเขาไว้ใช้สำหรับอนาคตได้

ตัวอย่างการฝึกนิสัยการอ่านเพื่อเพิ่มทักษะความรู้ เพื่อฝึก Hard Skill สำหรับเด็ก ทำได้โดยการส่งเสริมให้พวกเขามีโอกาสอ่านหนังสือบนอุปกรณ์อ่านอิเล็กทรอนิกส์เพื่อสร้างความสนใจในการอ่านและใช้เทคโนโลยีในการเรียนรู้ และเป็นการเปิดมุมมองให้กับเด็กในด้านการหาความรู้ในหลากหลายช่องทาง

ฝึกทักษะด้านภาษาด้วยสื่อการสอนสนุกๆ

การเรียนรู้ภาษาอาจดูยากหรือน่าเบื่อ ไม่เหมาะกับเด็กอายุน้อยๆ แต่ในความเป็นจริงนั้นการฝึก Hard Skill ในด้านภาษาสำหรับเด็กนั้นควรทำตั้งแต่เนิ่นๆ หากคุณสร้างสภาพแวดล้อมที่สนุกสนานและน่าสนใจให้กับเด็ก เพื่อให้พวกเขาสามารถพัฒนาทักษะด้านภาษาอย่างมีความสุข และมีประสิทธิภาพแน่นอน

หนึ่งในวิธีที่สนุกในการฝึกทักษะด้านภาษาคือการใช้สื่อการสอนที่น่าสนใจ อย่างเช่นการอ่านหนังสือนิทานพร้อมภาพที่น่าตื่นเต้น การดูการ์ตูนที่มีภาษาง่ายๆ แฝงไปด้วยเนื้อหาการเรียนรู้ หรือแหล่งข้อมูลการเรียนรู้บนอินเทอร์เน็ตที่มีอยู่มากมาย สามารถเข้าดูได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ต้องรอเข้าห้องเรียน

สรุป

จะเห็นได้ว่า Hard Skill สำหรับเด็ก มีความสำคัญพอๆ กับ Soft Skill ผู้ปกครองควรส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนาศักยภาพทั้งสองด้านไปพร้อมกัน การฝึกพัฒนา Hard Skill สำหรับเด็กนั้นก็มีมากมายให้ผู้ปกครองเลือกใช้วิธีที่เหมาะกับพวกเขามากที่สุด เพื่อการพัฒนาทักษะที่มีประสิทธิภาพ และช่วยสร้างบรรยากาศที่สนุกสนาน ส่งเสริมให้เด็กมีความสุขในการเรียนรู้ได้มากที่สุด

หากผู้ปกครองกำลังมองหาวิธีฝึกทักษะด้านภาษาต่างประเทศให้กับเด็กๆ อย่าลืมไว้ใจให้ SpeakUp Language Center เป็นตัวเลือกที่ดี ในการดูแลพัฒนาการด้านภาษาของเด็กๆ

7 วิธีการส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาของเด็กเล็ก ฉบับผู้ปกครอง 2023

7 วิธีการส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาของเด็กเล็ก ฉบับผู้ปกครอง 2023

พัฒนาการของเด็กเล็กในด้านต่างๆ สามารถส่งเสริมได้โดยคุณพ่อคุณแม่หรือคนใกล้ชิด หากเด็กถูกละเลย หรือผู้ปกครองไม่สนใจพัฒนาการของเด็ก โดยเฉพาะเรื่องของภาษา ซึ่งเกี่ยวข้องกับทักษะในการสื่อสารที่เป็นพื้นฐานของการเรียนรู้และต่อยอดในด้านต่างๆ เด็กอาจจะมีปัญหาในการเรียนรู้ พูดช้า คิดช้า มีโอกาสที่จะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันในอนาคตอย่างแน่นอน

ดังนั้นผู้ปกครองจึงควรใส่ใจและสังเกตพัฒนาการในการเรียนรู้ของเด็ก เพื่อที่จะได้ส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาแบบไม่ขาดช่วง บทความนี้ Speak up ได้นำ 7 วิธีการพัฒนาการด้านภาษาของเด็กมาให้ผู้ปกครองได้นำไปส่งเสริมเด็กๆ ได้ตามความเหมาะสม

ความสำคัญของพัฒนาการด้านภาษาของเด็ก

ความสำคัญของพัฒนาการด้านภาษาของเด็ก

พัฒนาการด้านภาษาเป็นกระบวนการที่คนในสังคมปรับตัวและพัฒนาทักษะในการใช้ภาษาในด้านต่างๆ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดชีวิตของคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้การสื่อสาร พูด อ่าน เขียน ซึ่งมีการปรับปรุงตามเวลา โดยปัจจัยหลายอย่างส่งผลต่อการพัฒนาภาษา เช่น ประสบการณ์การเรียนรู้ สิ่งแวดล้อม การถูกแปลงภาษาตลอดเวลา และการมีโอกาสในการปฏิบัติตนในสถานการณ์ต่างๆ ที่ใช้ภาษาเป็นสื่อสารหลัก

ซึ่งต้องปูพื้นฐานมาตั้งแต่ช่วงแรกของชีวิต การพัฒนาการด้านภาษาของเด็กจึงมีความสำคัญมาก ไม่สามารถปล่อยปละละเลยได้ เนื่องจากภาษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสาร การเรียนรู้ และการเข้าสังคม การพัฒนาภาษาของเด็กเล็กมีความสำคัญต่อพัฒนาทั้งกายและจิตใจ ที่จะสามารถนำไปต่อยอดการเรียนรู้ที่ต้องใช้ทักษะอื่นประกอบด้วย

การส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาของเด็กเริ่มที่อายุเท่าไร

การส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาของเด็กเริ่มที่อายุเท่าไร

การเรียนรู้ภาษาของมนุษย์นั้น เริ่มตั้งแต่ 2 เดือนแรก โดยจะเริ่มส่งเสียงร้อง เมื่อเกิดความต้องการหรือเกิดสิ่งผิดปกติต่อร่างกายตามสัญชาตญาณ โดยพัฒนาการทางภาษาของเด็กในช่วงอายุ 2-5 ปี เป็นช่วงที่สามารถเรียนรู้และมีการพัฒนาได้มากที่สุด จากสิ่งแวดล้อมหรือสิ่งรอบตัว เมื่อได้ยินอะไรก็จะสามารถซึมซับ เลียนแบบ พูดตาม จนเกิดเป็นทักษะในการสื่อสารของเด็กในที่สุด

7 การส่งเสริมการพัฒนาการด้านภาษาของเด็ก

การพัฒนาด้านภาษาของเด็กขึ้นอยู่กับอายุและวัย แต่ตัวแปรที่สำคัญอีกอย่างก็คือการเลี้ยงดูของผู้ปกครอง ที่จะสามารถส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาอย่างไร ให้เด็กเรียนรู้และเกิดการเลียนแบบที่ดี ดังนั้นจึงต้องมีการพึ่งทฤษฎีการเรียนรู้ภาษาของเด็ก ดังนี้

1. สื่อสารพูดคุยกับเด็กให้มาก

การสื่อสารพูดคุยกับเด็กเป็นวิธีสร้างความสัมพันธ์ดี สร้างพื้นฐานทางภาษา และส่งเสริมการพัฒนาด้านภาษาของเด็กอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการสร้างพื้นฐานทางภาษาที่แข็งแรงให้เด็กพูดอย่างเปิดเผย สร้างศักยภาพภาษาในอนาคตของเด็ก

ตัวอย่าง

  • รับฟังอย่างใจเย็น: เมื่อเด็กพูด ต้องให้ความสำคัญและรับฟังอย่างใจเย็น ไม่ควรตักเตือน
  • ใช้ภาษาที่เหมาะสม: ใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและเหมาะสมสำหรับเด็ก ไม่ควรใช้ภาษาที่ซับซ้อนเกินไปหรือต้องการคำแปลอีกที
  • สร้างช่วงเวลาพูดคุย: สร้างเวลาเฉพาะสำหรับพูดคุยกับเด็ก อาจเป็นเวลาที่ทานอาหารเย็นหรือเวลาก่อนนอน
  • เล่นเกมที่ใช้ภาษาเป็นสื่อสาร: เล่นเกมที่ต้องใช้ภาษาเพื่อแก้ปัญหา เช่น เกมทายคำ หรือเกมสร้างเรื่องราว

2. พูดช้าๆ ชัดๆ ซ้ำๆ

การพูดช้าๆ และซ้ำๆ เป็นวิธีการส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาของเด็ก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารมาตรฐาน (Responsive Communication) โดยเป็นการเน้นใช้ภาษาที่ง่าย ชัดเจน และสอดคล้องกับพัฒนาการของเด็ก เพื่อให้เด็กเข้าใจและเรียนรู้ได้ดีขึ้น

ตัวอย่าง

  • หากเด็กยังไม่เข้าใจคำพูดในประโยค สามารถซ้ำคำพูดอีกครั้ง เพื่อให้เด็กมีโอกาสจับความหมายของคำพูด เช่น เวลากินข้าว ทำท่าทางตักข้าวใส่ปาก แล้วพูดช้าๆ ว่า “กินข้าว กินข้าว” เป็นต้น

3. เสริมหรือขยายคำพูดของเด็ก

การเสริมหรือขยายคำพูดของเด็กเป็นการสร้างโอกาสให้เด็กเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ และเพิ่มความรู้ความเข้าใจทางภาษา

ตัวอย่าง

  • ใช้คำเต็มๆ และรายละเอียด: เมื่อพูดคุยกับเด็กให้ใช้คำศัพท์ที่มีรายละเอียด เช่น แทนที่จะพูด “สุนัข” ผู้ปกครองสามารถพูดขยายได้ว่า “สุนัขพันธุ์ชิวาวา” เพื่อเพิ่มความรู้และความเข้าใจ
4. ร้อง เล่น เต้น กับเด็กๆ

4. ร้อง เล่น เต้น กับเด็กๆ

การร้อง เล่น เต้น กับเด็กเป็นวิธีที่สนุกสนาน เพลิดเพลิน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ปกครองกับเด็ก ไม่เพียงแต่ช่วยในการเรียนรู้คำศัพท์ แต่ยังช่วยพัฒนาทักษะการเข้าสังคม ทักษะการสื่อสาร เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์

ตัวอย่าง

  • การร้องเพลง: เพลงจะช่วยสร้างระเบียบวินัยของภาษาและคำศัพท์ให้กับเด็ก ลองร้องเพลงที่มีคำศัพท์เพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ เป็นการเพิ่มคำศัพท์ไปในตัว
  • การเต้น: การเต้นเป็นการช่วยส่งเสริมการเคลื่อนไหวตามประโยคเสียงเพลง 
  • การสร้างฉากการแสดง: สร้างฉากการแสดงที่เด็กสามารถเล่นบทบาทและพูดคุยได้ เช่น การจำลองการเล่นในร้านขายของ เสริมทักษะการสื่อสารการใช้ชีวิตจริง

5. ฝึกให้ทำตามคำสั่ง

การฝึกให้เด็กทำตามคำสั่ง จะช่วยสอนให้เด็กมีทักษะการฟัง การเข้าใจคำพูด และการปฏิบัติตามคำสั่ง เพื่อให้พัฒนาทักษะการใช้ภาษาในสื่อสารและการทำงานในชีวิตประจำวันได้ในอนาคต โดยเริ่มที่ระดับง่ายที่สุด และเมื่อเด็กทำได้ดีแล้วก็เพิ่มความซับซ้อนของคำสั่งเป็นลำดับถัดไป

ตัวอย่าง

  • ใช้คำสั่งเข้าใจง่าย: ให้คำสั่งที่มีชัดเจน และเข้าใจง่ายสำหรับเด็ก เพื่อให้เด็กเข้าใจและปฏิบัติตามได้ง่าย เช่น สั่งให้เก็บของ สั่งให้ล้างมือ
  • เล่นเกมและกิจกรรมที่ใช้คำสั่ง: เล่นเกมที่ใช้คำสั่งเพื่อให้เด็กปฏิบัติตามคำสั่ง เช่น เกม Simon Says หรือเกมสร้างสรรค์อื่นๆ
  • แสดงตัวอย่าง: ผู้ปกครองลองทำเป็นตัวอย่างให้เด็กดู ว่าปฏิบัติตามคำสั่งอย่างไร เพื่อให้เด็กมีแรงบันดาลใจที่จะทำตาม
  • เชื่อมโยงกับประสบการณ์: เชื่อมโยงคำสั่งกับประสบการณ์ในชีวิตประจำวันของเด็ก เช่น “ล้างมือก่อนทานข้าว” หรือ “ระวังไม่ไปใกล้ถนน”

6. ไม่เลี้ยงเด็กด้วยจอภาพ ลดการใช้เทคโนโลยี

การลดการใช้เทคโนโลยีและไม่เลี้ยงเด็กด้วยจอภาพเป็นการส่งเสริมการพัฒนาการด้านภาษาของเด็ก ที่เสริมภาษาผ่านทางกิจกรรมและประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน ช่วยสร้างศักยภาพทางภาษาและสังคมให้กับเด็ก ไม่ให้เด็กคุ้นชินกับจอมากกว่าการเข้าสังคมจริงๆ

ตัวอย่าง

  • สนับสนุนการพูดคุย: สร้างสถานการณ์ที่เกิดการพูดคุยและสนทนา ให้เด็กมีโอกาสพูดเรื่องราว แสดงความคิดเห็น และสื่อสารกับผู้ใหญ่
  • ทำกิจกรรมสร้างสรรค์: สนับสนุนเด็กในการทำกิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น วาดรูป ทำแบบจำลอง 
  • เล่นกลางแจ้ง: พาเด็กออกไปเล่นกลางแจ้ง เช่น เล่นในสวนสาธารณะ สวนเล่น หรือที่สวนสนุก
  • ให้เด็กได้เข้าสังคม: ให้เด็กมีโอกาสเข้าสังคมกับเพื่อนวัยเดียวกันหรือเด็กที่มีช่วงอายุเดียวกัน เพื่อสนับสนุนการพูดคุยและการสื่อสาร

สร้างกิจกรรมที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์: สร้างกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับความสนใจและความต้องการของเด็ก เช่น การพาเด็กๆ ทำงานฝีมือ

7. อ่านนิทานพร้อมภาพประกอบ

การอ่านนิทานพร้อมภาพประกอบให้เด็กฟัง เป็นการสร้างสรรค์เรื่องราวด้วยภาพและเสียงไปพร้อมกัน ช่วยให้เด็กเข้าใจและเรียนรู้ภาษาอย่างสนุกสนาน

ตัวอย่าง

  • เลือกนิทานที่เหมาะสม: เลือกนิทานที่เหมาะสมกับอายุและความสนใจของเด็ก เพื่อให้เข้าใจและสนุกกับเนื้อหา
  • ช่วยอธิบายเนื้อหา: ในระหว่างการอ่าน รูปภาพจะอธิบายเนื้อหาของนิทานและช่วยเด็กเข้าใจคำศัพท์หรือสำนวนที่ไม่คุ้นเคยได้ดี
  • แสดงภาพประกอบ: ช่วยให้เด็กสามารถเห็นภาพตรงตามเนื้อหาในนิทานได้
  • ตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นการคิด: หลังจากอ่านนิทาน ตั้งคำถามให้เด็กตอบ เพื่อกระตุ้นการคิดเชิงวิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์
ประโยชน์ของการส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาของเด็ก

ประโยชน์ของการส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาของเด็ก

การส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาของเด็กมีประโยชน์มากมายต่อพัฒนาการทั้งทางภาษาและทักษะทั่วไปของเด็ก ได้แก่

ด้านการสื่อสาร สนทนา

การพัฒนาการด้านภาษาจะช่วยส่งเสริมทักษะการสื่อสารของเด็ก ทั้งในการพูด ฟัง อ่าน และเขียน ซึ่งเด็กที่ได้เรียนรู้ภาษาเพิ่มขึ้น จะสามารถแสดงความคิดเห็น แสดงความรู้สึก และสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ต่อยอดการเรียนรู้

ภาษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้ การมีทักษะในการอ่านและเขียนช่วยให้เด็กสามารถเรียนรู้เนื้อหาใหม่ๆ และเข้าถึงข้อมูลที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สามารถพัฒนาความคิด

การเรียนรู้ภาษา ช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะคิดเชิงวิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์ การใช้ภาษาในการแก้ปัญหา การสร้างเรื่องราว

มีความรู้และความเข้าใจ

การใช้ภาษา จะสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งรอบตัว และความเข้าใจในเรื่องราว ความรู้ที่เพิ่มขึ้นจะช่วยเด็กเติบโตไปด้วยความคิดรอบคอบ ทำให้เด็กรู้สึกมั่นใจในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

เตรียมความพร้อมสำหรับการเรียนรู้ในอนาคต

การพัฒนาทักษะการพูดภาษาในช่วงเด็ก เป็นการเตรียมความพร้อมต่อการเรียนรู้ในอนาคต เด็กที่มีพื้นฐานทางภาษาที่แข็งแรงมักจะเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ได้ดีกว่า

ส่งเสริมทักษะสังคม

การพัฒนาทักษะด้านภาษา ช่วยเสริมความสามารถในการติดต่อสื่อสาร และการเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น

สรุป

การส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาของเด็กมีความสำคัญมาก เนื่องจากมีผลกระทบต่อพัฒนาการทั้งทางภาษาและพัฒนาการทั่วไปของเด็กในรูปแบบต่างๆ เป็นพื้นฐานสำหรับการเรียนรู้ เพราะภาษาเป็นช่องทางสำคัญในการสื่อสาร ดังนั้นผู้ปกครองจึงต้องให้ความสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาของเด็กๆ เอาใจใส่ในการเลี้ยงดู 


แต่ทว่าบางครั้งผู้ปกครองอาจจะไม่มีเวลาเพียงพอในการเสริมสร้างทักษะด้านภาษา Speak Up Language Center คือผู้ช่วยที่ดีในการช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาอีกแรง เด็กสามารถเรียนได้ตั้งแต่ช่วงอายุ 2.5-12 ปี โดยคุณครูมืออาชีพที่มีประสบการณ์และเทคนิคการสอนภาษาเด็กเล็ก สามารถปูพื้นฐานชีวิตที่ดีให้กับเด็กและเสริมสร้างพัฒนาการทั่วไปของเด็กในระยะยาว

ทำความรู้จักกล้องสลับลาย ของเล่นสุดเจ๋ง เสริมสร้างจินตนาการเด็ก

ทำความรู้จักกล้องสลับลาย ของเล่นสุดเจ๋ง เสริมสร้างจินตนาการเด็ก

กล้องสลับลาย หรือกล้องคาไลโดสโคป เป็นของเล่นในวัยเด็กที่หลายๆ คนรู้จัก วัตถุที่อยู่ปลายกล้องจะแสดงเห็นภาพในกล้องเป็นลวดลายที่แตกต่างออกไป ของเล่นชิ้นนี้ไม่เพียงช่วยสร้างความตื่นเต้นที่ได้เจอลวดลายใหม่ๆ เท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างจินตนาการและพัฒนาการด้านต่างๆ ให้แก่ผู้เล่นอีกด้วย ผู้ปกครองที่กำลังมีลูกเล็กสามารถนำกล้องสลับลายมาให้เด็กๆ เล่นเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการเหล่านี้ได้ 

บทความนี้ SpeakUp Language Center จะพาไปทำความรู้จักกับกล้องคาไลโดสโคปว่ามันคืออะไร มีประโยชน์ยังไง มีหลักการทำงานอย่างไร รวมไปถึงวิธีทำกล้องสลับลายเองง่ายๆ ที่ทำได้ที่บ้าน

กล้องสลับลาย คืออะไร

กล้องสลับลาย คืออะไร

กล้องสลับลาย หรือกล้องคาไลโดสโคป คืออุปกรณ์คล้ายกับกล้องโจรสลัดที่เห็นได้ตามหนัง แต่ด้านในจะประกอบไปด้วยกระจกหรือกระดาษที่สะท้อนแสงได้เหมือนด้านในของซองขนม มาประกอบกันสองชิ้นขึ้นไป เมื่อชิ้นส่วนเหล่านี้เรียงกันอยู่ในกล้องที่มีรูปทรงกระบอกทำให้มันหันหน้าเข้าหากันและสะท้อนกันเอง ดังนั้นเมื่อนำไปส่องที่วัตถุจะเห็นภาพสะท้อนออกมาเป็นรูปสีและรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามวัตถุที่ส่อง แต่รูปที่ออกมานั้นเป็นภาพสมมาตร (symmetrical images) กล้องสลับลายบางตัวสามารถหมุนได้ เมื่อหมุนกล้อง มุมของกระจกด้านในจะเปลี่ยน ทำให้แม้จะส่องไปที่วัตถุเดิมก็จะได้ภาพสมมาตรที่แตกต่างจากมุมเดิมที่เคยหมุน กล้องสลับลายจึงมีประโยชน์มากในด้านการเสริมสร้างจินตนาการให้แก่เด็กเล็ก

