fbpx

Fine and Gross Motor Skills ทักษะสำคัญที่พัฒนากล้ามเนื้อของเด็ก

สารบัญ
Fine and Gross Motor Skills ทักษะสำคัญที่พัฒนากล้ามเนื้อของเด็ก

Fine and Gross Motor Skills ทักษะสำคัญที่พัฒนากล้ามเนื้อของเด็ก

ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีและการติดต่อสื่อสารได้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด สื่อออนไลน์จึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อการเรียนรู้ ทำให้สังคมกลายเป็นสังคมก้มหน้า การสื่อสารต่อหน้าผ่านทางคำพูดแทบจะนับคำได้ ส่งผลให้พัฒนาการทางด้านร่างกายของเด็กๆ เสื่อมลงจนทำให้ป่วยบ่อย บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับ Fine Motor Skills และ Gross Motor Skills ทักษะที่พัฒนากล้ามเนื้อของเด็ก ที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรให้ความใส่ใจ และให้ความสำคัญ เพื่อช่วยพัฒนากล้ามเนื้อให้ใช้งานได้อย่างคล่องแคล่ว สมวัย

Fine Motor Skills & Gross Motor Skills คืออะไร

Fine Motor Skills & Gross Motor Skills คืออะไร

ทั้ง Fine Motor Skills และ Gross Motor Skills เป็นทักษะของกล้ามเนื้อเหมือนกันแต่มีความต่างกัน ดังนี้

Fine Motor Skills

Fine Motor Skills หรือทักษะกล้ามเนื้อมัดเล็ก คือกล้ามเนื้อบริเวณข้อมือ ฝ่ามือ ไปจนถึงนิ้วแต่ละนิ้ว ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ใช้ในการออกแรงในขณะนวด ปั้น กด จับดินสอ หรือระหว่างเล่นเครื่องดนตรี เช่น เปียโน กีตาร์ โดยกล้ามเนื้อส่วนนี้ จะช่วยให้เขียนหนังสือได้สวย เป็นระเบียบ และสามารถหยิบจับของ ช่วยเหลือตัวเองได้ เป็นต้น

Gross Motor Skills

Gross Motor Skills หรือทักษะกล้ามเนื้อมัดใหญ่ คือบริเวณกล้ามเนื้อบริเวณลำตัว แขน ขา รวมไปถึงความสัมพันธ์ของอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งทักษะกล้ามเนื้อมัดใหญ่จะช่วยในการทรงตัว สร้างสมดุลให้กับร่างกาย เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ทั้งนี้ยังรวมถึงความกระฉับกระเฉงในการเปลี่ยนท่าทาง และทักษะในการเล่นกีฬาด้วย

กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อของเด็ก

สำหรับกิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อของเด็กสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ ดังนี้

กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก หรือ Fine Motor Skills

เขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้านหลังการ์ด ให้ตรงกับรูป

พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก หรือ Fine Motor Skills ของลูกได้ด้วยกิจกรรม ดังนี้

สร้างสรรค์งานฝีมือ

เริ่มต้นด้วยกิจกรรมงานฝีมือ ที่ช่วยให้ลูกๆ สามารถสร้างศิลปะอันสร้างสรรค์ได้ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มีส่วนช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กได้อย่างดี เพราะเน้นการเคลื่อนไหวของมือเป็นหลัก เช่น งานปั้น งานวาดภาพ ระบายสี การพิมพ์ภาพ งานกระดาษตัดแปะ หรืองานประดิษฐ์จากเศษวัสดุ เป็นต้น เหมาะสำหรับเด็กอายุ 3-6 ขวบขึ้นไป เพราะเป็นวัยที่พร้อมสำหรับการสำรวจ และสร้างสรรค์งานประดิษฐ์ 

ฝึกการขยับมือ

สำหรับกิจกรรมอย่างการขยับมือ เหมาะสำหรับเด็กที่อยู่ช่วงวัย 1-3 ขวบ เพราะอยู่ช่วงที่กำลังมีพัฒนาการในการเรียนรู้ เช่น การลากเส้นจากซ้ายไปขวา จากบนมาล่าง การวาดเส้นโค้ง การลาดเส้นตามรอยประ เป็นต้น เพื่อที่จะได้ฝึกความมั่นคงของการขยับมือ นิ้วมือ และการประสานงานของร่างกายที่ดีระหว่างมือและตา 

เล่นของเล่นพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก

สำหรับกิจกรรมเล่นของเล่น ถือว่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กได้ดีเลย เหมาะสำหรับเด็กที่อยู่ในช่วง 3-6 ขวบขึ้นไปที่ชอบหยิบจับของเล่นตลอดเวลา โดยมีบางกิจกรรมที่ช่วยจำเป็นต้องฝึกความแข็งแรงและกระบวนการคิด เช่น การต่อบล็อก การคีบของ การเล่นหุ่นเชิดนิ้วมือ การชั่งสิ่งของด้วยตาชั่ง การจำแนกของเล่นตามสีและรูปร่าง เป็นต้น