กล้องสลับลาย มีประโยชน์ยังไง

กล้องสลับลาย มีประโยชน์ยังไง

กล้องสลับลาย หรือกล้องคาไลโดสโคป นิยมนำมาใช้เป็นสื่อการสอนในวิชาวิทยาศาสตร์ เพราะนอกจากจะเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องของภาพสะท้อนและการหักเหของแสงแล้ว ยังช่วยให้เด็กได้มีส่วนร่วมและสนุกไปกับการเรียนรู้ได้ด้วย นอกจากนี้กล้องคาไลโดสโคปยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกด้วย ดังนี้

พัฒนาสมาธิ

กล้องสลับลายมีประโยชน์อย่างมากในแง่ของการพัฒนาสมาธิ เพราะกล้องคาไลโดสโคปช่วยลดการตื่นตัวทางอารมณ์ของสมองซีกขวา ทำให้ไม่ตื่นเต้นกับสิ่งเร้ามากจนเกินไป ช่วยให้เด็กเรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเอง ณ ขณะนั้น เพื่อให้เด็กได้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและภาพที่สะท้อนอยู่ในกล้องเท่านั้น

เสริมสร้างจินตนาการ

กล้องสลับลายช่วยเสริมสร้างจินตนาการได้โดยส่งเสริมให้เด็กได้เห็นภาพสมมาตรแล้วนำไปจินตนาการต่อว่าภาพที่เห็นนั้นลักษณะคล้ายกับอะไรเมื่อเทียบกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว นอกจากนี้ หากเด็กจินตนาการเป็นภาพอะไรแล้วพูดออกมา ก็จะเป็นการช่วยส่งเสริมความมั่นใจของตัวเด็กด้วย

พัฒนาอารมณ์

บางครั้งตัวเด็กเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร กล้องสลับลายจึงจะปล่อยให้สีของภาพที่เด็กได้เห็นช่วยปลดปล่อยอารมณ์ของเด็กออกมา เช่น สีเขียวช่วยให้ความรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า หรือสีฟ้าช่วยให้รู้สึกสงบมากขึ้น เป็นต้น

ช่วยให้ได้ปลดปล่อย

กล้องสลับลายช่วยสร้างความสนุกสนานและเรียกเสียงหัวเราะให้กับเด็กได้ ช่วยให้เด็กได้ปลดปล่อยความสนุกสนานออกมาเต็มที่พร้อมๆ ไปกับเพื่อนๆ และยังช่วยเสริมสร้างการเข้าสังคมให้กับตัวเด็ก เช่นการชวนเพื่อนมาประดิษฐ์ เล่น และแลกเปลี่ยนกันส่องกล้องคาไลโดสโคปกับเพื่อน

เสริมสร้างความมั่นใจ

กล้องสลับลายช่วยให้เด็กกล้าพูดและกล้าลงมือทำมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกล้าแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมาหลังจากจินตนาการภาพสมมาตรเป็นสิ่งต่างๆ หรือแม้กระทั่งการกล้าลงมือประดิษฐ์ตัวกล้องคาไลโดสโคปเอง

สร้างความอยากรู้อยากเห็น

กล้องสลับลายช่วยกระตุ้นให้เด็กอยากเรียนรู้มากขึ้น อยากรู้ว่าหากเปลี่ยนวัตถุแล้วจะได้เป็นรูปสมมาตรแบบไหน อยากจะประดิษฐ์กล้องคาไลโดสโคปแบบที่มีกระจกหลายๆ ชิ้น หรือแม้กระทั่งอยากรู้หลักการทำงานของตัวกล้อง โดยทำให้เด็กสงสัยว่าทำไมแค่กระจกหลายๆ ชิ้น กับวัตถุเล็กๆ ถึงสามารถสร้างภาพแปลกๆ ออกมาได้ สร้างความอยากรู้อยากเห็นให้เด็กจนเด็กต้องไปหาคำตอบด้วยตัวเอง หรือสอบถามคนอื่นๆ

ช่วยให้เกิดการเรียนรู้สิ่งใหม่

เมื่อเกิดการอยากรู้อยากเห็นก็ต้องเกิดการหาคำตอบ กล้องสลับลายสร้างความอยากรู้อยากเห็นให้ตัวเด็กแล้ว ผู้ปกครองเองก็มีส่วนช่วยในการให้คำตอบเด็กเพื่อให้เขาได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ นอกจากนี้ เมื่อเกิดการเรียนรู้แล้วเด็กก็จะเอาไปเล่าให้ฟังกันแบบปากต่อปาก ทำให้คนรอบตัวของตัวเด็กได้ความรู้ไปด้วย และอาจกระตุ้นให้เกิดคำถามใหม่ๆ ขึ้นมา จนเกิดเป็นการเรียนรู้สิ่งใหม่อีกครั้งได้

วิธีทำกล้องสลับลาย

วิธีทำกล้องสลับลาย

การทำกล้องสลับลายแบบ DIY ทำเองได้ง่ายๆ ที่บ้าน ช่วยส่งเสริมการกล้าคิดกล้าทำของเด็กๆ จะมีวิธีการทำยังไง ไปดูกัน

อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำกล้องสลับลาย

อุปกรณ์ที่จำเป็นในการทำกล้องสลับลาย สามารถหาได้ง่ายๆ มีดังนี้

  1. กระจกเงารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดเท่ากัน 3 แผ่น (หรือมากกว่านั้นได้ตามต้องการ)
  2. กล่องกระดาษ สามารถหาได้ง่ายๆ จะเป็นกล่องคอนเฟลกส์ที่ซื้อมารับประทานทุกเช้าก็ได้
  3. กระดาษ A4  นำมาใช้ตกแต่งภายนอกตัวกล้อง
  4. แผ่นพลาสติกใส เพื่อนำมาใช้เป็นปลายกล้อง
  5. วัตถุเล็กๆ ที่ต้องการนำมาวางไว้ที่ปลายกล้อง สามารถใช้เป็นใบไม้ ดอกไม้ เศษกระดาษสี หรือลูกปัดก็ได้
  6. กรรไกร 
  7. เทปกาว ทั้งเทปกาวแบบปกติ และเทปกาวสองหน้า
  8. สี ที่จะนำมาใช้ตกแต่ง
  9. ไม้บรรทัด

ลงมือทำกล้องสลับสาย

เมื่อได้อุปกรณ์ที่จำเป็นครบแล้ว มาลงมือทำกล้องสลับลายกันได้ง่ายๆ ตามขั้นตอนดังนี้

  1. นำกระจกเงาทั้งสามชิ้น มาประกอบหันหน้าเข้าหากันเป็นรูปสามเหลี่ยม โดยให้ตัวที่เป็นกระจกหน้าหันเข้าไปด้านในทั้งหมด จากนั้นนำเทปกาวมาติดตามรอยต่อของกระจกให้แน่น เพื่อป้องกันการหลุดของตัวกระจก จะได้กระจกเงารูปทรงกระบอกสามเหลี่ยมขึ้นมา
  2. นำกล่องกระดาษมาตัดให้มีขนาดใหญ่กว่ากระบอกสามเหลี่ยมที่เพิ่งทำไปเล็กน้อย พอให้ตัวกล่องกระดาษสามารถพับเป็นรูปกระบอกสี่เหลี่ยมครอบกระบอกสามเหลี่ยมได้อีกที โดยความยาวของกระบอกสี่เหลี่ยมจะมากกว่าเล็กน้อยเพื่อให้มีช่องว่างสำหรับวางวัตถุได้
  3. นำพลาสติกใสมาตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมให้มีขนาดเท่ากับปากของกระบอกสี่เหลี่ยม เพื่อนำไปครอบบริเวณปลายกล้อง ยัดเข้าไปให้สุด ปลายกล้องจะเหลือช่องว่างเล็กน้อยให้พอใส่ถาดวัตถุได้
  4. ตัดพลาสติกใสอีกครั้งให้ใหญ่กว่าอันที่แล้ว จากนั้นตัดบริเวณมุมออกให้แผ่นพลาสติกใสเป็นรูปบวก (+) โดยด้านในของตัวบวกจะเท่ากับพลาสติกใสที่ตัดไปรอบที่แล้ว แต่มีปีกยื่นออกมาเล็กน้อย ให้พับปีกตรงนั้นเข้า เพื่อให้พลาสติกใสรูปบวกสามารถนำมาทำเป็นถาดใส่วัตถุที่ต้องการได้ จากนั้นนำเทปกาวติดตามมุมถาด
  5. ใส่วัตถุที่ต้องการลงไปในถาดพลาสติกใส จัดเรียงให้สวยงาม จากนั้นนำถาดไปครอบบริเวณปลายกล้อง และนำเทปกาวติดบริเวณด้านนอกเพื่อป้องกันการหลุดร่วง
  6. นำกล่องกระดาษมาตัดเป็นรูปบวก ขนาดเท่ากับตัวพลาสติกใสที่เพิ่งทำไป จากนั้นทำรูวงกลมตรงกลาง เพื่อให้ใช้ตาส่องเข้าไปได้ จากนั้นประกอบเข้ากับปลางกล้องอีกด้าน
  7. ขั้นตอนสุดท้าย นำกระดาษ A4 มาระบายสีตกแต่งตามใจชอบ จากนั้นนำมาคลุมตัวกล้องโดยใช้เทปกาวสองหน้ายึดเอาไว้ เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้น สามารถนำไปเล่นในบริเวณที่มีแสงเยอะๆ เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดมากขึ้น
กล้องสลับลาย มีหลักการทำงานยังไง

กล้องสลับลาย มีหลักการทำงานยังไง

กล้องสลับลาย มีหลักการทำงานที่แบ่งตามส่วนประกอบของตัวกล้อง ซึ่งแบ่งออกหลักๆ ได้สามส่วน ดังนี้

  • ส่วนของลำกล้อง เป็นส่วนหลักที่อยู่ด้านนอกของกล้อง มีลักษณะเป็นทรงกระบอก ด้านในจะเป็นกระจกหรือกระดาษสีสะท้อนแสง ส่วนมากนิยมใช้กระจกแค่สามชิ้นวางเป็นรูปสามเหลี่ยมหันหน้าเข้าหากัน แต่ก็สามารถใส่กระจกมากกว่านั้นได้เช่นกัน โดยกระจกเหล่านี้จะสะท้อนกันเองจนทำให้เกิดภาพสมมาตร
  • ปลายกล้อง เป็นกระจกใส หรือพลาสติกใส เพื่อให้มีแสงเข้ามาได้ และในบริเวณปลายกล้องจะมีวัตถุวางไว้ จะเป็นวัตถุชิ้นเล็กๆ หาง่าย อย่างเช่นลูกปัด ดอกไม้ ใบไม้ เป็นต้น ซึ่งตัววัตถุนี้เองจะเป็นตัวกำหนดภาพที่จะเห็นจากการสะท้อน
  • ปากกล้อง เป็นบริเวณที่เด็กจะใช้ส่อง โดยจะนำกระดาษมาตัดเป็นรูเล็กๆ พอให้สายตามองเข้าไปได้

เมื่อมองเข้าไปในรูที่ปลายกล้องสลับลาย แสงที่เข้ามากระทบในกระจกหรือพลาสติกทุกๆ ชิ้นที่อยู่ด้านในตัวกล้องจะสะท้อนมาจากวัตถุที่ปลายกล้องชี้เข้าไป และกระจกหรือพลาสติกด้านในกล้องก็จะสะท้อนกันเองไปเรื่อยๆ เพราะมีแสงเข้ามาในตัวลำกล้อง ทำให้ภาพที่เห็นมีรูปแบบเหมือนกับภาพสมมาตร นอกจากนี้กล้องคาไลโดสโคปบางตัวยังสามารถหมุนเพื่อเปลี่ยนมุมของกระจกหรือพลาสติกด้านในกล้องสลับลายได้ เมื่อหมุนแล้วภาพสมมาตรที่ออกมาก็จะแตกต่างไปจากเดิม

สรุป

เป็นอย่างไรกันบ้างกับกล้องสลับลาย หรือกล้องคาไลโดสโคป ของเล่นในของทรงจำของใครหลายๆ คนที่นอกจากจะสร้างความสนุกสนานได้แล้วยังช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่างๆ ได้อีกด้วย หากใครมีลูกเล็ก อย่าลืมชวนพวกเขามาประดิษฐ์และเล่นกล้องสลับลาย เพื่อให้ครอบครัวได้ใช้เวลาว่างร่วมกัน และยังช่วยฝึกสมาธิให้เด็กๆ ได้อีกด้วย

5 ไอเดียทำของเล่น diy

5 ไอเดียของเล่น DIY เสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ และจินตนาการของเด็ก

ส้อมคู่กับช้อนฉันใด เด็กก็ต้องคู่กับของเล่นฉันนั้น เพราะของเล่นนั้นเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับเด็กมานานแสนนาน เหล่าพ่อแม่ หรือผู้ปกครองที่กำลังจะมีลูกเล็ก ลองให้พวกเขาฝึกทำของเล่น DIY ด้วยตัวเอง เพราะการได้เล่นของเล่นที่ได้จากการประดิษฐ์ขึ้นมาเองนั้น จะทำให้พวกเด็กๆ สนุกกับการเล่นของเล่นมากขึ้น อีกทั้ง การทำของเล่น DIY ยังช่วยเสริมสร้างพัฒนาการผ่านการลงมือทำ สร้างจินตนาการให้เด็กๆ ผ่านการตกแต่งของเล่น และส่งเสริมการเข้าสังคมของพวกเขาผ่านการนำของเล่นออกไปเล่นกับเพื่อนๆ ได้อีกด้วย

บทความนี้จะพาไปดูวิธีทำของเล่น DIY ง่ายๆ ให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้ศึกษา เพื่อที่จะได้ใช้เวลาร่วมกับเด็กๆ ให้เกิดประโยชน์ จะมีไอเดียอะไรบ้าง ช่วยส่งเสริมพัฒนาการในตัวเด็กได้อย่างไร และมีวิธีการทำอย่างไรบ้าง ไปดูกันเลย

บูมเมอแรง ของเล่น diy

1. บูมเมอแรง

บูมเมอร์แรง คืออุปกรณ์ที่คนในยุคก่อนใช้ล่าสัตว์เพื่อหาอาหาร แต่ในปัจจุบันกลายมาเป็นของเล่นที่สร้างสีสันและความสนุกสนานให้เหล่าเด็กๆ มีวิธีการเล่นคือการจับตรงกลางของบูมเมอร์แรง จากนั้นโยนไปข้างหน้า เพื่อให้บูมเมอแรงปลิวกลับมา โดยการเล่นบูมเมอแรงเป็นของเล่น DIY ที่ช่วยพัฒนาพัฒนาการของเด็กในด้านต่างๆ ได้ดังนี้

  • ฝึกทักษะด้านความจำ การทำบูมเมอแรงด้วยกระดาษ ต้องอาศัยการพับที่มีขั้นตอนซับซ้อน จึงจำเป็นต้องฝึกฝนและจดจำขั้นตอนในการทำ เมื่อฝึกฝนไปเรื่อยๆ ก็จะสามารถจำได้ และทำเล่นเองได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องพึ่งคู่มือการทำอีกแล้ว
  • ช่วยให้ได้ออกกำลังกาย ในการโยนบูมเมอแรงแต่ละครั้ง เด็กๆ ต้องได้ออกกำลังแขนในการโยน นอกจากนี้ หากบูมเมอแรงไม่กลับมา เด็กๆ ก็ต้องวิ่งไปเก็บบูมเมอแรงกลับมาได้
  • ฝึกให้เรียนรู้จากข้อผิดพลาด เด็กๆ จะได้ฝึกเรียนรู้จากข้อผิดพลาด เพราะการปาบูมเมอแรงให้กลับมาหาตัวเองนั้นทำได้ยาก ต้องฝึกให้ชิน เด็กๆ จะได้เรียนรู้ว่าการโยนบูมเมอแรงแบบไหนแล้วตัวบูมเมอแรงจะไม่ปลิวกลับมา และการโยนแบบไหนจะปลิวกลับมา ทำให้เรียนรู้ความผิดพลาด และรู้จักวางแผนมากขึ้น

การทำบูมเมอแรง ของเล่น DIY ง่ายๆ มีวัสดุที่ต้องเตรียมง่ายๆ มีดังนี้

  • กระดาษสีขนาด A4
  • เทปใส

วิธีทำของเล่น DIY

ผู้ปกครองที่อยากลองทำบูมเมอแรงร่วมกับลูกๆ สามารถให้เด็กๆ ทำเองได้ตามขั้นตอน โดยที่ผู้ปกครองทำให้พวกเขาดูก็ได้เช่นกัน มาดูวิธีการทำบูมเมอแรงจากกระดาษ ของเล่น DIY ทำง่ายๆ มีขั้นตอนดังนี้

  1. พับครึ่งกระดาษสีเข้าหากันจากแนวตั้ง จากนั้นคลี่กระดาษออก จะเห็นรอยพับตรงกลาง
  2. พับกระดาษฝั่งขวาเข้าหารอยพับตรงกลาง จากนั้นคลี่ออก จะเห็นรอยพับเป็น 2 รอย
  3. พับกระดาษฝั่งขวาเข้าหารอยพับด้านนอก จากนั้นพับทบกันมาเรื่อยๆ จนสุดกระดาษ
  4. นำเทปใส่มาติดกระดาษที่เหลือ เป็นแนวยาวรอยพับ
  5. ทำแบบนี้กับกระดาษสีขนาด A4 อีกแผ่น
  6. พับกระดาษลงมา จากนั้นตัดครึ่ง ทำแบบเดียวกันทั้งสองแผ่น จะได้แท่งกระดาษ 4 แท่ง
  7. นำกระดาษที่ตัด 2 แท่ง มาทับกันเป็นตัว V จากนั้นนำเทปใสมาติดเข้าด้วยกันให้แน่น
  8. ทำแบบเดียวกันกับกระดาษทั้ง 2 แท่งที่เหลือ
  9. จากนั้นหันหน้ากระดาษตัว V เข้าหากัน โดยให้มุมอยู่ด้านนอก แล้วสอดแบบทบกัน เกี่ยวกันให้มีลักษณะเป็นรูปตัว X
  10. นำเทปใสมาติดตรงกลางของตัว X ให้แน่น
เพียงเท่านี้ก็จะได้บูมเมอแรง ของเล่น DIY สำหรับเด็กๆ แล้ว เมื่อต้องการเล่นบูมเมอแรง ให้จับบริเวณตรงกลางของตัว X แล้วโยนขึ้นฟ้าไปด้านหน้า หากโยนถูกวิธีบูมเมอแรงก็จะกลับมา
จิ๊กซอว์ ของเล่น diy

2. จิ๊กซอว์

จิ๊กซอว์ (Jigsaw) คือเกมต่อภาพที่มีมาอย่างยาวนาน โดยจิ๊กซอว์จะเป็นรูปภาพต่างๆ ที่ถูกแยกส่วนกระจัดกระจายออกมา ผู้เล่นจะต้องนำชิ้นส่วนเหล่านั้นมารวมกันใหม่ เพื่อให้ได้ภาพนั้นกลับมาอีกครั้ง เกมจิ๊กซอว์จึงเหมาะมากสำหรับนำมาทำเป็นของเล่น DIY สำหรับเด็กๆ เพราะสามารถส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในด้านต่างๆ ดังนี้

  • ฝึกทักษะความอดทน อดกลั้น ผ่านการการนำชิ้นส่วนต่างๆ ที่กระจัดกระจายกันอยู่ของรูปเหล่านั้นมาต่อเข้าด้วยกัน การลองผิดลองถูกไปทีละขั้นตอนจนประกอบเป็นรูปภาพได้สำเร็จนั้น ทำได้ด้วยการอดทนกับความผิดพลาดต่างๆ ที่ผ่านมา และเรียนรู้จากข้อผิดพลาดนั้นๆ จนทำได้สำเร็จ เป็นการช่วยฝึกความอดทนให้เด็กๆ ได้ดีเลยทีเดียว
  • ฝึกสมาธิ นอกจากการลองผิดลองถูกแล้ว ช่วงเวลาในการต่อจิ๊กซออว์จนสำเร็จนั้น ต้องใช้เวลานานมาก เด็กๆ จะต้องใช้สมาธิ จดจ่ออยู่กับจิ๊กซอว์ตรงหน้าเป็นเวลานาน ไม่วอกแวกไปกับสิ่งเร้าต่างๆ รอบตัว
  • ฝึกทักษะด้านความจำ โดยการจดจำว่าจิ๊กซอว์ชิ้นที่ต้องการนั้นอยู่ตรงส่วนไหน
  • ฝึกทักษะด้านจินตนาการ ผ่านการนำรูปที่พวกเขาเลือกเองมาประกอบกัน โดยจินตนาการว่าชิ้นส่วนไหนควรอยู่ตรงไหนของภาพนั้นๆ และควรนำไปประกอบกับชิ้นส่วนใดต่อไป
การทำจิ๊กซอว์ ของเล่น DIY ง่ายๆ มีวัสดุที่ต้องเตรียม ดังนี้
  • กระดาษ A4 1 แผ่น
  • กระดาษแข็ง หรือกระดาษลังเหลือใช้ ขนาดเท่า A4  
  • กาวสองหน้า
  • กรรไกร
  • คัตเตอร์
  • ดินสอ
  • ไม้บรรทัด

วิธีทำของเล่น DIY

ผู้ปกครองที่อยากลองทำจิ๊กซอว์ร่วมกับลูกๆ มาดูวิธีการทำจิ๊กซอว์ ของเล่น DIY ง่ายๆ มีดังนี้

  1. พรินต์รูปที่ต้องการลงกระดาษ A4 โดยเว้นขอบไว้ประมาณ 2 เซนติเมตร หรือจะให้เด็กๆ วาดเองก็ได้
  2. ตัดมุมทั้ง 4 มุมที่เว้นว่างไว้ออก ในขั้นตอนนี้เป็นการใช้ของมีคม ผู้ปกครองจึงควรเป็นคนทำเอง
  3. ให้เด็กๆ นำกระดาษ A4 ที่พรินต์รูปแล้ว ไปแปะติดกับกระดาษแข็ง (หรือกระดาษลัง) จากนั้นผู้ปกครองช่วยตัดมุมกระดาษแข็งที่เว้นไว้ 2 เซนติเมตรออก จะได้กระดาษแข็งที่มีรูปร่างคล้ายกรอบรูป
  4. ให้เด็กๆ นำขอบกระดาษแข็งที่ตัดออกไปประกบเข้ากับกระดาษแข็งขนาด A4 อีกอัน ติดกาวสองหน้าและประกบเข้ากันให้แน่น
  5. ให้เด็กๆ นำรูปที่แปะเข้ากับกระดาษแข็งแล้วมาวาดรูปตารางด้านหลังให้เต็มแผ่น ขนาดเล็กหรือใหญ่ได้ตามใจชอบ
  6. ผู้ปกครองช่วยตัดรูปออกตามรอยดินสอที่วาดไว้
เพียงเท่านี้เราก็จะได้จิ๊กซอว์ ของเล่น DIY ที่คุณผู้ปกครองจะนำมาใช้เล่นกับลูกๆ ได้แล้ว โดยใช้ส่วนของกระดาษแข็งที่ตัดเป็นกรอบ มาทำเป็นถาดของจิ๊กซอว์ นำตัวจิ๊กซอว์เหล่านั้นมาวางให้เป็นรูปตามรูปที่เราเลือกได้เลย
ระนาด ของเล่น diy

3. เครื่องดนตรี (ระนาด)

ระนาด เป็นเครื่องดนตรีที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างช้านาน แต่รู้หรือไม่ว่าเราสามารถทำระนาดเป็นของเล่น DIY ให้เด็กๆ ได้ และใช้ไม้ตีเพื่อให้เกิดเป็นเสียงตามรูที่ได้เจาะเอาไว้ด้านล่างด้วย ระนาดของเล่น DIY ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กๆ ได้ในหลายๆ ด้าน ดังนี้

  • ฝึกทักษะด้านการฟัง โดยการตีไปที่ตัวระนาด แล้วฟังว่าเสียงที่ออกมานั้นเป็นแบบไหน ผู้ปกครองอาจจะเพิ่มความท้าทายเล็กน้อยให้พวกเขาด้วยการลองให้พวกเขาหลับตา แล้วทายว่าเสียงที่ได้ยินนั้นมาจากการตีระนาดปุ่มไหน
  • ฝึกทักษะความจำ โดยการใช้สีและเสียงของระนาดเข้าช่วย เพราะแต่ละสีของระนาดจะให้เสียงที่แตกต่างกัน เมื่อเล่นไปเรื่อยๆ เด็กๆ จะเริ่มจำได้ว่าแต่ละสีนั้นให้เสียงแบบไหน
  • ฝึกทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ โดยการฝึกให้เด็กๆ ลองตีระนาดไปเรื่อยๆ ให้พวกเขาจับจุดเอาเองว่าหากตีระนาดปุ่มนี้แล้ว ควรตีปุ่มไหนต่อ เพื่อให้เสียงที่ออกมานั้นไพเราะมากยิ่งขึ้น
  • ฝึกทักษะการเข้าสังคม ผ่านการฝึกเล่นระนาด ของเล่น DIY กับกลุ่มเพื่อนๆ

การทำระนาด เครื่องดนตรีของเล่น DIY ง่ายๆ มีวัสดุที่ต้องเตรียม ดังนี้

  • แผ่นไม้
  • ไม้ไอติม
  • สีน้ำ หรือดินสอสี
  • กาว
  • ดินสอ

วิธีทำของเล่น DIY

ผู้ปกครองที่อยากลองทำระนาดร่วมกับลูกๆ มาดูวิธีการทำระนาด เครื่องดนตรีของเล่น DIY ง่ายๆ มีดังนี้
  1. ให้เด็กๆ นำไม้ไอติมไปวางบนแท่นไม้ 4-5 แท่ง โดยมีระยะห่างประมาณ 1-2 เซนติเมตร จากนั้นนำดินสอมาร่างเป็นรอยไม้ไอติมไว้ แล้วเอาไม้ไอติมออก
  2. ให้เด็กๆ นำไม้ไอติมมาตกแต่งด้วยสีน้ำตามใจชอบ โดยใช้สีที่แตกต่างกันออกไป ขั้นตอนนี้ควรให้เด็กๆ ได้ทำตามความคิดและจินตนาการของพวกเขา ปล่อยให้พวกเขาได้ใช้เวลาในการตกแต่งได้เต็มที่
  3. ผู้ปกครองช่วยเจาะรูที่แผ่นไม้ไว้ตรงจุดที่จะเอาไม้ไอติมไปวาง โดยจำนวนและตำแหน่งของรูต้องแตกต่างกันในแต่ละจุด เพื่อให้เสียงที่ออกมานั้นแตกต่างกัน อาจจะเจาะเพิ่มรูไปเรื่อยๆ ก็ได้
  4. ให้เด็กๆ นำไม้ไอติมมาติดเข้ากับแผ่นไม้ด้วยกาวให้แน่น ทับรูที่เจาะเอาไว้

การตีระนาดให้ใช้กิ่งไม้ที่มีขนาดและน้ำหนักมากพอที่จะตีไปที่ตัวระนาดแล้วเกิดเสียงได้ เพียงเท่านี้ก็จะได้ระนาด เครื่องดนตรีของเล่น DIY มาช่วยเสริมสร้างพัฒนาการในด้านต่างๆ ของเด็กๆ ได้แล้ว

หน้ากากแฟนซี ของเล่น diy

4. หน้ากากแฟนซี

หน้ากากแฟนซี คือหน้ากากรูปร่างต่างๆ ที่ใช้สวมใส่เพื่อปกปิดบริเวณใบหน้า ลวดลายของหน้ากากแฟนซีนั้นจะเป็นอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปวิวทิวทัศน์ที่เราวาด รูปสัตว์ ดอกไม้ หรือแม้กระทั่งลวดลายที่ไม่มีความหมาย การทำหน้ากากแฟนซี ของเล่น DIY นั้นจึงเหมาะมากที่จะนำมาใช้เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการด้านความคิดสร้างสรรค์ของเด็กๆ นอกจากนี้ หน้ากากแฟนซียังมีประโยชน์ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านอื่นๆ อีก ดังนี้

  • ฝึกทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ การตกแต่งหน้ากากแฟนซีด้วยรูปวาด ดอกไม้ หรือการทำหน้ากากแฟนซีออกมาเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะขั้นตอนการวาด การระบายสี หรือแม้แต่การตกแต่งหน้ากากแฟนซี ก็ช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเด็กๆ ได้
  • ฝึกสมาธิ การทำหน้ากากแฟนซี ของเล่น DIY ต้องใช้สมาธิอย่างมากในการทำ และจดจ่อกับการประดิษฐ์หน้ากาก
  • ฝึกทักษะความกล้าแสดงออก การสวมหน้ากากแฟนซี โดยเฉพาะรูปสัตว์ต่างๆ แล้วให้เด็กลองเลียนแบบสัตว์เหล่านั้น ช่วยให้เด็กกล้าแสดงออกผ่านการเลียนแบบได้ และหากเป็นการสวมหน้ากากแฟนซีเล่นกับเพื่อนๆ ลองให้เด็กๆ สร้างเรื่องราวจนเหมือนนิทานมาเล่นกับเพื่อนๆ เสริมสร้างจินตนาการได้อีกด้วย

การทำหน้ากากแฟนซี ของเล่น DIY ง่ายๆ มีวัสดุที่ต้องเตรียม ดังนี้

  • จานกระดาษ ขนาดพอดีกับหน้าเด็ก
  • กรรไกร
  • คัตเตอร์
  • ดินสอ
  • ดินสอสี
  • ไม้บรรทัด
  • ตะเกียบ
  • กาว

วิธีทำของเล่น DIY

ผู้ปกครองที่อยากลองทำหน้ากากแฟนซีร่วมกับลูกๆ มาดูวิธีการทำหน้ากากแฟนซีรูปจิ้งจอก ของเล่น DIY ง่ายๆ มีดังนี้

  1. ผู้ปกครองช่วยใช้กรรไกรตัดครึ่งจานกระดาษออก
  2. ผู้ปกครองวาดรูปวงกลมเพื่อใช้เจาะเป็นรูตรงดวงตา โดยกะระยะได้ด้วยการเอาไปลองทาบกับหน้าดูก่อน จากนั้นใช้คัตเตอร์ตัดตามรูที่วงไว้
  3. ให้เด็กๆ ได้ระบายสีตกแต่งส่วนหน้ากากให้เป็นรูปหน้าจิ้งจอกตามจินตนาการของพวกเขา ในขั้นตอนนี้เป็นการใช้จินตนาการของเด็กๆ ปล่อยให้พวกเขาได้สนุกไปกับการระบายสีอย่างเต็มที่
  4. ให้เด็กๆ นำอีกครึ่งหนึ่งของจานกระดาษที่ตัดออกไป วาดเป็นรูปใบหูของจิ้งจอก ขนาดพอประมาณ ระบายสีตกแต่งตามจินตนาการ จากนั้นผู้ปกครองช่วยตัดออกเป็นรูปหูตามที่พวกเขาวาดไว้
  5. ให้เด็กๆ นำส่วนหูไปติดกับส่วนใบหน้า โดยใช้กาว
  6. ให้เด็กๆ พลิกตัวหน้ากากลง จากนั้นนำตะเกียบที่ทากาวไว้มาติดเข้ากับด้านในของหน้ากาก เพื่อใช้เป็นไม้จับ
  7. ให้เด็กๆ นำส่วนของจานกระดาษที่เหลือมาวาดเป็นของตกแต่งอื่นๆ เช่น ดอกไม้ โบว์ จากนั้นใช้กาวติดเข้ากับตัวหน้ากาก เพื่อประดับให้หน้ากากมีความแปลกใหม่ และน่าสนใจ
เพียงเท่านี้ก็จะได้หน้ากากแฟนซีสุดสวย ของเล่น DIY ที่ทำเองได้ง่ายๆ โดยผู้ปกครองสามารถนำวิธีการทำหน้ากากแฟนซีไปปรับใช้ เพื่อทำเป็นรูปร่างอื่นๆ ได้ ตามความชอบของเด็กๆ
ของเล่น diy โทรศัพท์กระป๋อง

5. โทรศัพท์จากกระป๋อง

โทรศัพท์จากกระป๋อง เป็นของเล่นที่เด็กๆ แทบทุกยุคต้องเคยได้ลองเล่น ด้วยอุปกรณ์ที่หาได้ง่าย DIY ได้จากวัสดุเหลือใช้ เมื่อดึงเชือกจนตึงแล้วพูดใส่ตัวกระป๋อง คนที่อยู่ปลายสายของเชือกก็จะได้ยินผ่านกระป๋องอีกอัน สร้างความตื่นเต้นขณะเล่นเป็นอย่างมาก ขั้นตอนการทำก็ง่ายแสนง่าย เพียงไม่กี่ขั้นตอนก็ทำเสร็จแล้ว อีกทั้ง ของเล่นชิ้นนี้ยังนำไปเล่นกับเพื่อนๆ ช่วยเพิ่มความสนุกและทำให้สนิทกับเพื่อนมากขึ้นได้ นอกจากนี้โทรศัพท์จากกระป๋องยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านอื่นๆ ได้อีกด้วย ดังนี้

  • ฝึกทักษะด้านงานฝีมือ ผ่านการลงมือทำโทรศัพท์จากกระป๋อง และตกแต่งให้สวยงามอย่างปราณีตด้วยตัวเด็กๆ เอง
  • ฝึกทักษะการเข้าสังคม โดยการฝึกให้เด็กได้รู้จักพูดคุยกับเพื่อนๆ ผ่านการใช้โทรศัพท์จากกระป๋อง ของเล่น DIY เป็นตัวกลาง 
  • ฝึกทักษะการสื่อสาร เด็กที่ยังพูดไม่ชัดก็จะช่วยในเรื่องของการออกเสียง และฝึกการพูดคุยกับผู้อื่น
  • ส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ที่จะรักษ์โลก ด้วยการทำของเล่น DIY จากวัสดุเหลือใช้ 

การทำโทรศัพท์จากกระป๋องของเล่น DIY ง่ายๆ มีวัสดุที่ต้องเตรียม ดังนี้

  • กระป๋องเหลือใช้ ขนาดเท่ากันจำนวน 2 กระป๋อง
  • เชือก
  • กระดาษ
  • ดินสอสี
  • กาว
  • กรรไกร
  • ค้อน
  • ตะปู

วิธีทำของเล่น DIY

ผู้ปกครองที่อยากลองทำโทรศัพท์จากกระป๋องร่วมกับลูกๆ มาดูวิธีการทำโทรศัพท์จากกระป๋อง ของเล่น DIY ง่ายๆ มีดังนี้

  1. ให้ผู้ปกครองนำตะปูมาเจาะรูที่ตรงก้นของกระป๋องทั้ง 2 กระป๋อง ขนาดของรูไม่ต้องใหญ่มาก แค่พอสอดเชือกเข้าไปได้
  2. ให้เด็กๆ ปิดตัวกระป๋องด้วยกระดาษ ติดกาวให้เรียบร้อย
  3. จากนั้นตกแต่งเพิ่มความสวยงามด้วยการวาดรูประบายสีลงบนกระดาษที่นำไปติดเข้ากับตัวกระป๋อง จะเป็นรูปอะไรก็ได้ตามจินตนาการของเด็กๆ
  4. นำเชือกสอดเข้าไปในรูกระป๋องที่เตรียมไว้ในขั้นตอนแรก จากนั้นมัดปมเชือกเอาไว้เพื่อกันไม่ให้เชือกหลุดเมื่อดึงเชือกจนตึง
  5. ทำแบบเดียวกันกับประป๋องอีกอัน ในอีกฝั่งของปลายเชือก
เพียงเท่านี้ก็จะได้โทรศัพท์จากกระป๋อง ของเล่น DIY จากวัสดุเหลือใช้ เมื่อต้องการนำมาเล่นก็ให้คนหนึ่งถือกระป๋องฝั่งหนึ่ง อีกคนก็ถือกระป๋องอีกฝั่ง จากนั้นเดินออกไปให้ห่างกันจนเชือกตึง ให้คนที่พูด พูดใส่กระป๋อง ส่วนคนฟังก็เอาหูแนบกับกระป๋องฟังเหมือนกับการคุยโทรศัพท์

สรุป

เป็นอย่างไรบ้างกับของเล่น DIY 5 อย่างที่ได้รวบรวมมาให้ใช้เวลาร่วมกับเด็กๆ ของเล่น DIY เหล่านี้ นอกจากจะช่วยประหยัดเงินในการซื้อของเล่นสำเร็จรูปแล้ว ยังช่วยทำให้พวกเขารู้จักการนำวัสดุเหลือใช้มาทำให้เกิดประโยชน์ได้อีกด้วย

ลองชวนเด็กๆ มาใช้เวลาว่างของพวกเขาให้เกิดประโยชน์ผ่านการประดิษฐ์ของเล่นด้วยตัวเอง นอกจากจะช่วยให้ได้ใช้เวลากับผู้ปกครองแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่างๆ ของพวกเขาได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นสมาธิ ความอดทน ความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้ เมื่อการประดิษฐ์ของเล่นออกมาเสร็จสมบูรณ์ตามที่ต้องการได้แล้ว จะช่วยทำให้เด็กๆ รู้สึกว่าสามารถทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จได้ด้วยตนเองอีกด้วย

นิทานภาษาอังกฤษสั้นๆ พร้อมคำอ่าน เสริมสร้างทักษะภาษาให้ลูกน้อย

นิทานภาษาอังกฤษสั้นๆ พร้อมคำอ่าน เสริมสร้างทักษะภาษาให้ลูกน้อย

ทักษะการเรียนรู้เสริมสร้างได้ด้วยการฝึกฝน ยิ่งฝึกฝนมากเท่าไรก็ยิ่งเพิ่มความเชี่ยวชาญมากยิ่งขึ้น การฝึกภาษาก็เช่นกัน โดยการฝึกภาษาอังกฤษในเด็กเล็กไม่ควรเน้นในด้านวิชาการมาก แต่เน้นให้เด็กคุ้นชินกับภาษาเสมือนภาษาไทยที่มีการฝึกใช้มาตั้งแต่เด็ก สำหรับผู้ปกครองที่มีลูกน้อยวัยกำลังเรียนรู้ การเสริมสร้างทักษะเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญมาก มาดูกันว่าการให้ลูกน้อยเรียนรู้นิทานภาษาอังกฤษพร้อมคําอ่าน และคําแปล ช่วยเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ และการเล่าเรื่องราวอย่างไร พร้อมตัวอย่างนิทานภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ

การเล่านิทาน (Storytelling) มีลักษณะอย่างไร

การเล่านิทาน (Storytelling) มีลักษณะอย่างไร

การเล่านิทาน (Storytelling) คือ การเล่าเรื่องราวเพื่อถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ด้วยวิธีการพูด และการเขียนเป็นหลัก โดยเน้นให้ผู้ฟังได้รับประสบการณ์ร่วม มีอารมณ์ร่วม หรือความรู้สึกที่เชื่อมโยงกัน รวมถึงเข้าใจในเนื้อหาของสิ่งที่ผู้สื่อสารต้องการจะสื่อ

นอกจากนี้ การเล่านิทานมีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้คนเกิดความบันเทิง สร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต ตลอดจนใช้เพื่อการเรียนการสอนให้แก่เด็กน้อย โดยเฉพาะเรื่องการใช้ชีวิต และคำสอนต่างๆ เพื่อให้เด็กสามารถรู้เท่าทันโลกมากขึ้น

นิทานภาษาอังกฤษฝึกภาษาได้จริงหรือไม่?

ภาษาอังกฤษถือว่าเป็นภาษาที่สำคัญมากในบริบทโลก เราต่างคุ้นชินกับการเรียนภาษาที่สอดแทรกไปด้วยเนื้อหาวิชาการ และไม่สามารถนำมาใช้ได้จริง การฝึกภาษาให้เด็กเล็กผ่านนิทานภาษาอังกฤษสั้นๆ พร้อมคำอ่าน ถือว่าเป็นวิธีการที่ช่วยเสริมสร้างทักษะการอ่าน สร้างความคุ้นชินกับประโยค และคำศัพท์ต่างๆ จนสามารถนำกลับมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ นอกจากนี้ นิทานยังทำให้เด็กไม่เครียด สร้างความเพลิดเพลิน ทำให้เด็กมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้มากขึ้น จึงทำให้ทักษะด้านภาษาอังกฤษพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้เหมือนเป็นภาษาตัวเองเลย

ฝึกทักษะ ฟัง พูด อ่าน เขียน

นิทานภาษาอังกฤษมีประโยชน์ต่อลูกน้อยอย่างไร

การฝึกภาษาอังกฤษด้วยการอ่านนิทานช่วยฝึกภาษาได้ดี เนื่องจากนิทานให้ความเพลิดเพลิน เพิ่มความต้องการเรียนรู้ในตัวเด็กมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีประโยชน์อีกมากมาย แต่จะมีอะไรบ้าง ไปดูกัน

ประโยคภาษาอังกฤษในนิทานสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้

ในนิทานภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ ประกอบไปด้วยเนื้อหาที่เล่าเรื่องด้วยประโยคภาษาอังกฤษพื้นฐานที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ เมื่อเด็กมีความคุ้นชินกับประโยค และคำศัพท์ต่างๆ ในนิทานแล้ว การนำออกมาพูดในชีวิตจริงก็เป็นเรื่องง่ายมากขึ้นไปอีก

เด็กๆ สามารถเรียนรู้พฤติกรรมที่ดีผ่านนิทาน

เด็กเป็นวัยที่กำลังเรียนรู้ และกำลังเลียนแบบพฤติกรรม การสอนให้ลูกเรียนรู้ในเรื่องต่างๆ ตั้งแต่ยังเด็กจึงสำคัญ เพราะในนิทานบางเรื่อง ผู้เขียนมักสอดแทรกคำสอนที่มีประโยชน์ไว้ เพื่อที่เด็กจะได้เรียนรู้พฤติกรรมของตัวละครในนิทาน และเข้าใจว่าควรประพฤติตัวอย่างไรบ้าง หรือมีการกระทำแบบใดที่ไม่ควรทำ

ช่วยเสริมสร้างทักษะการพูด และการอ่านภาษาอังกฤษ

นิทานภาษาอังกฤษสั้นๆ พร้อมคำอ่าน ช่วยส่งเสริมให้เด็กมีคลังคำศัพท์ และทำให้มีความจำดีขึ้น เนื่องจากเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ การเรียนรู้ประโยค และคำศัพท์ผ่านนิทานจึงเป็นวิธีที่ทำให้เด็กต่อยอดทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน และทักษะการพูดได้ดีมากขึ้น ทำให้เด็กที่มีคลังคำศัพท์เยอะ และสามารถนำคำศัพท์ไปประยุกต์ใช้ได้ดีกว่าเด็กที่ไม่มีคำศัพท์อยู่ในหัวเลย

สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่ และลูกน้อย

เมื่อพ่อแม่อ่านนิทานให้ลูกอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครอง และลูกน้อยดียิ่งขึ้น เป็นการสร้างการรับรู้ให้กับลูกน้อยสึกว่าตัวเองมีคุณค่า เพราะฉะนั้น นิทานภาษาอังกฤษสั้นๆ พร้อมคำอ่าน จึงไม่เพียงแต่ช่วยฝึกทักษะการใช้ภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่ยังช่วยให้สถาบันครอบครัวมั่นคงขึ้นอีกด้วย

นิทานเรื่องลูกหมูสามตัวภาษาอังกฤษ พร้อมคําอ่าน

นิทานเรื่องลูกหมูสามตัวภาษาอังกฤษ พร้อมคําอ่าน

Once upon a time there were three little pigs. One pig built a house of straw while the second pig built his house with sticks. They built their houses very quickly and then sang and danced all day because they were lazy. The third little pig worked hard all day and built his house with bricks.