ทำกิจกรรมกลางแจ้ง

สุดท้ายนี้ เป็นกิจกรรมกลางแจ้ง ที่เหมาะกับเด็กในช่วงอายุ 3-6 ขวบขึ้นไป เพราะเป็นวัยที่มีความใคร่รู้ อยากรู้อยากเห็น ช่างคิด ช่างถาม การออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งจึงเรียกได้ว่า ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กช่วงวัยนี้ได้อย่างดีเลยทีเดียว เช่น การโยนรับลูกบอล การละเล่นพื้นบ้าน หรือกิจกรรมการเล่นดิน เล่นทราย เป็นต้น

กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ หรือ Gross Motor Skills

กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ หรือ Gross Motor Skills

พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถสอนทำกิจกรรมเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ หรือ Gross Motor Skills ของลูกได้ ดังนี้

ปั่นจักรยาน 3 ล้อ

เริ่มต้นกันด้วยกิจกรรมปั่นจักรยาน 3 ล้อ ซึ่งเหมาะมากกับเด็กในช่วงอายุ 3-6 ขวบขึ้นไป เพราะสามารถช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้หลายส่วน ตั้งแต่การฝึกการทรงตัว การขยับแขน และขา การระมัดระวังตัว พร้อมกับการฝึกทักษะการสำรวจสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว เป็นต้น ซึ่งภายหลังที่การทรงตัวของลูกพัฒนาดีขึ้น พ่อแม่ผู้ปกครองอาจจะเอาล้อที่ 3 ออก เพื่อฝึกพัฒนาการของกล้ามเนื้อไปอีกขั้นนั่นเอง

เล่นกีฬา

สำหรับกิจกรรมการเล่นกีฬา มีส่วนช่วยให้บริเวณกล้ามเนื้อมัดใหญ่ทำงานได้ดีขึ้น โดยเฉพาะการทรงตัว การขยับตัวที่คล่องแคล่วขึ้น รวมถึงสุขภาพร่างกายดีขึ้นด้วย เหมาะสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 3-6 ขวบขึ้นไป เพราะกีฬาบางประเภทต้องใช้กำลังเยอะ เช่น ฟุตบอล ว่ายน้ำ ปิงปอง วิ่งแข่ง เป็นต้น

การเดินและวิ่ง

สำหรับกิจกรรม อย่างการเดินและการวิ่งเหมาะกับเด็กตั้งแต่ 1-3 ขวบเลย เพราะสามารถทรงตัวได้แล้ว พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถพาลูกๆ ไปเดิน หรือวิ่งเล่นแถวสวนสาธารณะก็เป็นความคิดที่ดี เพื่อสร้างทักษะด้านอารมณ์และการเข้าสังคมด้วยนั่นเอง  

เล่นของเล่นพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่

สำหรับการเล่นของเล่นเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ เหมาะสำหรับเด็กอายุประมาณ 3-6 ขวบขึ้นไป โดยพ่อแม่ผู้ปกครองควรเลือกของเล่นให้เหมาะสมและปลอดภัยกับเด็กด้วย โดยเฉพาะเครื่องเล่นในสวนสาธารณะ ที่เครื่องเล่นบางชนิดก็อาจจะอันตรายไปสำหรับเด็กบางคน ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ลูกได้ฝึกพัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้อย่างสมวัย

ทำกิจกรรมยืดหยุ่น

สุุดท้ายคือการฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่ด้วยกิจกรรมแบบยืดหยุ่นร่างกาย ตั้งแต่การงอแขนขา หันซ้ายขวา ชันคอ เป็นต้น โดยกิจกรรมนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ จึงเหมาะกับเด็กที่มีอายุช่วง 1-3 ขวบ ที่จำเป็นต้องฝึกการยืดหยุ่นร่างกาย เพื่อให้ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทรงตัวได้ดี และสมดุลมากขึ้นนั่นเอง

หากเด็กๆ ไม่ได้รับการพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดเล็กและมัดใหญ่จะเป็นอย่างไร

หากเด็กๆ ไม่ได้รับการพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดเล็กและมัดใหญ่จะเป็นอย่างไร

หากเด็กๆ ไม่ได้รับการพัฒนาทางด้านกล้ามเนื้อมัดเล็ก และมัดใหญ่ จะส่งผลให้พัฒนาการต่างๆ ช้าลงได้ เพราะร่างกายเคลื่อนไหวไม่ได้ตามใจต้องการ อวัยวะต่างๆ ของร่างกายไม่สัมพันธ์กัน เคลื่อนไหวได้ช้า ไม่คล่องแคล่วมากพอที่จะทำกิจกรรมส่งเสริมทักษะทางด้านกีฬา หรืออาจจะส่งผลให้เมื่อเขียนหนังสือแล้วเมื่อยมือง่าย ต้องหยุดพักบ่อย ทำให้กว่าจะทำการบ้านเสร็จเรียบร้อยต้องใช้เวลานาน หรืออาจเขียนหนังสือได้ไม่คล่อง เขียนได้ช้า จนอาจส่งผลต่อผลการเรียน และพฤติกรรมทางด้านอารมณ์ในที่สุด ดังนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองทุกคน ควรตระหนักให้ดีว่าการเสริมสร้าง Fine Motor Skills และ Gross Motor Skills นั้นสำคัญมากแค่ไหน อย่าลืมพาลูกๆ ไปพัฒนาทักษะเหล่านี้ เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการที่สมวัย ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ จะได้อยู่ห่างจากหน้าจอบ้าง