 

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีลูกหมูสามตัว ลูกหมูตัวแรกสร้างบ้านของตัวเองด้วยฟาง ลูกหมูตัวที่สองสร้างบ้านด้วยไม้ ทำให้สร้างเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว ด้วยความขี้เกียจจึงใช้เวลาไปกับการเที่ยวเล่น ร้องเพลง และเต้นรำกันกันตลอดทั้งวัน แต่ลูกหมูตัวที่สามสร้างบ้านด้วยอิฐ มันจึงใช้เวลาอย่างขยันขันแข็งในการสร้างบ้านของตัวเองตลอดทั้งวัน จนไม่สามารถออกไปเที่ยวเล่นแบบลูกหมูตัวอื่นๆ ได้

 

A big bad wolf saw the two little pigs while they danced and played and thought, “What juicy tender meals they will make!” He chased the two pigs and they ran and hid in their houses. The big bad wolf went to the first house then huffed, puffed, and blew the house down in minutes.

 

วันหนึ่ง มีหมาป่าตัวใหญ่ดุร้ายเห็นลูกหมูสองตัวกำลังเต้นระบำกันอย่างสนุกสนาน มันคิดในใจว่า “เนื้อหมูพวกนั้นน่าจะนุ่มลิ้น คงจะฉ่ำอร่อยไม่น้อย!” ทันใดนั้น หมาป่าจึงไล่จับลูกหมูทั้งสองตัว ลูกหมูต่างพากันไปซ่อนในบ้านของตัวเอง หมาป่าจึงวิ่งไล่ไปยังบ้านของลูกหมูตัวแรกที่ทำด้วยฟาง หายใจเข้า และพรูลมหายใจแค่เพียงไม่นาน บ้านทั้งหลังก็หายไปในพริบตา

 

The frightened little pig ran to the second pig’s house that was made of sticks. The big bad wolf now came to this house then huffed, puffed, and blew the house down in hardly any time. Now, the two little pigs were terrified and ran to the third pig’s house that was made of bricks.

 

ลูกหมูตัวแรกตกใจกลัวมาก จึงรีบวิ่งหนีไปซ่อนตัวในบ้านลุกหมูตัวที่สองที่ทำด้วยไม้ ในคราวนี้หมาป่าใช้เวลาอย่างยากลำบากในการทำลายบ้านหลังนี้ แต่ถึงอย่างไร บ้านก็ยังถูกทำลายไปได้ในที่สุด ลูกหมูทั้งสองตัวจึงหันไปพึ่งลูกหมูตัวที่สามที่มีบ้านทำด้วยอิฐ

 

The big bad wolf tried to huff, puff, and blow the house down, but he could not. He kept trying for hours but the house was very strong and the little pigs were safe inside. He tried to enter through the chimney but the third little pig boiled a big pot of water and kept it below the chimney. The wolf fell into it and died.

 

ต่อมาหมาป่าก็พยายามพังบ้านหลังนี้ด้วยวิธีเดิมอีก แต่แม้จะใช้ความพยายามมากเท่าไรก็ไม่พอ หมาป่าจึงพยายามแอบเข้ามาทางปล่องไฟของบ้าน ลูกหมูทั้งสามตัวจึงวางแผนต้มน้ำร้อนในหม้อใบใหญ่มาวางไว้ตรงบริเวณใต้ปล่องไฟ ทำให้หมาป่าที่พยายามเข้ามาตกลงในน้ำร้อนจนตายไปในที่สุด

 

The two little pigs now felt sorry for having been so lazy. They too built their houses with bricks and lived happily ever after.

 

ลูกหมูสองตัวนึกเสียใจกับความขี้เกียจของพวกมัน จึงพยายามสร้างบ้านด้วยอิฐ และอยู่กันอย่างมีความสุขตั้งแต่นั้นมา

 

คำศัพท์ที่น่าสนใจ

  1. Straw (สตรอ)  =  ฟาง
  2. Stick (เซอะติ๊ก)  =  ไม้
  3. Brick (บริก)  =  อิฐ
  4. Tender (เทนเดอะ) =  อ่อนนุ่ม
  5. Juicy (จู๊สซี่) =  ฉ่ำ
  6. Huff (ฮัฟ)  =  หอบ, ทำให้โกรธ
  7. Terrified (เทเรอฟาย)  =  ขวัญเสีย
  8. Chimney (ชิ๊มนี่)  =  ปล่องไฟ
นิทานเรื่องราชสีห์กับหนูภาษาอังกฤษ พร้อมคําอ่าน

นิทานเรื่องราชสีห์กับหนูภาษาอังกฤษ พร้อมคําอ่าน

Once when a Lion was asleep, a little mouse began running up and down upon him; this soon woken the Lion, who placed his huge paw upon him, and opened his big jaw to swallow him.

ณ วันหนึ่ง เมื่อราชสีห์นอนหลับอยู่ มีเจ้าหนูตัวเล็กคอยวิ่งเล่นอยู่บนตัวของสิงโต ทันใดนั้น สิงโตได้ตื่นขึ้น และรีบนำอุ้งมือใหญ่ของตนตะปปเจ้าหนูตัวเล็กไว้เพื่อนำมาเป็นอาหาร

“Pardon, my King, cried the little mouse; forgive me this time, I shall never forget it. Who knows what I may be able to do you a turn some of these days?” The lion was so tickled at the idea of the Mouse being able to help him, that he lifted up his paw and let him go.

“ข้าต้องขออภัยด้วยท่านเจ้าป่า ได้โปรดยกโทษให้ข้า แล้วข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านเลย ในวันใดวันหนึ่ง ข้าอาจตอบแทนท่านได้” เจ้าหนูตัวจิ๋วร้องไห้คร่ำครวญพลางร้องขอการให้อภัย ราชสีห์นึกขำ และหัวเราะออกมา แล้วยกอุ้งเท้าออก เพื่อปลดปล่อยเจ้าหนูออกจากพันธนาการ

Sometime after the Lion was caught in a trap and the hunters who desired to carry him alive to the king, tied him to a tree while they went in search of a wagon to carry him on.

หลังจากนั้นไม่นาน เกิดเหตุเมื่อราชสีห์ไปติดกับดักของนายพรานเข้า โดยนายพรานต้องการราชสีห์เพื่อไปถวายแก่พระราชา นายพรานจึงนำราชสีห์ตัวนี้ไปผูกติดกับต้นไม้ต้นหนึ่ง จากนั้นนายพรานจึงไปหารถเพื่อกลับมาบรรทุกราชสีห์ออกไป

Just then the little Mouse happened to pass by, and seeing the sad plight in which the Lion was, went up to him and soon gnawed away the ropes that bound the king of the beasts.

ขณะนั้น เจ้าหนูตัวจิ๋วได้เดินผ่านมา และเห็นภาพอันน่าเศร้าของราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่ถูกผูกติดกับต้นไม้ จึงเข้าไปช่วยเหลือราชสีห์โดยการใช้ฟันเล็กๆ ของมันแทะจนเชือกขาด และปลดปล่อยราชสีห์ออกไปได้ในที่สุด

คำศัพท์ที่น่าสนใจ

  1. Caught (คอช) = จับไว้, ตะครุบ
  2. Tickle (ทิกเคิ่ล) = ขำขัน
  3. Wagon (แวกิ่น) = รถบรรทุกสินค้า (สมัยก่อนเทียบด้วยม้า)
  4. Plight (ไปลช) = ชะตากรรม
  5. Gnaw (น๊อ) = กัด,แทะ
  6. Beast (บีสต) = สัตว์ป่า
  7. Little (เลทเดิ่ล) = เล็ก, น้อย
นิทานเรื่องกระต่ายกับเต่าภาษาอังกฤษ พร้อมคําอ่าน

นิทานเรื่องกระต่ายกับเต่าภาษาอังกฤษ พร้อมคําอ่าน

A Hare was making fun of this Tortoise one day for being slow. “Do you ever get anywhere?” he asked with a mocking laugh. “Yes,” answered the Tortoise,” and that I get there earlier than you think. I will run you a race and prove it.”

กาลครั้งหนึ่ง มีกระต่ายตัวหนึ่งมักล้อเลียนเจ้าเต่าถึงความช้าของมันอยู่เสมอ “แกเคยไปถึงไหนบ้างไหมเนี่ย” กระต่ายถามพร้อมหัวเราะเยาะเจ้าเต่า “แน่นอนสิ” เต่าตอบกลับไป “ฉันไปถึงตรงนั้นได้เร็วกว่าที่แกคิดอีก ฉันจะวิ่งแข่งกับแก ลองดูไหม?” 

The Hare was considerably amused at the concept of conducting a race with all the Tortoise, but also for the pleasure of this thing he consented. So the Fox, who had agreed to serve as judge, marked the space and began off the runners.

เจ้ากระต่ายนึกตลกกับความคิดของเจ้าเต่า แต่เพื่อความสนุกกระต่ายจึงตอบตกลงแข่งไป โดยมีสนัขจิ้งจอกเป็นกรรมการตัดสินให้ เริ่มจัดการขีดเส้นจุดเริ่มต้นและเส้นชัย เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขัน

The Hare was soon far from sight, and also to make the Tortoise feel quite deeply how absurd it was for him to attempt a race with a Hare, he lay down with the path to having a rest before the Tortoise must catch up.

เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น กระต่ายเริ่มวิ่งไปไกลสุดลูกหูลูกตา และทำให้เจ้าเต่านึกเสียใจที่ไปท้าทายกระต่ายเข้า กระต่ายแน่นอนใจ ล้มนอนลงข้างทางเพื่อรอให้เจ้าเต่าตามมาทัน

The Tortoise meanwhile kept moving slowly but steadily, and, after a moment, passed the location where the Hare had been sleeping. However, the Hare went quite peacefully and if at last, he’d awaken, the Tortoise was close to the objective. The Hare currently conducted his swiftest, but he couldn’t overtake the Tortoise punctually.

ในขณะเดียวกัน เจ้าเต่ายังคงตั้งใจใช้แรงของตัวเองเดินต่อไปอย่างช้าๆ อย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดเจ้าเต่าก็เดินมาถึงจุดที่กระต่ายนอนอยู่ แต่ถึงอย่างนั้น กระต่ายก็ยังคงไม่กระตือรือร้นที่จะไปถึงเส้นชัย และนอนอย่างสบายใจ เมื่อกระต่ายตื่นมาก็เห็นเจ้าเต่าเดินไปเกือบถึงเส้นชัยแล้ว กระต่ายจึงรีบวิ่งอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าก็ไ่ม่สามารถตามเจ้าเต่าทันได้แล้ว ทำให้เจ้าเต่าชนะการแข่งขันครั้งนี้ไปได้ในที่สุด

คำศัพท์ที่น่าสนใจ

  1. Amuse (อะมิวซ) = ทำให้สนุกสนาน
  2. Catch up (แคช อัพ) = คว้า
  3. Consent (เคินเซนท) = การอนุญาต
  4. Judge (จัจ) = ผู้ตัดสิน (กีฬา)
  5. Laugh (ลาฟ) = หัวเราะ
  6. Mock (มอค) = เยาะเย้ย
  7. Steadily (สเทดดิลี) = อย่างมั่นคง
นิทานเรื่องหนูน้อยหมวกแดงภาษาอังกฤษ พร้อมคําอ่าน

นิทานเรื่องหนูน้อยหมวกแดงภาษาอังกฤษ พร้อมคําอ่าน

There was once a sweet little maid who lived with her father and mother in a pretty little cottage at the edge of the village. At the further end of the wood was another pretty cottage and in it lived her grandmother.

กาลครั้งหนึ่ง  มีสาวน้อยคนหนึ่งอาศัยอยู่กับพ่อแม่ในกระท่อมท้ายหมู่บ้าน และถัดไปจากป่านี้มีบ้านอีกหลังหนึ่งคือบ้านคุณยายของสาวน้อยคนนี้ 

Everybody loved this little girl, her grandmother perhaps loved her most of all and gave her a great many pretty things. Once she gave her a red cloak with a hood which she always wore, so people called her Little Red Riding Hood.

ทุกคนในครอบครัวรักเธอ และยายของเธอก็รักเธอมากกว่าใครๆ คุณยายมักมอบของขวัญสุดแสนพิเศษให้กับเธอเสมอ โดยเฉพาะเสื้อคลุมหมวกสีแดงที่เธอมักสวมใส่มันไปไหนมาไหนอยู่เสมอ ทำให้ใครๆ ต่างก็เรียกเธอว่า “หนูน้อยหมวกแดง”

One morning Little Red Riding Hood’s mother said, “Put on your things and go to see your grandmother. She has been ill; take along this basket for her. I have put in it eggs, butter and cake, and other dainties.”

เช้าวันหนึ่ง แม่ของหนูน้อยหมวกแดงบอกกับเธอว่า “เตรียมตัวให้เรียบร้อย และไปเยี่ยมคุณยายนะลูก ท่านกำลังป่วยอยู่ ลูกนำตะกร้าใบนี้ไปให้คุณยาย ในนั้นมีทั้งไข่ เนย ขนม และเค้ก รวมถึงของอร่อยๆ อีกมากมาย”

It was a bright and sunny morning. Red Riding Hood was so happy that at first she wanted to dance through the wood. All around her grew pretty wild flowers which she loved so well and she stopped to pick a bunch for her grandmother.

เช้าอันสดใส หนูน้อยหมวกแดงมีความสุขมาก ขณะเดินไปเธอเต้นรำ ชื่นชมความสวยงามของดอกไม้ และป่าเขียวขจี และเธอเก็บดอกไม้ไปฝากคุณยายด้วย

Little Red Riding Hood wandered from her path and was stooping to pick a flower when from behind her a gruff voice said, “Good morning, Little Red Riding Hood.” Little Red Riding Hood turned around and saw a great big wolf, but Little Red Riding Hood did not know what a wicked beast the wolf was, so she was not afraid.

หนูน้อยหมวกแดงประหลาดใจและหยุดเก็บดอกไม้เพียงชั่วครู่เมื่อได้ยินเสียงทักทาย “สวัสดียามเช้าหนูน้อยหมวกแดง” เธอไม่ได้ตกใจกลัวมากนัก เนื่องจากไม่รู้ว่าหมาป่าเป็นสัตว์ป่าที่ดุร้าย

“What do you have in that basket, Little Red Riding Hood?”

“อะไรอยู่ในตะกร้าหรือ” หมาป่าถาม

“Eggs and butter and cake, Mr. Wolf.”

“มีไข่ไก่ เนย และเค้กค่ะคุณหมาป่า” หนูน้อยหมวกแดงตอบ

“Where are you going with them, Little Red Riding Hood?”

“แล้วหนูกำลังเอาไปไหนหรือ?” หมาป่าถามต่อ

“I am going to my grandmother, who is ill, Mr. Wolf.”

“หนูกำลังเอาไปให้คุณยายค่ะ ท่านกำลังป่วย”

“Where does your grandmother live, Little Red Riding Hood?”

“ยายของเจ้าอยู่ไหนหรือ?”

“Along that path, past the wild rose bushes, then through the gate at the end of the wood, Mr. Wolf.”

“เดินผ่านไปทางทุ่งดอกกุหลาบ ทะลุเข้าไปตรงท้ายป่าค่ะคุณหมาป่า”

Then Mr. Wolf again said “Good morning” and set off, and Little Red Riding Hood again went in search of wild flowers.

จากนั้นหมาป่ากล่าวทักทาย “อรุณสวัสดิ์” อีกครั้ง และจากไป หนูน้อยหมวกแดงจึงเก็บดอกไม้เพื่อไปฝากคุณยายต่อ

At last he reached the porch covered with flowers and knocked at the door of the cottage.

ในที่สุด หมาป่ามาถึงระเบียงบ้านคุณยายที่ปกคลุมไปด้วยดอกไม้ และเคาะประตูกระท่อม

“Who is there?” called the grandmother.

“นั่นใครหรือ” คุณยายถาม

“Little Red Riding Hood,” said the wicked wolf.

“หนูน้อยหมวกแดงค่ะ” หมาป่าตอบ

“Press the latch, open the door, and walk in,” said the grandmother.

“กดสลักประตูแล้วเข้ามาได้เลยจ้า” คุณยายตอบ

The wolf pressed the latch, and walked in where the grandmother lay in bed. He made one jump at her, but she jumped out of bed into a closet. Then the wolf put on the cap which she had dropped and crept under the bedclothes.

หมาป่ากดสลักประตู และเดินตรงไปยังเตียงคุณยาย กระโจนเข้าใส่คุณยาย แต่คุณยายกลับหนีรอดหลบไปยังอีกห้องหนึ่งได้ จากนั้น หมาป่าหยิบหมวกที่คุณยายทำหล่นไว้มาสวมรอย และคลานเข้าไปอยู่ใต้ผ้าคลุมเตียง

In a short while Little Red Riding Hood knocked at the door, and walked in, saying, “Good morning, Grandmother, I have brought you eggs, butter and cake, and here is a bunch of flowers I gathered in the wood.” As she came nearer the bed she said, “What big ears you have, Grandmother.”

หลังจากนั้นไม่นาน หนูน้อยหมวกแดงเคาะประตู และเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกล่าวทักทาย “อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณยาย หนูเอาไข่ เนย เค้ก และช่อดอกไม้ที่หนูเก็บมาจากป่าค่ะ” เมื่อเธอเข้ามาใกล้เตียง หนูน้อยหมวกแดงก็ถามขึ้นว่า “ทำไมคุณยายหูใหญ่จังคะ”

“All the better to hear you with, my dear.”

“จะได้ยินเสียงหลานชัดๆ ยังไงล่ะจ๊ะ”

“What big eyes you have, Grandmother.”

“ทำไมตาคุณยายโตจังคะ?”

“All the better to see you with, my dear.”

“จะได้เห็นหลานชัดๆ ยังไงล่ะจ๊ะ”

“But, Grandmother, what a big nose you have.”

“แต่…ทำไมจมูกคุณยายโตจังคะ?”

“All the better to smell with, my dear.”

“จะได้ดมกลิ่นหลานได้ดีไงล่ะจ๊ะ”

“But, Grandmother, what a big mouth you have.”

“แต่ว่า…ทำไมปากคุณยายใหญ่จังคะ”

“All the better to eat you up with, my dear,” he said as he sprang at Little Red Riding Hood.

“จะได้กินหลานได้เต็มปากเต็มคำไงล่ะจ๊ะหลานรัก” หมาป่าตอบพร้อมกระโจนเข้าใส่หนูน้อยหมวกแดง

Just at that moment Little Red Riding Hood’s father was passing the cottage and heard her scream. He rushed in and with his axe chopped off Mr. Wolf’s head.

ทันในนั้นเอง พ่อของหนูน้อยหมวกแดงที่กำลังเดินผ่านมายังกระท่อมได้ยินเสียงลูกสาวตัวเอง เขาจึงรีบเข้าไป และใช้ขวานฟันเข้าไปที่หัวของหมาป่า

Everybody was happy that Little Red Riding Hood had escaped the wolf. Then Little Red Riding Hood’s father carried her home and they lived happily ever after.

ทุกคนดีใจที่หนูน้อยหมวกแดงหนีรอดมาได้ พ่อของเธอจึงพาเธอกลับบ้าน และใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขตั้งแต่นั้นเรื่อยมา

คำศัพท์ที่น่าสนใจ

  1. Edge (เอช) = ริม,ขอบ                            
  2. Cloak (โคลก)  =  เสื้อคลุม
  3. Dainty (เดนทิ)  =  งดงาม
  4. Gruff (กรัฟ)  =  เสียงแหบ
  5. Wicked (วิคเคด)  =  ชั่วร้าย
  6. Porch (พอรช)  =  เฉลียง, ระเบียง
  7. Latch (แลช)  =  สลักประตู, กลอน
  8. Bedclothes (เบดโคลส)  =  ผ้าปูที่นอน,  ผ้าคลุมเตียง
  9. Chop (ช๊อป)  =  ฟัน,  สับ

สรุป

การเล่านิทาน คือ การเล่าเรื่องราวเพื่อถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ ผ่านเรื่องเล่าด้วยวิธีการพูด และการเขียนเป็นหลัก เพื่อให้ผู้ฟังมีอารมณ์ร่วม และเข้าใจในเนื้อหาของสิ่งที่ผู้สื่อสารต้องการสื่อ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้คนเกิดความบันเทิง และใช้เพื่อการเรียนการสอนให้แก่เด็กน้อย โดยเฉพาะเรื่องการใช้ชีวิต และคำสอนต่างๆ เพื่อให้เด็กสามารถรู้เท่าทันโลกมากขึ้น ดังนั้น นิทานภาษาอังกฤษพร้อมคำอ่าน คำแปล จึงช่วยให้เด็กรอบรู้ทั้งในด้านภาษาอังกฤษ หลักการใช้ชีวิต และหลักคำสอนของสิ่งที่ผู้เขียนนิทานต้องการสื่อออกมา


หากสนใจเรียนภาษาอังกฤษเพื่อเสริมทักษะภาษาให้ลูกน้อย SpeakUp Language Center ช่วยได้ เพราะเราคือสถาบันการเรียนภาษาที่จะช่วยฝึกฝนพัฒนาการทางด้านภาษาของเด็กๆ ให้เป็นไปอย่างราบรื่น มีความสนุกสนาน และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยการประยุกต์ใช้การเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ (Montessori) โดยครูผู้สอนมืออาชีพที่มีประสบการณ์ และเทคนิคเฉพาะในการสอนภาษาสำหรับเด็กเล็ก

คำศัพท์สัตว์ภาษาจีน

รวมคำศัพท์เกี่ยวกับสัตว์ ภาษาจีน เปลี่ยนการเรียนภาษา ไม่ให้น่าเบื่อ

สำหรับเด็กๆ ที่อยากฝึกภาษาจีนแล้วกังวลว่าภาษาจีนต้องจำคำศัพท์เยอะ ยาก หรือน่าเบื่อ อยากให้ทุกคนสลัดความคิดนั้นออกไปให้หมดได้เลย เพราะการฝึกจำคำศัพท์ภาษาจีนจะไม่น่าเบื่ออีกต่อไป หากเริ่มจากคำศัพท์ที่เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตรอบๆ ตัว หรือคำศัพท์เกี่ยวกับสัตว์ภาษาจีน เพื่อให้เด็กๆ สนุกไปกับการจำคำศัพท์ได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งคำศัพท์สัตว์ภาษาจีนจะอะไรบ้าง ไปดูกันเลย
การจำคำศัพท์สัตว์ภาษาจีนดียังไง

การจำคำศัพท์เกี่ยวกับสัตว์ ภาษาจีน ดียังไง

การฝึกให้เด็กๆ ท่องคำศัพท์สัตว์ภาษาจีน ถือเป็นวิธีการเรียนรู้ที่สร้างสรรค์ อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ และพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กๆ ได้ ดังนี้

พัฒนาทักษะการฝึกออกเสียง

การจำคำศัพท์ภาษาจีนหมวดสัตว์ นอกจากช่วยให้เด็กๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับชื่อ เสียง และรูปร่างของสัตว์แล้ว คำศัพท์สัตว์ภาษาจีนยังช่วยฝึกพัฒนาการในการฝึกออกเสียงได้มากขึ้นอีกด้วย เนื่องจากการฝึกอ่านออกเสียงอย่างสม่ำเสมอจะทำให้เด็กๆ เกิดความคุ้นเคย และออกเสียงได้อย่างถูกต้องมากขึ้น

พัฒนาทักษะการฝึกสร้างประโยค

การจำคำศัพท์สัตว์ภาษาจีน ช่วยเสริมพัฒนาการในการสร้างประโยค และพัฒนาการสื่อสารของเด็กๆ ได้ เนื่องจากคำศัพท์ภาษาจีนหมวดสัตว์ ช่วยให้ผู้เรียนรู้เห็นรูปร่าง ท่าทาง เสียงของสัตว์ จนทำให้เกิดการเรียนรู้ และพัฒนาเป็นการสร้างประโยคที่จะส่งผลดีต่อการเขียน หรือการพูดได้

พัฒนาทักษะการแบ่งหมวดหมู่

การจำคำศัพท์ภาษาจีนหมวดสัตว์ ช่วยให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ได้ว่าสัตว์มีหลากหลายชนิด สัตว์บางชนิดมักพบได้ในสวนสัตว์ บางชนิดพบอยู่ในป่าใหญ่ บางชนิดพบได้ใต้ท้องทะเล หรือแม้แต่บางชนิดที่สามารถเลี้ยงได้ที่บ้าน จึงทำให้เด็กๆ สามารถแบ่งหมวดหมู่ของสัตว์แต่ละชนิดได้ และทำให้จำคำศัพท์ได้ง่ายมากขึ้น

พัฒนาทักษะการเข้าสังคม

การเรียนรู้คำศัพท์สัตว์ภาษาจีน สามารถสร้างเสริมทักษะการเข้าสังคมให้กับเด็กๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในระหว่างการเรียน หรือการทำกิจกรรมร่วมกับเด็กคนอื่นๆ ที่อาจมีการสื่อสาร พูดคุย หรือเล่นเกมเกี่ยวกับสัตว์ชนิดต่างๆ การเรียนรู้คำศัพท์ภาษาจีนหมวดสัตว์จะช่วยให้เด็กๆ สามารถเข้าใจ และสื่อสารกับเพื่อนๆ หรือคุณครูได้ดีมากยิ่งขึ้น

ฝึกให้เด็กใส่ใจสิ่งมีชีวิตอื่นๆ รอบตัว

การฝึกจำคำศัพท์สัตว์ภาษาจีน ช่วยให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ที่จะใส่ใจถึงความสวยงามของธรรมชาติ การปกป้องดูแลคุณภาพชีวิตของสัตว์ต่างๆ รวมถึงการเห็นคุณค่าของสิ่งมีชีวิตร่วมโลก ทำให้เด็กๆ มีความเห็นอกเห็นใจ และพัฒนาทักษะการเข้าใจในผู้อื่นได้อีกด้วย
รวมคำศัพท์สัตว์ภาษาจีน หมวดหมู่ต่างๆ

รวมคำศัพท์เกี่ยวกับสัตว์ ภาษาจีน หมวดหมู่ต่างๆ

รวบรวมคำศัพท์ภาษาจีนเกี่ยวกับสัตว์ในหมวดหมู่ต่างๆ จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย
คำศัพท์สัตว์ภาษาจีน หมวด 12 นักษัตร

คำศัพท์ภาษาจีนหมวดสัตว์ 12 นักษัตร

ก่อนพาไปทำความรู้จักกับคำศัพท์สัตว์ภาษาจีนในหมวดหมู่ต่างๆ มาเริ่มกันที่สัตว์ 12 นักษัตรที่ควรรู้ เพื่อช่วยฝึกให้เด็กๆ จำได้ง่ายๆ ด้วยการบอกปีนักษัตรของพวกเขา หรือฝึกถามปีนักษัตรของคนอื่น แล้วลองพูดออกมาเป็นภาษาจีนก็สามารถทำได้ ซึ่งนอกจากช่วยฝึกภาษาแล้ว ยังช่วยให้เด็กเรียนรู้ที่จะถาม และเข้าสังคมได้อีกด้วย มาดูคำศัพท์ภาษาจีนหมวดหมู่สัตว์ใน 12 นักษัตร จะมีอะไรบ้าง ไปดูกัน
คำศัพท์ภาษาจีน พินอิน คำอ่าน คำแปล
shǔ สู่ หนู
niú หนิว วัว
หู่ เสือ
兔子 tù zǐ ทู่ จื่อ กระต่าย
lóng หลง มังกร หรืองูใหญ่
shé เสอ งูเล็ก
หม่า ม้า
yáng หยาง แพะ
hóu โหว ลิง
公鸡 gōng jī กง จี ไก่ตัวผู้
gǒu โก่ว สุนัข
zhū จู หมู
คำศัพท์สัตว์ภาษาจีน หมวดสัตว์เลี้ยง

ภาษาจีน หมวดหมู่สัตว์เลี้ยง

สัตว์เลี้ยง คือสัตว์ที่มีการเลี้ยงดู ควบคุม และคุ้มครองดูแลโดยมนุษย์ เนื่องจากสัตว์เลี้ยงมักอยู่ใกล้ตัวมนุษย์ และเป็นที่คุ้นเคยกับมนุษย์มากที่สุด การจำคำศัพท์ภาษาจีนในหมวดหมู่สัตว์เลี้ยงจึงง่ายต่อการฝึกฝนมากขึ้นไปอีก มาดูคำศัพท์ภาษาจีนหมวดหมู่หมวดสัตว์เลี้ยง มีอะไรบ้าง ไปดูกัน

คำศัพท์ภาษาจีนพินอินคำอ่านคำแปล
māoมาวแมว
鹦鹉 yīng wǔ อิง อู่นกแก้ว
金鱼jīn yúจิน หยีปลาทอง
guīกุยเต่า
豚鼠tún shǔทุ๋น ฉู่หนูตะเภา
刺猬cì weiซื่อ เวยเม่นแคระ
猫头鹰māo tóu yīngเมา โถว อิงนกฮูก
微型猪wēi xíng zhūเวย สิง จูหมูแคระ
niǎoเหนี่ยวนก
仓鼠cāng shǔชาง ฉู่หนูแฮมสเตอร์
龙猫lóng māoหลง มาวหนูชินชิลล่า
松鼠sōng shǔซง ฉู่กระรอก
兔子tù ziทู่ จีกระต่าย
ยวี๋ปลา
蜜袋鼯mì dài wúมี่ ไต้ อู๋ชูก้าไกรเดอร์
จีไก่ตัวเมีย
黑猩猩 hēi xīng xīngเฮย ซิง ซิงลิงชิมแปนซี
猩猩xīng xīngซิง ซิงลิงอุรังอุตัง
山羊 shān yángซาน หยางแพะ
ลวี๋ลา
คำศัพท์สัตว์ภาษาจีน หมวดสัตว์บก

ภาษาจีน หมวดหมู่สัตว์บก

สัตว์บก คือสัตว์ที่อาศัยอยู่บนบกเป็นส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมดอาศัยอยู่บนพื้นดิน มักเป็นสัตว์ที่มีจำนวนขา 2-4 ขา ขึ้นไป ส่วนใหญ่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์ที่ออกลูกเป็นตัว และออกลูกเป็นไข่ รวมไปถึงสัตว์ที่มีกระเป๋าหน้าท้อง เนื่องจากสัตว์บกมีมากมายและเป็นที่รู้จัก การจำคำศัพท์ภาษาจีนในหมวดหมู่นี้จึงช่วยฝึกเด็กได้ง่ายขึ้น มาดูคำศัพท์ภาษาจีนหมวดหมู่หมวดสัตว์บก มีอะไรบ้าง ไปดูกัน

คำศัพท์ภาษาจีนพินอินคำอ่านคำแปล
猴子hóu ziโฮ่ว จื่อลิง
狮子shī ziซือ จื่อสิงโต
เหอแร็กคูน
长颈鹿cháng jǐng lùฉาง จิ่ง ลู่ยีราฟ
猎豹liè bàoเลี่ย เป้าเสือชีต้าร์
狐狸hú liหู หลี่สุนัขจิ้งจอก
袋鼠dài shǔต้าย สู่จิงโจ้
箭猪jiàn zhūเจี้ยน จูเม่น
老虎lǎo hǔเหลา หู่เสือโคร่ง
yángหยางแกะ
斑马bān mǎปาน หม่าม้าลาย
xióngสงหมี
lángหลางหมาป่า
大象dà xiàngต้า เซี่ยงช้าง
鬣狗liè gǒuเลี่ย โก่วไฮยีน่า
骆驼luò tuoลั่ว ทัวอูฐ
水牛shuǐ niúสุ่ย หนิวควาย
niúหนิววัว
熊猫 xióng māoสยง เมาหมีแพนด้า
bàoเป้าเสือดาว
คำศัพท์สัตว์ภาษาจีน หมวดสัตว์น้ำ

ภาษาจีน หมวดหมู่สัตว์น้ำ

สัตว์น้ำ คือสัตว์ที่อาศัยอยู่ในน้ำเป็นส่วนใหญ่ โดยมีวงจรชีวิตอยู่ในแหล่งน้ำเค็ม และแหล่งน้ำจืด มักเป็นสัตว์ที่ออกลูกเป็นไข่ สัตว์ที่ออกลูกเป็นตัว สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีกระดูกสันหลัง รวมไปถึงสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง และสัตว์ที่มีเปลือก หรือกระดองห่อหุ้ม เนื่องจากสัตว์น้ำเป็นสัตว์ที่น่าสนใจ และแปลกตา ทำให้เด็กๆ สนใจที่จะเรียนรู้คำศัพท์ภาษาจีนมากยิ่งขึ้น มาดูคำศัพท์ภาษาจีนหมวดหมู่หมวดสัตว์น้ำ มีอะไรบ้าง ไปดูกัน

คำศัพท์ภาษาจีนพินอินคำอ่านคำแปล
鲨鱼shā yúซา หยูปลาฉลาม
海豚hǎi túnห่าย ถุนปลาโลมา
海蜇hǎi zhēห่าย เจ่อแมงกะพรุน
海马hǎi mǎห่าย หม่าม้าน้ำ
章鱼zhāng yúจาง หยูปลาหมึกยักษ์
海星hǎi xīngห่าย ซิงปลาดาว
鳐鱼yáo yúเหยา หยูปลากระเบน
斗鱼dòu yúโต้ว หยูปลากัด
鲶鱼nián yúเหนียน หยูปลาดุก
河豚hé túnเฮอ ถุนปลาปักเป้า
海鳗hǎi mánห่าย หม่านปลาไหลทะเล
海胆hǎi dǎnห่าย ต่านเม่นทะเล
海牛hǎi niúห่าย หนิวพะยูน
鲸鱼 jīng yúจิง ยวีปลาวาฬ
海虾hǎi xiā ห่าย เซี่ยกุ้งทะเล
海龟 hǎi guīห่าย กุยเต่าทะเล
小丑鱼xiǎo chǒ uyúเซี๋ยว โฉ่ ยวีปลาการ์ตูน
海豹hǎi bàoห่าย เป้าแมวน้ำ
海蟹hǎi xièห่าย เซี้ยะปูทะเล
鲑鱼guī yúกุย ยวีปลาแซลมอน
คำศัพท์สัตว์ภาษาจีน หมวดสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ

ภาษาจีน หมวดหมู่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ

สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ หรือสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก คือสัตว์ที่อาศัยอยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบก ส่วนใหญ่มักเป็นสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง มีผิวหนังที่ชุ่มชื้นเปียกลื่นอยู่ตลอดเวลา หายใจทางเหงือก และออกลูกเป็นไข่ที่ไม่มีเปลือกในน้ำได้ นอกจากนี้ ยังมีสัตว์บางชนิดที่ไม่ได้มีการหายใจทางเหงือก หรือผิวหนังเปียกลื่น แต่มีวงจรชีวิตที่ทำให้ต้องอยู่ทั้งบนบก และในน้ำเช่นกัน ซึ่งสามารถพบได้หลายชนิดในแอฟริกา และบริเวณขั้วโลก เพราะสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำมีหลากหลายชนิด การเรียนรู้คำศัพท์ภาษาจีนหมวดนี้จึงน่าสนใจสำหรับเด็กๆ ไม่น้อย มาดูคำศัพท์ภาษาจีนหมวดหมู่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ มีอะไรบ้าง ไปดูกัน

คำศัพท์ภาษาจีนพินอินคำอ่านคำแปล
圆鼻巨蜥yuán bí jù xīเยวียน ปี๋ จวี้ ซีตัวเงินตัวทอง
蜗牛wō niú วัว หนิวหอยทาก
鳄鱼è yúเอ้อ หยูจระเข้
河马hé mǎเฮอ หม่าฮิปโปโปเตมัส
企鹅qǐ éฉี่ เอ๋อเพนกวิน
北极熊běi jí xióngเป่ย จี๋ สงหมีขั้วโลก
螃蟹páng xièผาง เซี่ยปู
青蛙 qīng wāชิง วากบ
คำศัพท์สัตว์ภาษาจีน หมวดสัตว์ปีก

ภาษาจีน หมวดหมู่สัตว์ปีก

สัตว์ปีก คือสัตว์เลือดอุ่น มีกระดูกสันหลัง ออกลูกเป็นไข่ มีปีก มีขน และมีมวลกระดูกที่กลวงเบา ทำให้สามารถบินในอากาศได้ เนื่องจากสัตว์ปีกเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่มีความหลากหลายมากที่สุด เพราะมีสายพันธุ์ที่ค้นพบได้ทั่วโลกประมาณ 8,800-9,800 ชนิด มีสีสัน รูปร่าง ขนาด และถิ่นที่อยู่อาศัยที่แตกต่างกัน โดยมีทั้งสัตว์ปีกที่บินไม่ได้อาศัยอยู่ทั้งบนพื้นดิน และสัตว์ปีกที่บินได้บนอากาศ ทำให้การฝึกคำศัพท์ภาษาจีนเกี่ยวกับสัตว์ในหมวดหมู่นี้ดูน่าสนุกมากยิ่งขึ้น มาดูคำศัพท์ภาษาจีนหมวดหมู่สัตว์ปีก มีอะไรบ้าง ไปดูกัน

คำศัพท์ภาษาจีนพินอินคำอ่านคำแปล
火烈鸟huǒ liè niǎoหั่ว เลี่ย เหนียวนกฟลามิงโก
鹌鹑ān chúnอาน ฉุนนกกระทา
秃鹫tū jiùทู จิ้วนกแร้ง
海马tuó niǎoถัว เหนี่ยวนกกระจอกเทศ
鹈鹕tí húถี หูนกกระทุง
yīngอิงนกอินทรีย์
燕子yàn ziเยี่ยน จื่อนกนางแอ่น
孔雀kǒng quèข่ง เชี่ยนกยูง
鸽子gē ziเกอ จื่อนกกระจอก
白鹭 bái lùไป๋ ลู่นกกระยาง
犀鸟xī niǎoซี เหนี่ยวนกเงือก
鹩哥liáo gēเหลียว เกอนกขุนทอง
虎皮鹦鹉hǔ pí yīng wǔหู ผี อิง อู่นกหงษ์หยก
海鸥hǎi’ōuไห่ โอวนกนางนวล
乌鸦wū yāอู ยาอีกา
啄木鸟zhuó mù niǎoจั๋ว มู่ เหนี่ยวนกหัวขวาน
翠鸟cuì niǎoชุ่ย เหนี่ยวนกกระเต็น
鸦鹃yā juānยา จวนนกกระปูด
谷仓猫头鹰gǔcāng māotóuyīngกู่ชาง เมาโถวอิงนกแสก
guànกว้านนกกระสา
คำศัพท์สัตว์ภาษาจีน หมวดหมู่แมลง

ภาษาจีน หมวดหมู่แมลง

สัตว์ประเภทแมลง คือสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังประเภทหนึ่ง โดยในทางวิทยาศาสตร์ และกีฏวิทยาสามารถจำแนกเป็นกลุ่มต่างๆ ได้มากถึง 18 กลุ่ม แต่ลักษณะทั่วไปของแมลงคือมักมีลำตัวเป็นปล้องแบ่งเป็นสอง หรือสามส่วนชัดเจน ในบางชนิดอาจแบ่งได้มากกว่าสามปล้อง โดยลำตัวของแมลงจะมีเปลือกห่อหุ้มลำตัว หรือมีสารไคตินเคลือบเอาไว้ นอกจากนี้ แมลงยังมีการขยายพันธุ์ด้วยการออกลูกเป็นไข่ และเมื่อเติบโตเต็มวัยก็อาจมีการลอกคราบเพื่อสร้างเปลือกห่อหุ้มลำตัวใหม่ หรือขยายขนาดลำตัวต่อไป แมลงถือว่าเป็นสัตว์ในประเภทที่สามารถพบเห็นได้ง่าย และเป็นที่นิยมของเด็กๆ ที่ชื่นชอบในการสะสมแมลง จึงทำให้การฝึกคำศัพท์ภาษาจีนในหมวดหมู่นี้ดูน่าสนใจและน่าสนุกไม่น้อยเลย มาดูคำศัพท์ภาษาจีนหมวดหมู่แมลง มีอะไรบ้าง ไปดูกัน

คำศัพท์ภาษาจีนพินอินคำอ่านคำแปล
红蚁hóng yǐหง อี่มดแดง
白蚁bái yǐไป๋ อี่ปลวก
黄蜂huáng fēng หวง เฟิงตัวต่อ
苍蝇cāng yíngชาง อี๋แมลงวัน
蟑螂zhāng lángจาง หลางแมลงสาบ
蜻蜓qīng tíngชิง ถิงแมลงปอ
蜘蛛zhī zhūจือ จูแมงมุม
蚊子wén ziเหวิน จื่อยุง
蜜蜂mì fēngมี่ เฟิงผึ้ง
蚂蚁mǎ yǐหมา อี่มด
竹虫zhú chóngจู ฉงหนอนไม้ไผ่
蚱蜢zhà měngจ้า เหมิ่งตั๊กแตน
蝴蝶hú diéหู เตี๋ยผีเสื้อ
七星瓢虫qī xīng piáo chóngชี ซิง เผียว ชงแมลงเต่าทอง
蝎子xiē ziเซีย จึแมงป่อง
éเอ๋อแมลงเม่า
蜈蚣wú gōngอู๋ กงตะขาบ
萤火虫yíng huǒ chóngอิ๋ง หั่ว ฉงหิ่งห้อย
甲虫jiǎ chóngเจี่ย ฉงด้วงกว่าง

สรุป

การฝึกจำคำศัพท์สัตว์ภาษาจีนในหมวดหมู่ต่างๆ รวมถึงการฝึกแต่งประโยค สามารถช่วยพัฒนาทักษะด้านภาษาของเด็กๆ ให้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้เด็กเข้าใจสิ่งรอบตัวมากขึ้นอีกด้วย โดยผู้ปกครองสามารถนำคำศัพท์เกี่ยวกับสัตว์เหล่านี้ไปลองให้เด็กๆ ได้ฝึกฝน เพื่อเปลี่ยนให้การเรียนรู้ภาษาจีน ไม่น่าเบื่อสำหรับเด็กอีกต่อไป

หากต้องการฝึกทักษะภาษาจีน หรือภาษาอังกฤษให้กับเด็ก อยากให้เด็กๆ มีพัฒนาการทางด้านภาษาที่ดีไปพร้อมกับการเรียนรู้ที่สนุกสนาน ไว้ใจให้ SpeakUp Language Center เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณ เพราะเรามีคุณครูมืออาชีพที่มีประสบการณ์ และเทคนิคการสอนภาษาให้เด็กเล็กตั้งแต่อายุ 2.5-12 ปี มั่นใจได้ว่าเด็กๆ จะได้ความรู้ทางด้านภาษาอย่างเต็มที่ และสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

learning by doing

Learning by Doing คืออะไร ส่งเสริมการเรียนรู้เด็กๆ ได้ด้วยการลงมือทำ

ในอดีต การเรียนการสอนถูกจำกัดให้มีเพียงแค่คุณครูสอนนักเรียนตามตำรา เรียนรู้ตามทฤษฎีที่มีมาก่อนหน้า แต่เมื่อมาถึงถึงยุคปัจจุบัน รูปแบบการเรียนการสอนได้เปลี่ยนแปลงไป มีอยู่หลากหลายรูปแบบมากขึ้น ไม่ได้จำกัดแค่การสอนตามตำราในห้องเรียนอย่างเดียว การเรียนรู้ได้สอนให้รู้จักลงมือปฏิบัติ เพื่อให้นักเรียนได้เข้าใจในเนื้อหามากขึ้น ไปจนถึงการเรียนการสอนนอกห้องเรียน เพื่อให้นักเรียนได้สนุกสนานไปกับการเรียน มีความสุขทุกครั้งที่ได้เรียนหนังสือ รวมถึงนักเรียนยังได้ร่วมออกแบบการเรียนที่เหมาะสมกับตนเองได้อีกด้วย

บทความนี้ SpeakUp Language Center จะพาไปทำความรู้จักกับทฤษฎี Learning by Doing ทฤษฎีที่ดีและมีประโยชน์ เป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลาย ว่าเป็นทฤษฎีตัวช่วยให้เด็กๆ ได้สนุกกับการเรียนมากขึ้นจากการสร้างบรรยากาศที่ดีในการเรียนรู้ ช่วยทำให้ผลการเรียนออกมาดีขึ้นจนเป็นที่น่าพอใจ

learning by doing คืออะไร

Learning by Doing คืออะไร

Learning by Doing แปลว่า การเรียนรู้ผ่านการกระทำ ซึ่งเป็นวิธีการเรียนรู้เชิงรุกโดยอิงจากประสบการณ์ของเด็กๆ ผ่านการกระทำ เพื่อซึมซับแนวคิดต่างๆ ทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้มากขึ้นเมื่อลงมือทำกิจกรรมจริงๆ นอกจากนี้ยังกระตุ้นให้เด็กๆ ได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาด และมีสรุปผลหลังจากวิเคราะห์การปฏิบัติ

วัตถุประสงค์หลักที่สำคัญของ Learning by Doing คือการป้องกันไม่ให้นักเรียนลืมความรู้ที่เรียนรู้มาเมื่อเวลาผ่านไป เน้นย้ำผ่านประสบการณ์ แทนที่จะซึมซับแนวคิดผ่านความทรงจำอย่างเดียว นอกจากนี้ยังเป็นแรงจูงใจให้เด็กๆ ได้ศึกษา ค้นคว้าในเรื่องที่สนใจ ก่อนนำไปปฏิบัติจริง จึงทำให้เด็กๆ กระตือรือร้นอยากมีส่วนร่วมในการเรียนมากขึ้น ทำให้เกิดความสนุกและมีความสุขในการเรียนมากกว่าที่เคยเป็น

learning by doing ที่มา

แนวคิด Learning by Doing มีที่มาอย่างไร

Learning by Doing คือทฤษฎีที่เกิดจาก จอห์น ดิวอี (John Dewey) ครูชาวอเมริกันในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งถือว่าเป็นบิดาแห่งการศึกษารูปแบบใหม่ โดยดิวอีคิดว่าการศึกษาควรจะมีความกระตือรือร้น Learning by Doing เลยยึดตามหลักปรัชญาที่มนุษย์มีการปรับตัวเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด จึงมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาให้เป็น ได้รับการเรียนรู้จากการกระทำ จากกระบวนการต่างๆ ของประสบการณ์ที่มนุษย์ต้องได้เจอ 2 ประเภท ประเภทแรกคือ ขั้นปฐมภูมิ ประสบการณ์ใหม่ที่ยังไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ไตร่ตรอง และประเภทที่สองคือ ขั้นทุติยภูมิ ประสบการณ์ที่กลายมาเป็นความรู้ ผ่านกระบวนการทางความคิดไตร่ตรองมาเรียบร้อยแล้ว โดยประสบการณ์ในขั้นปฐมภูมิมักจะเป็นรากฐานของประสบการณ์ในขั้นทุติยภูมิ
หลักการของ learning by doing

หลักการของ Learning by Doing เป็นอย่างไร

ทฤษฎี Learning by Doing คือ การเรียนรู้โดยวิธีปฏิบัติเป็นเทคนิคเชิงรุกที่เน้นการสร้างความรู้ผ่านประสบการณ์และการไตร่ตรองในสภาพแวดล้อมจริงดังที่ได้อธิบายไปแล้ว โดยคำนึงถึงข้อผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ผู้เรียนจะเกิดความรู้ขึ้นได้เมื่อมีการลงมือทำ ซึ่งการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีการทำสิ่งต่างๆ กลายเป็นวิธีการสร้างองค์ความรู้แบบ Learning by Doing

วิธีการสร้างองค์ความรู้แบบ Learning by Doing

จากหลักการของทฤษฎี Learning by Doing คือการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการเรียนรู้ โดยสามารถเกิดขึ้นได้ผ่านวิธีการดังต่อไปนี้

การสำรวจ (Explore)

การสำรวจเป็นการสำรวจหรือค้นคว้า เริ่มจากตนเองว่ามีความสนใจในเรื่องใด ระหว่างที่มีการสำรวจก็จะได้ค้นพบกับสิ่งใหม่มากมาย ทำให้เด็กๆ ได้พยายามเรียนรู้ ทำความเข้าใจในเรื่องราวนั้นๆ เพิ่มเติม ไปจนถึงการได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากรอบตัวและเรื่องราวในชีวิตประจำวัน ถือเป็นการสำรวจอย่างหนึ่งเช่นกัน

การทดลอง (Experiment)

การทดลอง เป็นการนำสิ่งต่างๆ ที่ได้จากขั้นตอนการสำรวจมาเพื่อปรับใช้ไปในรูปแบบที่ต่างออกไป เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ใหม่ๆ ซึ่งอาจจะเป็นผลลัพธ์ที่ถูกต้องหรือผิดพลาดก็ได้ ถือเป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ นำมาเป็นความรู้กักเก็บไว้ในสมองต่อไป

การเรียนรู้จากการกระทำ (Learning by Doing)

การเรียนรู้จากการกระทำ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการสำรวจ ทดลอง โดยจะต้องลงมือทำ ผ่านการปฏิบัติกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้ได้รับการเรียนรู้ผ่านการกระทำนั้นๆ จนสามารถสร้างเป็นองค์ความรู้ของตนเองขึ้นมาได้

การกระทำเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ (Doing by Learning)

การกระทำเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ คือการนำองค์ความรู้ที่ได้จากการกระทำมาต่อยอดให้เกิดการเรียนรู้อื่นๆ โดยส่วนใหญ่มักจะได้เรียนรู้ในการปรับตัวให้เข้ากับแต่ละสภาพแวดล้อม การแก้ไขปัญหา การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เป็นต้น ซึ่งช่วยส่งเสริมให้เด็กมีการเรียนรู้ที่ดีได้
ตัวอย่างกิจกรรม learning by doing

ตัวอย่างกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้จากการลงมือทำ

สำหรับ Learning by Doing นั้น แม้จะพูดถึงการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ แต่ก็ยังเป็นแค่ทฤษฎีอยู่ดี การจะให้ทฤษฎีออกมาเป็นรูปธรรมได้ ต้องทำให้เกิดการปฏิบัติไปในเชิงการทำกิจกรรม โดยมีกิจกรรมต่างๆ ที่สนับสนุนหลักการของ Learning by Doing ซึ่งประสบความสำเร็จในการนำไปใช้ในหลายบริบทมาแล้ว ดังนี้

การทำกิจกรรมกลางแจ้ง และการเคลื่อนไหว

การทำกิจกรรมกลางแจ้ง และการเคลื่อนไหว คือหนึ่งในกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Learning by Doing ที่จะช่วยให้เด็กๆ ได้รับความเพลิดเพลินเมื่อทำกิจกรรม เพราะเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียน กิจกรรมนี้ส่งเสริมให้ได้ใช้แรงเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เกิดความกระฉับกระเฉง เช่น การเล่นกีฬา การเต้น การออกกำลังกาย การผจญภัยผ่านฐานต่างๆ เป็นต้น โดยการเรียนรู้ที่จะได้จากกิจกรรมนี้เกี่ยวข้องกับการฝึกและพัฒนาทักษะ ไม่ใช่ทุกกิจกรรมที่เด็กๆ จะสามารถทำได้ดีตั้งแต่ครั้งแรก แต่เมื่อได้ทำกิจกรรมอย่างการเต้น การเล่นกีฬาบ่อยๆ จากทักษะที่พยายามฝึกฝน ในระหว่างทางอาจจะมีล้มลุกคลุกคลาน ทำได้ไม่ดีบ้าง แต่สุดท้ายเด็กๆ ก็จะเรียนรู้ แก้ไขข้อบกพร่องด้วยการลองทำใหม่อีกครั้งเพื่อให้เกิดความสำเร็จได้

การฝึกทำอาหาร หรือการทดลองทางวิทยาศาสตร์

การฝึกทำอาหาร หรือการทดลองทางวิทยาศาสตร์ คือกิจกรรมที่เริ่มต้นจากการเรียนรู้ในตำราก่อน เพื่อให้มีความรู้ที่ถูกต้อง ซึ่งการที่จะทำให้ความรู้ที่เรียนมาเห็นภาพมากขึ้นจึงต้อง Learning by Doing เพราะหากรู้แค่ทฤษฎีอย่างเดียว แต่ไม่เคยได้ฝึกทำอาหาร ฝึกทำขนม หรือทดลองทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสารเคมีมาก่อน ถึงเวลาจริงอาจมีการติดขัดหรือทำให้ผลลัพธ์ออกมาไม่ดีพอ การได้ฝึกหรือลองทำมาก่อน จะทำให้ได้เห็นปัญหาว่าผิดพลาดตรงไหน ได้แก้ไขปัญหาในจุดนั้น เมื่อทำเป็นประจำก็จะคล่องมากขึ้น

การฝึกทักษะการสื่อสาร และจัดการอารมณ์ด้วยการเล่นเกม

การฝึกทักษะการสื่อสาร และจัดการอารมณ์ด้วยการเล่นเกม คืออีกหนึ่งกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Learning by Doing ที่จะทำให้เด็กๆ เข้าใจในเรื่องการสื่อสารและการจัดการอารมณ์ได้ง่ายขึ้น โดยเป็นการใช้เกมเกี่ยวกับการสื่อสาร และเกมเกี่ยวกับการแสดงอารมณ์ เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ เริ่มจากเกมเกี่ยวกับการสื่อสารต้องเป็นเกมที่ส่งเสริมให้เด็กได้เป็นผู้ฟังมากๆ ฝึกให้เป็นผู้ฟังที่ดี รวมถึงจดจำคำพูดเหล่านั้น สามารถตีความคำพูดให้ถูกต้องได้ เด็กได้ลองพูดตามผ่านเกมการสื่อสาร เมื่อมีการสื่อสารจริงจะได้รู้ว่าควรพูดออกไปแบบไหนถึงจะเป็นการสื่อสารที่ดี

ต่อมาเป็นเกมเกี่ยวกับการแสดงอารมณ์ ที่ทำให้เด็กได้เรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม โดยส่วนใหญ่แล้วสิ่งที่จำเป็นมากๆ คือการจัดการอารมณ์ เพราะในสังคมเราต้องเจอผู้คนมากมาย หากจัดการอารมณ์ไม่ได้ก็จะเข้ากับผู้อื่นยาก ซึ่งเกมที่มีอยู่ทั่วๆ ไปมักเกี่ยวกับการแสดงอารมณ์ไม่มากก็น้อย ในทุกเกมมักสอนให้เด็กมีความอดทน มีไหวพริบ รู้จักแพ้ รู้จักชนะ หากเด็กๆ เข้าใจอารมณ์ของตนเองที่เกิดขึ้นผ่านเกมได้ รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นแค่เกม ก็จะทำให้เรียนรู้ในการจัดการอารมณ์ นำไปปรับใช้ในชีวิตจริงได้

การทำเวิร์กช็อป หรือการออกสำรวจสถานที่ใหม่ๆ

การทำเวิร์กช็อป หรือการออกสำรวจสถานที่ใหม่ๆ คือกิจกรรม Learning by Doing ที่เกิดขึ้นมาจากความสนใจ อยากรู้อยากเห็น และอยากเรียนรู้ข้อมูลหรือเนื้อหาที่มักไม่ได้มีสอนในตำรา เช่น การทำเวิร์กช็อปสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ อย่างการทำเครื่องปั้นดินเผา การถ่ายภาพ การทำของ D.I.Y ทัศนศึกษาตามสถานที่ต่างๆ เป็นต้น ซึ่งการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมประเภทนี้ จะเป็นการที่เราได้ใกล้ชิดกับผู้คนที่เข้าใจในเรื่องนั้นๆ หรือไปยังสถานที่ที่สามารถให้ความรู้ได้เพียงแค่การนำเสนอโลกของพวกเขาผ่านเรื่องราวและผลงานต่างๆ ที่ไม่อาจพบเจอบนอินเทอร์เน็ต
ประโยชน์ของการเรียนรู้ learning by doing

ประโยชน์ของการเรียนรู้จากการลงมือทำ

ผลของ Learning by Doing คือ ประโยชน์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวของเด็ก มีทั้งประโยชน์ในระยะสั้นไปจนถึงระยะยาว รวมถึงด้านอื่นๆ ด้วย เรียกได้ว่าคุ้มค่าสำหรับการเรียนรู้ด้วยทฤษฎีนี้ โดยมีประโยชน์ดังนี้

เกิดการเรียนรู้จากกิจกรรมที่ได้ลงมือทำ

เพื่อให้เด็กๆ เห็นภาพและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้ง่ายขึ้น Learning by Doing ซึ่งเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ จึงเป็นทฤษฎีที่ช่วยให้เด็กๆ ได้ทำกิจกรรมหลายอย่างด้วยตนเอง ทำให้ได้เข้าใจเรื่องราวจากกิจกรรม ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้พบเจอปัญหา รู้จักการแก้ปัญหา จนซึมซับเป็นความคิดไว้ประยุกต์ใช้ในภายหลังได้

สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้เร็วขึ้น

การเรียนรู้แค่ภาคทฤษฎีเป็นร้อยครั้งไม่สู้การปฏิบัติเพียงครั้งเดียว เพราะ Learning by Doing คือการทำให้เด็กๆ ได้ลงมือทำแบบเห็นภาพชัดเจน เมื่อไม่ต้องคิดภาพในหัวแต่มีภาพให้เห็นตรงหน้าจากการกระทำ จึงส่งผลให้มีการเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ ได้รวดเร็วกว่าการไม่ลงมือทำอะไรเลย

เสริมสร้างทักษะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี

ในการลงมือทำบางเรื่องอาจจะเป็นเรื่องที่เด็กๆ ไม่ได้ชำนาญนัก จึงอาจทำให้ทฤษฎี Learning by Doing เกิดปัญหาได้ ยิ่งลงมือทำกิจกรรมบ่อยครั้ง ก็ยิ่งเจอปัญหาได้หลายอย่างที่แตกต่างกันออกไป เมื่อเกิดปัญหาเด็กๆ จะรู้จักหาทางแก้ไขปัญหาเพื่อให้กิจกรรมนั้นๆ ผ่านพ้นไปด้วยดี จึงทำให้มีองค์ความรู้กักเก็บเอาไว้ เผื่อใช้ในสถานการณ์เฉพาะหน้า ได้มีการพลิกแพลงวิธีแก้ไขโดยผ่านการเรียนรู้ ลองผิดลองถูกมาก่อน โดยทักษะนี้จะเป็นทักษะที่ติดตัวเด็กๆ ไปจนถึงเวลาที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ใช้ได้ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน หรือเรื่องอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน

ช่วยทำให้ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น

การทำกิจกรรมหลายอย่างโดย Learning by Doing คือการช่วยให้เด็กค้นหาความชอบ เริ่มจากการที่เด็กๆ ได้ลงมือลองทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้รู้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาชอบกิจกรรมนั้นๆ หรือไม่ หากไม่ก็ถือว่าได้ลองทำแล้ว แต่หากใช่ พ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรสนับสนุนกิจกรรมดีๆ นี้ให้กับลูกหลานต่อไป เด็กๆ จะได้มีกิจกรรมที่สนใจ ได้รู้ด้วยว่าตัวเองนั้นมีความชอบอะไร สิ่งใดที่ทำแล้วบ่งบอกถึงความเป็นเขา รวมถึงมีทักษะดีๆ เพิ่มเติม นอกเหนือจากการเรียนรู้ในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว
แนวทางการนำ learning by doing มาปรับใช้กับเด็ก

แนวทางการนำปรัชญา Learning by Doing ไปใช้กับเด็ก

พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถส่งเสริมให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำได้โดยเริ่มต้นจากสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่น การเก็บของเล่นให้เป็นที่ เริ่มต้นจากการที่พ่อแม่ผู้ปกครองเก็บของเล่นลงในกล่องทุกครั้งหลังจากลูกเล่นเสร็จ เด็กก็จะมีการสำรวจและจำจดว่าการเก็บของเล่นนั้นทำเช่นไร หลังจากนั้นค่อยปล่อยให้เด็ก ได้ลองเก็บของเล่นหลังเล่นเสร็จด้วยตนเอง ให้ลูกได้รู้ว่าหากไม่เก็บของเล่นให้เป็นที่จะเป็นอย่างไร ห้องจะมีของเล่นระเกะระกะ มีคนมาเดินสะดุดล้มหรือไม่ ก็จะช่วยส่งเสริมให้ลูกเก็บของเล่นหลังเล่นเสร็จทุกครั้ง โดยทุกอย่างสามารถจัดเป็นองค์ประกอบของการเรียนรู้ด้วยตนเองได้ทั้งหมด ขึ้นอยู่กับการแนะแนวทางของพ่อแม่ผู้ปกครองเท่านั้นเอง

SpeakUp Language Center มีรูปแบบการเรียนการสอนภาษาทั้งจีน และอังกฤษแบบ Learning by Doing คือคอร์สสำหรับเด็กๆ ที่มีอายุตั้งแต่ 2.5 – 12 ปี ให้เด็กๆ ได้ลงมือทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง ผ่านสิ่งที่ชอบและสนใจ จึงทำให้มีแรงจูงใจและมีความสุขในการเรียนมากกว่า ช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ได้ไว และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยให้เกิดประสบการณ์ใหม่ๆ ความรู้ใหม่ๆ ส่งผลดีต่อการเรียนรู้ในระยะยาวอีกด้วย

สรุป

Learning by Doing คือการเรียนรู้ผ่านการกระทำให้เด็กๆ ได้ซึมซับแนวคิดจากประสบการณ์ใหม่ๆ กระตุ้นให้เด็กๆ ได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาด และมีสรุปผลหลังจากวิเคราะห์การปฏิบัติ เป็นแรงจูงใจให้เด็กๆ ได้ศึกษา ค้นคว้าในเรื่องที่สนใจ ก่อนนำไปปฏิบัติจริง จึงทำให้เด็กๆ กระตือรือร้นอยากมีส่วนร่วมในการเรียนมากขึ้น เกิดความสนุกและมีความสุขในการเรียนมากกว่าที่เคยเป็น เป็นหลักการที่จำเป็นอย่างมากสำหรับเด็กในยุคปัจจุบัน เพราะการค้นหาข้อมูลที่รวดเร็วแค่ปลายนิ้ว ทำให้เด็กๆ มักจะรู้ตามตำราหรือทฤษฎีมากกว่าการปฏิบัติจริง จึงทำให้องค์ความรู้นั้นไม่สามารถนำมาใช้จริงได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม เพราะไม่เคยมีการฝึกหรือลองทำมาก่อน หากแต่เมื่อมีการลงมือทำจริง อย่างน้อยก็ยังได้เห็นภาพ ได้รับรู้ว่าความรู้ที่มีนั้นเมื่อนำมาใช้จริงจะเป็นอย่างไร รวมไปถึงความรู้บางอย่างที่ไม่สามารถหาได้ ต้องลงไปสถานที่จริง ทำจริงเท่านั้น ตรงนี้ก็จะทำให้ได้การเรียนรู้และประสบการณ์ใหม่ที่ส่งผลดีกับการเรียนรู้ของเด็กๆ ทั้งในวันนี้และในอนาคต
เล่นเกมภาษาจีน

รวมเกมฝึกภาษาจีนสนุกๆ เสริมสร้างทักษะการสื่อสารสำหรับเด็กเล็ก

สำหรับการฝึกภาษาจีนสามารถทำได้หลากหลายวิธี ทั้งด้านการอ่าน การพูด หรือการฟัง ในปัจจุบันที่มีการพัฒนาวิถีแห่งการเรียนรู้อยู่เสมอ การฝึกเล่นเกมภาษาจีนก็เป็นวิธีที่น่าสนใจ เพราะนอกจากจะสามารถเรียนรู้ภาษาได้แล้ว ยังเพิ่มความน่าสนใจในการเรียนรู้ ทำให้การเรียนภาษาจีนไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

การฝึกภาษาจีนจะไม่ยากสำหรับเด็กอีกต่อไป ถ้าฝึกฝนในรูปแบบการเล่นเกม ในบทความนี้มีเกมฝึกภาษาจีนที่น่าสนใจมากมายที่ Speak Up รวบรวมมาให้ ซึ่งเหมาะกับการเรียนรู้สำหรับเด็กๆ และจำเป็นสำหรับผู้ปกครองที่ต้องการให้ลูกๆ มีประสบการณ์ที่ดีในการเรียนรู้ภาษาจีน

ทำไมต้องเรียนภาษาจีนแต่เด็ก

ทำไมต้องเรียนภาษาจีนตั้งแต่เด็ก

ก่อนจะไปรู้จักกับการเล่นเกมต่างๆ ในการฝึกภาษาจีน สำหรับผู้ปกครองที่สนใจอยากให้ลูกฝึกภาษาจีนตั้งแต่วันนี้ มาดูข้อดีของการสอนให้เด็กเรียนรู้ภาษาจีนตั้งแต่เด็ก ว่าจะสามารถช่วยฝึกทักษะภาษา และช่วยเสริมสร้างพัฒนาการอย่างไรบ้าง

ทำให้เด็กมีความจำดีขึ้น

การเรียนรู้ภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาใด การเรียนรู้ตั้งแต่เด็กๆ จะช่วยให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เนื่องจากในวัยเด็ก เป็นวัยแห่งการอยากรู้อยากลองสิ่งต่างๆ การเรียนภาษาจีนตั้งแต่ยังเด็ก จึงเป็นวิธีที่จะเสริมสร้างการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ประสบการณ์ถือเป็นเรื่องสำคัญ

มีทักษะ ฟัง พูด อ่าน เขียน ได้ดีกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน

การเรียนภาษาจีนตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะการเรียนด้วยเกมภาษาจีนแบบสนุกๆ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเรียนแบบจำแล้วนำไปใช้ แต่เป็นการเรียนที่ลงลึกไปยังโครงสร้างของภาษา ที่ทำให้เด็กๆ สามารถฟัง พูด อ่าน หรือเขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มีความคิดสร้างสรรค์

เนื่องจากวัยเด็ก เป็นวัยแห่งการเรียนรู้ การเรียนภาษาจีนตั้งแต่ยังเด็กจึงเป็นกระบวนการที่ช่วยพัฒนาสมองให้เด็กสามารถคิดได้ทั้งในเชิงตรรกะ หรือการใช้เหตุผลในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ได้ และที่สำคัญยังช่วยพัฒนาความคิดในเชิงสร้างสรรค์ ที่เป็นองค์ความคิดสำคัญ ที่จะช่วยให้การเรียนรู้ไม่เป็นเพียงการเรียนแบบผิวเผิน แต่เป็นการเรียนรู้แบบลึกซึ้งในศาสตร์นั้นๆ

รู้จักแก้ไขปัญหา

การเรียนภาษาจีนมักเน้นในการฟังเสียง ทำให้ผู้เรียนสามารถสร้างความแตกต่างระหว่างเสียงได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะการเรียนแบบเล่นเกมภาษาจีน ยิ่งช่วยให้ทักษะในด้านการแก้ไขปัญหามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

มีทักษะในการตัดสินใจที่ดี

เนื่องจากการฝึกภาษาที่ไม่ได้เป็นภาษาโดยกำเนิดจำเป็นต้องใช้กระบวนการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลมากกว่าปกติ ทำให้เด็กสามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบมากยิ่งขึ้น

ทำอะไรหลายอย่างพร้อมกันได้

เด็กที่เรียนรู้ภาษาจีนตั้งแต่ยังเด็ก จะมีความสามารถทำหลายอย่างพร้อมๆ กันได้ เนื่องจากมีความเคยชินต่อการเรียนหลายภาษาพร้อมกัน ทำให้การทำงานของสมองซับซ้อนขึ้น มีสมาธิมากขึ้น จึงทำให้สามารถทำอะไรหลายอย่างพร้อมกันได้อย่างไม่ติดขัด

เกมฝึกทักษะภาษาจีนสำหรับเด็กๆ

การเล่นเกมภาษาจีนสนุกๆ จะช่วยให้พัฒนาการด้านภาษาของเด็กๆ มีพัฒนาการที่ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกๆ ดีขึ้นอีกด้วย มาดูกันว่ามีเกมไหนที่น่าสนใจกันบ้าง
เล่นเกมภาษาจีน เกมโดมิโน่คำศัพท์

เกมโดมิโนคำศัพท์

เกมโดมิโนถือกำเนิดที่ประเทศจีนในช่วงศตวรรษที่ 12 และได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน โดยสามารถนำมาประยุกต์ได้หลากหลายแบบ นำมาเล่นเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ หรือเพื่อใช้เป็นการสื่อการสอนที่น่าสนใจก็ได้เช่นกัน โดยเฉพาะการนำมาใช้ฝึกเล่นเกมโดมิโนในรูปแบบภาษาจีน

โดยมีวิธีการทำง่ายๆ ดังนี้
  1. ลิสต์คำศัพท์ภาษาจีนแยกไว้เป็นหมวดหมู่
  2. นำคำศัพท์มาเขียนลงกระดาษแข็ง หรือไม้ไอติมที่เตรียมไว้ 
  3. ตกแต่งให้สวยงาม โดยขั้นตอนนี้สามารถขอความร่วมมือจากเด็กๆ ให้มาช่วยกันตกแต่งได้ เพราะสามารถช่วยเสริมสร้างทักษะความสร้างสรรค์ และสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กและพ่อแม่ด้วย

เพียงเท่านี้ก็จะได้เกมโดมิโนฝึกภาษาจีนสนุกๆ ให้ได้เล่นกันแล้ว โดยวิธีการเล่นก็ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน คือ ให้เด็กๆ ฝึกการจดจำคำศัพท์ด้วยการแยกหมวดหมู่ เพราะการวางโดมิโนที่ต่อกันในเกมนี้ ควรวางให้ต่อกันด้วยการอิงจากคำศัพท์ที่มีหมวดหมู่เดียวกันนั่นเอง

เล่นเกมภาษาจีน เกมชอปปิงทายคำศัพท์

เกมชอปปิงทายศัพท์

การฝึกภาษาจีนให้ได้ผล จำเป็นต้องนำภาษาจีนนั้นมาใช้ในชีวิตจริง เพราะเป็นการนำมาปรับใช้จริง ช่วยให้เด็กๆ ไม่เบื่อ โดยพ่อแม่สามารถชวนเด็กๆ ออกไปซื้อของ และลองใช้โอกาสนี้ฝึกให้เด็กๆ สะกดชื่อสินค้าต่างๆ เป็นภาษาจีน หรือให้เด็กๆ ลองอ่านราคาของสินค้าก็ได้เช่นกัน เสมือนเป็นการเล่นเกมภาษาจีนประกอบกับการนำไปใช้ในชีวิตจริง

เพียงเท่านี้ก็จะได้ฝึกเกมภาษาจีนสนุกๆ แล้ว โดยเกมชอปปิงแล้วทายคำศัพท์เป็นเกมที่พ่อแม่ หรือผู้ปกครองสามารถนำไปใช้ฝึกลูกๆ ได้ เพราะไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ใดๆ หรือต้องประดิษฐ์อะไรให้วุ่นวาย นอกจากนี้ ยังสามารถปรับใช้กับสถานการณ์อื่นๆ ได้อีก ไม่ใช่แค่ขณะไปชอปปิงเท่านั้น

เกมภาษาจีน เกมจับคู่การ์ดคำศัพท์

เกมจับคู่ของกับการ์ดคำศัพท์

อีกเกมที่น่าสนใจคือเกมจับคู่คำศัพท์ ที่จะช่วยให้การจำศัพท์ภาษาจีนน่าสนุกมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นการช่วยให้ทบทวนคำศัพท์จากสิ่งของรอบตัว และช่วยฝึกทักษะการสังเกตอีกด้วย เพราะเป็นเกมที่จำเป็นต้องหาคำศัพท์ที่ซ่อนอยู่ในบริเวณต่างๆ มาจับคู่กับสิ่งของภายในบ้าน สร้างความทรงจำเกี่ยวกับคำศัพท์ได้ด้วยสถานการณ์จริง ถือว่าเป็นเกมฝึกภาษาจีน ที่น่าสนใจเลยทีเดียว

โดยมีวิธีการทำง่ายๆ ดังนี้
  1. ลิสต์คำศัพท์ภาษาจีนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งของภายในบ้าน
  2. นำคำศัพท์มาเขียนลงกระดาษที่เตรียมไว้
  3. ตกแต่งตามความต้องการ โดยขั้นตอนนี้สามารถขอความร่วมมือจากเด็กๆ ให้มาช่วยกันตกแต่งได้ เพราะสามารถช่วยเสริมสร้างทักษะความสร้างสรรค์ และสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ปกครองด้วย

เพียงเท่านี้ก็จะได้เกมจับคู่คำศัพท์ให้ได้ฝึกทักษะภาษาจีนกันแล้ว โดยวิธีการเล่นก็ง่ายๆ คือการให้เด็กๆ หาคำศัพท์ที่นำไปซ่อนไว้ตามจุดต่างๆ ภายในบ้าน เมื่อหาคำศัพท์ได้แล้วก็ให้เด็กๆ นำคำศัพท์นั้นๆ มาจับคู่กับสิ่งของภายในบ้าน

เล่นเกมภาษาจีน เกมปั้นดินเป็นคำศัพท์

เกมปั้นดินเป็นคำศัพท์

การปั้นดินน้ำมันถือเป็นกิจกรรมที่ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมือได้เป็นอย่างดี ทำให้ทักษะการเขียนเป็นไปอย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยพัฒนาด้านอารมณ์ด้วย เนื่องจากการปั้นดินน้ำมันสามารถช่วยให้เด็กๆ ปลดปล่อยอารมณ์ ลดความเครียด สร้างความสุขให้กับเด็กๆ

โดยพ่อแม่หรือผู้ปกครองสามารถนำการปั้นดินน้ำมันมาประยุกต์เป็นการเล่นเกมภาษาจีนก็ได้ เช่น การนำดินน้ำมันมาปั้นเป็นรูปร่างต่างๆ ตามคำศัพท์ภาษาจีน โดยพ่อแม่ หรือผู้ปกครองสามารถประดิษฐ์ใบคำศัพท์ภาษาจีน และให้เด็กๆ จับฉลาก เมื่อจับมาได้คำศัพท์ไหนก็ให้เด็กๆ ปั้นเป็นรูปนั้นๆ เช่น เมื่อจับฉลากได้เป็นรูปสี่เหลี่ยม ก็สามารถให้เด็กๆ ปั้นดินน้ำมันเป็นรูปสี่เหลี่ยมตามที่จับฉลากได้นั่นเอง การเล่นเกมฝึกภาษาจีนในรูปแบบนี้จะสามารถช่วยฝึกให้เด็กๆ จดจำคำศัพท์ได้ง่ายขึ้น และสนุกขึ้นด้วย

เล่นเกมภาษาจีน เกมเขียนหลังทายคำศัพท์

เกมเขียนหลังทายคำศัพท์

การเล่นเกมเขียนหลังแล้วให้ทายคำ เป็นเกมที่ได้รับความนิยมในทุกเพศทุกวัย สามารถนำมาประยุกต์การเล่นเป็นเกมฝึกภาษาจีนในชั้นเรียน หรือที่เล่นบ้านก็ได้เช่นกัน

วิธีการเล่นเกมก็ไม่ได้ยุ่งยากและซับซ้อนมากนัก เพราะไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ใดๆ เลย เป็นเพียงการใช้นิ้วมือวาดไปที่แผ่นหลังของเด็กๆ โดยสามารถวาดเป็นรูปต่างๆ แบบพื้นฐานง่ายๆ เช่น รูปทรง ตัวเลข หรืออาจจะวาดเป็นตัวอักษรภาษาจีนต่างๆ ก็ได้เช่นกัน จากนั้นให้เด็กๆ ใบ้คำนั้นเป็นภาษาจีนให้ถูกต้อง นอกจากเกมนี้จะช่วยฝึกภาษาจีนแล้ว ยังช่วยให้ผู้ปกครองสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับลูกๆ และเพิ่มทักษะการสังเกต การจิตนาการให้กับเด็กๆ ด้วยเช่นกัน

เล่นเกมภาษาจีน เกมจับคู่คำศัพท์สี

เกมจับคู่คำศัพท์สี

การฝึกภาษาจีนด้วยการเล่นเกมจับคู่สี นอกจากจะเป็นการฝึกภาษาจีนแล้ว ยังสามารถเพิ่มทักษะการสังเกต การเปรียบเทียบ และการวิเคราะห์ได้ด้วย

โดยมีวิธีการทำง่ายๆ ดังนี้
  1. นำกระดาษสีต่างๆ มาแปะติดเข้ากับกระดาษแข็ง โดยขั้นตอนนี้สามารถขอความร่วมมือจากเด็กๆ ให้มาช่วยกันติดได้ เพราะจะช่วยเสริมทักษะความสร้างสรรค์ และสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ปกครองได้ด้วย
  2. นำคำศัพท์มาเขียนลงกระดาษที่เตรียมไว้ด้วยคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับสีนั้นๆ
  3. แยกคำศัพท์ใส่โหลหรือภาชนะที่เตรียมไว้ โดยแยกเป็น 2 ประเภท คือการ์ดสีกับการ์ดคำศัพท์

เพียงเท่านี้ก็จะได้เกมฝึกภาษาจีนสนุกๆ กันแล้ว โดยวิธีการเล่นก็ไม่ซับซ้อนมากนัก โดยผู้ปกครองจะเป็นคนจับฉลากสี เมื่อจับได้สีไหน ก็ให้เด็กๆ ตอบเป็นเป็นคำศัพท์ที่เป็นคำแปลภาษาจีนของสีนั้นๆ หรือสามารถสลับการเล่นกันได้ โดยจับฉลากที่เป็นคำศัพท์ เมื่อได้คำศัพท์มาแล้วก็ให้เด็กๆ เลือกจาการ์ดสีว่าคำศัพท์นั้นๆ ตรงกับการ์ดสีไหน

สรุป

การเรียนภาษาจีนในรูปแบบการเล่นเกมภาษาจีน ช่วยเสริมสร้างทักษะและพัฒนาการด้านภาษา การสังเกต การวิเคราะห์ และความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้ ยังเป็นการฝึกภาษาที่สร้างความสนุกสนาน มีรูปแบบเกมที่ไม่ยากจนเกินไป ทำให้เด็กๆ สามารถมีความสุขไปกับการฝึกได้ ช่วยพัฒนาการด้านงานฝีมือในการฝึกประดิษฐ์เกมที่น่าสนใจ อีกทั้งยังช่วยให้พ่อแม่ หรือผู้ปกครองสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับลูกได้มากยิ่งขึ้น

หากต้องการให้ลูกๆ มีทักษะภาษาจีนที่ดีมากขึ้น ที่ Speak Up ก็มีการสอนภาษาจีนโดยครูที่เชี่ยวชาญทางภาษา มีประสบการณ์ในการสอน สอนด้วยการปฏิบัติ ที่มีการเรียนรู้ผ่านการเล่นเกมด้วยเช่นกัน หลักสูตรแต่ละหลักสูตรเหมาะสมกับเด็กแต่ละช่วงวัย

เทคนิคการเล่าเรื่อง Storytelling คืออะไร ฝึกยังไงให้เล่าอย่างสร้างสรรค์

เทคนิคการเล่าเรื่อง Storytelling คืออะไร ฝึกยังไงให้เล่าอย่างสร้างสรรค์

การเล่าเรื่อง (Storytelling) เป็นหนึ่งในวิธีการส่งต่อ หรือถ่ายทอดองค์ความรู้ ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศิลปะ และจินตนาการต่างๆ ที่สร้างกระบวนการพัฒนาให้แก่มวลมนุษยชาติมาตลอดระยะเวลาหลายศตวรรษ รวมถึงสื่อบันเทิงประเภทนวนิยาย นิทาน หนังสือ ภาพยนตร์ และบทเพลงที่ล้วนแต่ใช้เทคนิคในการเล่าเรื่อง หรือ storytelling เป็นพื้นฐานทั้งสิ้น


บทความนี้ Speak Up Language Center จึงอยากพาไปทำความรู้จักกับ Storytelling ประเภท เทคนิคการเล่าเรื่องราว และตัวอย่าง Storytelling ที่น้องๆ นักเรียนหลายคนต้องได้ใช้เพื่อการนำเสนอ หรือเพื่อส่งต่อเรื่องราวต่างๆ อย่างสร้างสรรค์ โดยผู้ปกครองสามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้ให้เด็กๆ ได้ฝึกฝนอย่างเป็นประจำ เพื่อการเป็นนักเล่าเรื่องที่ดีในอนาคตได้

executive function คือ

ทำความรู้จัก Execution Function (EF) ทักษะพัฒนาสมอง

การเล่าเรื่อง (Storytelling) เป็นหนึ่งในวิธีการส่งต่อ หรือถ่ายทอดองค์ความรู้ ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศิลปะ และจินตนาการต่างๆ ที่สร้างกระบวนการพัฒนาให้แก่มวลมนุษยชาติมาตลอดระยะเวลาหลายศตวรรษ รวมถึงสื่อบันเทิงประเภทนวนิยาย นิทาน หนังสือ ภาพยนตร์ และบทเพลงที่ล้วนแต่ใช้เทคนิคในการเล่าเรื่อง หรือ storytelling เป็นพื้นฐานทั้งสิ้น


บทความนี้ Speak Up Language Center จึงอยากพาไปทำความรู้จักกับ Storytelling ประเภท เทคนิคการเล่าเรื่องราว และตัวอย่าง Storytelling ที่น้องๆ นักเรียนหลายคนต้องได้ใช้เพื่อการนำเสนอ หรือเพื่อส่งต่อเรื่องราวต่างๆ อย่างสร้างสรรค์ โดยผู้ปกครองสามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้ให้เด็กๆ ได้ฝึกฝนอย่างเป็นประจำ เพื่อการเป็นนักเล่าเรื่องที่ดีในอนาคตได้

ทำความรู้จัก Storytelling คืออะไร

ทำความรู้จัก Storytelling คืออะไร

Storytelling คือ การเล่าเรื่องราวที่มีคุณค่า มีความหมาย หรือมีนัยยะสำคัญ เพื่อถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ หรือสิ่งต่างๆ ที่ต้องการสื่อสารผ่านเรื่องเล่าด้วยวิธีการพูด และการเขียนเป็นหลัก โดยเน้นให้ผู้ฟัง หรือผู้รับสารได้มีส่วนร่วมในเรื่องราวที่นำเสนอ ได้รับประสบการณ์ร่วม มีอารมณ์ร่วม หรือความรู้สึกที่เชื่อมโยงกัน รวมถึงเข้าใจในเนื้อหาของสิ่งที่ผู้สื่อสาร หรือนักเล่าเรื่องราวต้องการสื่อสารออกมา

นอกจากนี้ การเล่าเรื่อง Storytelling ยังมีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้คนจดจำ ทำให้เกิดความบันเทิง หรือสนุกสนาน สร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต หรือใช้เพื่อดึงดูดความสนใจในมิติต่างๆ ตลอดจนใช้เพื่อการเรียนการสอนให้แก่คนในสังคม โดยเฉพาะเรื่องวิถีชีวิต ค่านิยม ประเพณี วัฒนธรรม และศาสนา

หลักการเล่าเรื่อง Storytelling

หลักการเล่าเรื่อง Storytelling

หลักการเล่าเรื่อง Storytelling เป็นสิ่งที่ต้องใช้ทั้งทักษะการผูกเรื่องราว การเล่าเรื่องให้น่าติดตาม และมีความน่าสนใจ เพื่อให้ผู้ชม หรือผู้ฟังเกิดความอยากรู้อยากเห็น นอกจากนี้ การเล่าเรื่องที่ดียังต้องมีความขัดแย้ง หรือมีจุดพลิกผันของเรื่องราวที่ผสมผสานเข้ากันอย่างลงตัว เพื่อให้เกิดประสบการณ์ร่วมระหว่างผู้สื่อสาร และผู้รับสารไปพร้อมๆ กันตลอดเส้นทางของเรื่องเล่าจนกระทั่งถึงตอนจบ


ตัวอย่าง Storytelling เช่น นิทานเรื่องลูกเป็ดขี้เหร่ ที่เป็นการเล่าเรื่องราวเส้นทางชีวิตของเจ้าลูกเป็ดขี้เหร่ ซึ่งมีความขัดแย้งของเนื้อเรื่อง ผสมผสานกับจังหวะการเล่าที่น่าติดตาม เพื่อเอาใจช่วยลูกเป็ดขี้เหร่ ตั้งแต่การที่ลูกเป็ดขี้เหร่เกิดมาไม่เหมือนกับเป็ดตัวอื่นๆ มีลักษณะที่แตกต่าง โดนรังแก หรือต้องหนีเอาชีวิตรอดจนเติบโต กระทั่งสุดท้ายได้ไปเจอกับฝูงหงส์แสนสวย ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองคือหงส์ที่สวยงาม และได้อยู่ในที่ที่เหมาะกับตัวเองอย่างแท้จริง พร้อมให้แง่คิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิต การอดทน เรียนรู้ พัฒนาตนเอง และต่อสู้กับปัญหาอุปสรรคต่างๆ แม้เลือกเกิดไม่ได้ แต่ก็เลือกที่จะเป็นในสิ่งที่ดีได้

Storytelling มีลักษณะอย่างไร

Storytelling มีลักษณะอย่างไร

Storytelling ที่ดีต้องเป็นเรื่องราวที่มีคุณค่า และความหมาย สามารถดึงความสนใจ หรือเชื่อมโยงให้ผู้ฟัง

 หรือผู้รับสารรู้สึกตามได้ โดยลักษณะของการเล่าเรื่อง Storytelling มีดังนี้

  • เป็นเรื่องราวที่มีความสำคัญ และต้องมีการทำความเข้าใจ รวมถึงมีการนำไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม
  • เป็นเสมือนเครื่องมือที่ใช้ในการเรียนรู้เรื่องราว และการเล่าเรื่องให้เชื่อมโยงกับผู้คน ผู้ฟัง เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง เช่น การเรียน การสอน หรือการพัฒนาชีวิต 
  • เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก ความคิด หรือค่านิยมของผู้รับสาร เช่น ความเข้าอกเข้าใจ ความสามัคคี ความสร้างสรรค์ ความอดทน หรือความรักความเมตตา
  • เป็นเรื่องราวที่มีการเรียบเรียงข้อมูล ชุดคำถาม หรือจุดประสงค์ในการเล่าเรื่องอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การเล่าเรื่องราวต่างๆ มีประสิทธิภาพมากที่สุด
Storytelling มีกี่ประเภท

Storytelling มีกี่ประเภท

การเล่าเรื่องแบบ Storytelling แบ่งได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้

การเล่าเรื่องราวสิ่งที่เป็นนามธรรมให้จับต้องได้

Storytelling ประเภทแรก คือ การเล่าเรื่องราวสิ่งที่เป็นนามธรรมให้จับต้องได้ หรือการเปลี่ยนเรื่องราวที่ยาก และซับซ้อนให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เพราะบ่อยครั้งที่ข้อมูลบางอย่าง ไอเดีย หรือแนวคิดต่างๆ มากมาย อาจทำให้คนเราเกิดความสับสน หรือเข้าใจผิด การเล่าเรื่องแบบ Storytelling จึงเข้ามามีบทบาทในการทำเรื่องยากให้กลายเป็นเรื่องง่าย ช่วยให้ผู้คนเข้าใจแนวคิด หรือทฤษฎีต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม จับต้องได้ หรือเป็นการนำเรื่องราวที่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้มาผสมผสานกัน จนเกิดเป็นไอเดียที่ชัดเจนมากขึ้น ทำให้ผู้รับสารรู้สึกตามได้ว่าสิ่งนามธรรมที่ถ่ายทอดออกมา บางครั้งก็อาจนำไปใช้ในชีวิตจริงได้เช่นกัน

การเล่าเรื่องราวเพื่อเชื่อมโยงผู้คนให้เข้าหากัน

Storytelling ประเภทที่สอง คือ การเล่าเรื่องราวเพื่อเชื่อมโยงผู้คนให้เข้าหากัน เพราะการเล่าเรื่องราวเป็นภาพใหญ่ หรือการสื่อสารแบบเล่าเรื่อง สามารถใช้แทนการเขียน หรือตัวหนังสือได้ดีกว่า ทำให้ผู้รับสาร หรือผู้ฟังได้รับข้อมูลที่ให้ความรู้สึกต่างออกไปจากการอ่าน เนื่องจากมนุษย์เราทุกคนมีอารมณ์ ความรู้สึกที่สามารถแบ่งปัน หรือส่งต่อผ่านเรื่องราวต่างๆ ได้ ทำให้เรื่องราวที่เกี่ยวกับความรัก ครอบครัว หรือการสูญเสีย สามารถเชื่อมโยงความรู้สึกของมนุษย์ได้อย่างน่าอัศจรรย์

เทคนิคการเล่าเรื่อง Storytelling ให้สร้างสรรค์

เทคนิคการเล่าเรื่อง Storytelling ให้สร้างสรรค์

การเล่าเรื่อง Storytelling ต้องมีความเข้าใจ และผสมผสานเทคนิคต่างๆ เข้าด้วยกัน แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะ Storytelling เป็นทักษะที่ฝึกฝนได้ โดยผู้ปกครองสามารถชวนน้องๆ หนูๆ มาฝึกเทคนิคการเป็นนักเล่า เพื่อให้สามารถเล่าเรื่องแบบ Storytelling ได้อย่างสร้างสรรค์ และมีความน่าสนใจมากขึ้น ดังนี้

การดึงความสนใจจากผู้ชม หรือผู้ฟัง

การเล่าเรื่อง Storytelling ต้องมีการเรียบเรียงข้อมูล หรือรายละเอียดของเรื่องราวอย่างเป็นระบบ และต้องเป็นเรื่องราวที่มีคุณค่า มีความหมาย และมีจุดประสงค์ที่ชัดเจน เช่น ต้องการเล่าเรื่องเพื่อความบันเทิง เพื่อให้ได้ข้อคิดบางอย่าง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ หรือเพื่อสร้างอารมณ์ความรู้สึกร่วม โดยมีเทคนิค คือ การดึงความสนใจผู้ชม หรือผู้ฟังด้วยความขัดแย้ง (conflict) ของเรื่อง หรือเหตุการณ์ระหว่างทางของเรื่อง ตลอดจนการเปรียบเปรยเพื่อให้คนคิด หรือรู้สึกตามได้ สิ่งเหล่านี้จะช่วยดึงความสนใจของผู้รับสารให้ติดตามเรื่องราวตั้งแต่ต้นไปจนจบได้ดีมากยิ่งขึ้น

หาจุดร่วมระหว่างเรื่องที่อยากเล่า กับสิ่งที่คนอยากฟัง

เทคนิคการเล่าเรื่อง Storytelling ที่สำคัญ คือ การหาจุดร่วมระหว่างเรื่องที่อยากเล่า กับสิ่งที่คนอย่างฟัง คือ เทคนิคต่อเนื่องจากการดึงดูดความสนใจ เรื่องราวที่คนส่วนใหญ่อยากฟัง มักเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวผู้ฟัง หรืออย่างน้อยก็มีความเชื่อมโยงทางความคิด ความชอบ ความสนใจ หรือความรู้สึกบางอย่างของผู้ฟัง ดังนั้น ในฐานะของการเป็นนักเล่าเรื่อง ต้องทำความเข้าใจคนฟังก่อนว่าเขาเป็นใคร เขาชอบฟังเรื่องราวแบบไหน อาจเริ่มจากการมองภาพรวมก่อนว่าเรื่องที่ต้องการเล่ามีความเชื่อมโยงอย่างไรกับผู้ฟัง สามารถแก้ไขปัญหา สร้างประโยชน์ หรือสร้างความหมายให้ผู้ฟังอย่างไรได้บ้าง

ตัวอย่าง Storytelling

การเล่าเรื่องปัญหาโลกร้อน ถ้าเล่าปัญหาทั่วไป ใครๆ ก็ทราบดีอยู่แล้ว และไม่ได้มีความน่าสนใจมากนัก เพราะอาจเป็นเรื่องไกลตัว แต่หากเล่าเรื่องโดยดึงเอาปัญหาให้เข้ามาให้ใกล้ตัวคนฟัง ก็อาจทำให้เรื่องราวมีความน่าสนใจ และสร้างอารมณ์ร่วมระหว่างผู้เล่า กับผู้ฟังได้มากขึ้น เช่น 

“โลกร้อนเกิดจากอาหารน้องหมา น้องแมว เพราะอาหารสัตว์เลี้ยงมีกระบวนการที่ทำให้สูญเสียทรัพยากรเยอะ และเกิดมลพิษจากโรงงานจำนวนมาก อีกทั้งอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเดิมๆ ยังก่อให้เกิดอาการแพ้ในน้องหมา น้องแมวได้บ่อยครั้ง จะดีกว่าไหมถ้าเปลี่ยนมาใช้อาหารสัตว์เลี้ยงที่มาจากแมลง หรือโปรตีนทางเลือก เพราะใช้ทรัพยากรน้อยกว่า มีเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับโลกมากกว่า และยังช่วยให้น้องหมา น้องแมวมีสุขภาพดี”

จากตัวอย่าง เรื่องที่อยากเล่า คือ การยกปัญหาโลกร้อนที่เกิดจากอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเดิมๆ โดยแสดงให้เห็นความสำคัญของปัญหา และสิ่งที่กระทบโดยตรงกับน้องหมา น้องแมวของผู้คน เพราะคนกลุ่มนี้มักประสบปัญหาสัตว์เลี้ยงแพ้อาหาร หรือสุขภาพไม่ดีจากอาหารบ่อยครั้ง ทำให้เกิดความรู้สึกร่วม เพราะปัญหาโลกร้อนส่งผลกระทบกับสัตว์เลี้ยงของคนโดยตรง เป็นการดึงเอาปัญหาเข้ามาใกล้ตัวผู้ฟังมากขึ้น ทำให้คนเล่าได้เล่าในสิ่งที่อยากเล่า และคนฟังก็ได้ฟังในสิ่งที่อยากฟัง

เข้าใจคาแรกเตอร์ และความเป็นตัวเอง

การเข้าใจคาแรกเตอร์ หรือความเป็นตัวเอง คือ การเข้าใจว่าตัวของผู้เล่าเองเป็นคนแบบไหน มีลักษณะท่าทางการพูด การแสดงออกทางสีหน้า แววตา หรือภาษากายอย่างไร มีอารมณ์ประมาณไหน รวมถึงมุมมองของคนภายนอกที่มองเราว่าเป็นอย่างไร เพราะสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้เล่าสามารถนำมาปรับใช้กับการเล่าเรื่องของตัวเองได้ เช่น หากเป็นคนที่มีอารมณ์ขัน ก็อาจเหมาะกับการเล่าเรื่องที่มีความบันเทิง ให้แง่คิด และสนุกสนาน หรือถ้าเป็นคนเคร่งขรึม อาจลองเล่าเรื่องที่มีความจริงจัง เล่นกับอารมณ์ หรือความรู้สึกของผู้ฟัง เป็นต้น

รู้ทันกระแสสังคม และนำเทคโนโลยีมาปรับใช้

ปัจจุบันข้อมูล องค์ความรู้ต่างๆ สามารถเข้าถึงได้ง่าย เพราะเรามีอินเทอร์เน็ต และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่ง่ายต่อการเข้าถึงกระแสความนิยมในเรื่องต่างๆ ที่มีมากมายในแพลตฟอร์ม และแอปพลิเคชันออนไลน์ การติดตามข่าวสาร และการนำเอาข้อมูลข่าวงสารเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ในการเล่าเรื่องราว ก็จะช่วยให้การเล่าเรื่อง Storytelling มีความสดใหม่ เท่าทันเหตุการณ์ และทำให้ผู้ฟังรู้สึกมีอารมณ์ร่วมมากขึ้น


โดยมีเทคนิค คือ การเลือกประเภทของเรื่องราวที่มีคุณภาพ เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม และการนำเสนอที่มีความน่าสนใจ เช่น การเล่าเรื่องนิทรรศการภาพ แสง สี ของแวนโก๊ะที่จัดขึ้นในประเทศไทย เป็นช่วงที่คนฮิตไปกัน อาจไปทำคอนเทนต์เล่าเรื่อง ความสำคัญ การเดินทางไปเยี่ยมชม หรือสิ่งที่ได้หลังจากการไปออกมาเป็นวิดีโอ ตัดต่อการพากษ์เสียงเล่าเรื่องให้น่าสนใจ เพียงเท่านี้ก็เป็นการฝึกการเล่าเรื่อง Storytelling แบบยุค 4.0 ได้อย่างไม่ตกเทรนด์

เปิดรับความสร้างสรรค์ให้เต็มที่

หลักการเล่าเรื่อง Storytelling ที่ต้องไม่ลืมเด็ดขาด คือ ความคิดสร้างสรรค์ การเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ไม่ปิดกั้นความคิด และจินตนาการ โดยความสร้างสรรค์อาจเป็นเรื่องราวความเชื่อ ความชอบส่วนตัว กิจกรรมในวัยเด็กในความทรงจำ สิ่งของสะสม เรื่องราวแปลกๆ หรือการทำอะไรที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้ทำ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้การเล่าเรื่อง Storytelling มีเอกลักษณ์ มีความน่าสนใจ และแตกต่างจากคนอื่นๆ มากยิ่งขึ้น

ฝึกการเล่าเรื่องจากตัวอย่าง Storytelling

เทคนิคการเล่าเรื่อง Storytelling ที่ง่ายที่สุด คือ การฝึกเล่าเรื่องจากตัวอย่าง Storytelling นิทาน หรือเรื่องสั้นต่างๆ เพราะเรื่องราวเหล่านี้มักสร้างมาเพื่อจุดประสงค์สำคัญ มีความเรียบง่าย มีคุณค่า และความหมายแฝงบางอย่าง อีกทั้งยังช่วยสร้างอารมณ์ และความรู้สึกร่วมให้กับผู้ฟังได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีการแทรกแนวคิด ความขัดแย้งของเนื้อเรื่อง หรือการเปรียบเทียบต่างๆ ที่จับต้องไม่ได้ให้สามารถจับต้องได้มากขึ้น การฝึกเล่าเรื่องจากตัวอย่างจึงเหมาะมากในการฝึกทักษะ Storytelling

ภาษากายคือสิ่งสำคัญ

เมื่อฝึกเทคนิค Storytelling ที่กล่าวไปครบถ้วนแล้ว สิ่งสุดท้ายที่สำคัญ คือ ภาษากาย เช่น การยืน การเดิน การนั่ง ตำแหน่งของมือ และสายตาที่แสดงถึงเจตนาของผู้พูด เพราะโดยทั่วไปแล้วมีสถิติว่า 55 เปอร์เซ็นต์ของคนส่วนใหญ่ มีการตัดสินผ่านทางภาษากาย 38 เปอร์เซ็นต์ ตัดสินจากน้ำเสียง และอีก 7 เปอร์เซ็นต์ ตัดสินจากคำพูด ดังนั้น การฝึกจัดระเบียบร่างกายของตัวเองเป็นประจำขณะเล่าเรื่อง เช่น การไม่ยืนหลังค่อม ไม่เอามือกอดอก หรือหลบตาผู้ฟังขณะพูด ก็จะช่วยให้การเล่าเรื่องมีความน่าสนใจ และดึงดูดผู้ฟังได้มากยิ่งขึ้น

ประโยชน์ของการเล่าเรื่อง Storytelling

ประโยชน์ของการเล่าเรื่อง Storytelling

การเล่าเรื่อง Storytelling เป็นทักษะที่สำคัญอย่างมากในปัจจุบัน เพราะช่วยให้การนำเสนอเรื่องราวมีประสิทธิภาพ มีคุณค่า มีความหมาย และช่วยจัดระเบียบความคิดขณะพูด อีกทั้งยังก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆ อีกมากมาย ดังนี้

  • ช่วยให้เกิดการเรียบเรียง หรือเชื่อมโยงเรื่องราวในอดีต จนถึงปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ และการคิดเป็นภาพรวม
  • สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้พูด และผู้ฟัง เพราะการเล่าเรื่องราวอะไรบางอย่าง สามารถเชื่อมโยงอารมณ์ ความคิด และความรู้สึกของผู้คนผ่านการฟังอย่างกระตือรือร้นได้ ซึ่งส่งผลให้เกิดความเข้าใจกันและกันมากขึ้น

การเล่าเรื่อง Storytelling ช่วยให้ตัวเรา และคนรอบข้างเข้าใจโลกมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการเล่าเรื่องมีหลากหลายแง่มุม ทำให้เกิดการมองโลกที่กว้างขึ้น

สรุป

การเล่าเรื่อง (Storytelling) คือ การนำเสนอเรื่องราวผ่านการเล่าเรื่องที่มีคุณค่า มีความหมาย และมีความเชื่อมโยงกับอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกของผู้ฟัง โดย Storytelling มักมีจุดประสงค์ที่แตกต่าง เช่น เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ เพื่อการเรียนการสอน เพื่อสร้างจิตสำนึกที่ดี สร้างแรงบันดาลใจ หรือความสามัคคี พื้นฐานการเล่าเรื่องแบบ Story telling ช่วยให้เด็กๆ ได้ฝึกทักษะการเล่าเรื่องอย่างสร้างสรรค์ เกิดความคิดที่เป็นระบบ และช่วยเสริมสร้างความมั่นใจได้ ซึ่งการฝึกเล่าเรื่องที่ง่ายที่สุด คือ การฝึกเล่าเรื่องจากนิทานภาษาอังกฤษ หรือภาษาไทย แต่หากได้ฝึกเล่าเรื่องจากตัวอย่าง Storytelling ภาษาอังกฤษ ด้วยก็จะช่วยเสริมสร้างทักษะภาษาอังกฤษของเด็กๆ ไปในตัวได้


หากสนใจเรียนภาษาอังกฤษ เพื่อเสริมสร้างทักษะการเล่าเรื่องให้กับเด็กๆ ทาง Speak Up Language Center ของเราช่วยได้ เพราะเราคือสถาบันการเรียนภาษาที่จะช่วยฝึกฝนพัฒนาการทางด้านภาษาของเด็กๆ ให้เป็นไปอย่างราบรื่น มีความสนุกสนาน และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยการประยุกต์ใช้การเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ (Montessori) โดยครูผู้สอนมืออาชีพที่มีประสบการณ์ และเทคนิคเฉพาะในการสอนภาษาสำหรับเด็กเล็ก