สรุป

Fine Motor Skills คือกล้ามเนื้อมัดเล็ก บริเวณข้อมือ ฝ่ามือ ไปจนถึงนิ้ว ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ใช้ขณะออกแรงนวด ปั้น กด จับ เป็นต้น ส่วน Gross Motor Skills คือกล้ามเนื้อมัดใหญ่ บริเวณลำตัว แขน ขา เป็นต้น มีส่วนช่วยในการทรงตัว สร้างสมดุล และทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น หากเด็กๆ ไม่ได้พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก และกล้ามเนื้อมัดใหญ่ จะส่งผลให้พัฒนาการทางด้านร่างกายช้าลง เพราะร่างกายเคลื่อนไหวไม่สัมพันธ์กัน และเคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่วมากพอที่จะทำกิจกรรมด้านกีฬา หรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้มือนั่นเอง


อย่างไรก็ตาม ควรพัฒนากล้ามเนื้อมัดต่างๆ ไปพร้อมกับการพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาต่างประเทศ อย่างภาษาอังกฤษ และภาษาจีน ที่ Speak up ได้มีการสอดเเทรกกิจกรรม ที่ช่วยฝึกทั้งกล้ามเนื้อมัดเล็กและกล้ามเนื้อมัดใหญ่ของเด็กอยู่ในการสอนภาษาด้วย พร้อมทั้งมีการสอนภาษาแบบมอนเตสซอรี่ (Montessori Method) โดยคำนึงถึงความต้องการของเด็กเป็นสำคัญที่สุด จึงมีการสร้างสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการเรียนรู้ของเด็ก ให้เสรีภาพกับเด็ก ให้คำปรึกษา และกระตุ้นให้เด็กคิด พร้อมกับแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง โดยใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 เรียนรู้โดยการปฏิบัติจริงผ่านสิ่งแวดล้อม เพื่อการเรียนรู้สำหรับเด็กโดยเฉพาะ

การ์ดคําศัพท์ภาษาอังกฤษ ทำเองง่ายๆ กิจกรรมเสริมความจำสำหรับเด็ก

การ์ดคําศัพท์ภาษาอังกฤษ ทำเองง่ายๆ กิจกรรมเสริมความจำสำหรับเด็ก

การเสริมทักษะ เพิ่มความจำให้ลูกน้อยได้เข้าใจภาษาอังกฤษมากยิ่งขึ้น ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพิ่มเติมจากการทำความเข้าใจภาษาอังกฤษในห้องเรียน จึงควรหาวิธีอื่นๆ อย่างการ์ดคำศัพท์ภาษาอังกฤษเข้ามาเป็นตัวช่วยเสริม ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สามารถทำเองได้ง่ายๆ รวมถึงยังเป็นเทคนิคสำหรับการฝึกภาษาอังกฤษที่ได้รับการการันตีว่าจะได้รับผลดีมากๆ สำหรับเด็ก และเป็นอีกหนึ่งวิธีที่บรรดาผู้ปกครองทั้งหลายมักจะเลือกนำมาฝึกความจำพร้อมกับเสริมทักษะการเรียนรู้ให้แก่เด็กๆ หากพ่อแม่คนไหนยังคงสงสัยว่าทำไมต้องให้เด็กเรียนรู้ด้วยการ์ดคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ตัว flash card คำศัพท์ภาษาอังกฤษมีวิธีการทำอย่างไร ทำยากหรือเปล่า สามารถตามมาหาคำตอบและดูวิธีการทำการ์ดภาษาอังกฤษพร้อมกันได้ในบทความนี้

การ์ดคําศัพท์ภาษาอังกฤษ (Flash Card) คืออะไร

การ์ดคําศัพท์ภาษาอังกฤษ (Flash Card) คืออะไร

การ์ดคำศัพท์ภาษาอังกฤษคือสื่อการสอนรูปแบบกระดาษชนิดหนึ่งที่จะเป็นตัวช่วยเสริมทักษะปูพื้นฐานด้านความทรงจำให้กับเด็กตั้งแต่เยาว์วัย เน้นให้เด็กๆ ได้ใช้ทักษะการจดจำและทักษะการฟัง  ซึ่งการ์ดคำศัพท์ภาษาอังกฤษส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยคำศัพท์รวมถึงรูปภาพอยู่ในนั้น ลักษณะของ flash card คำศัพท์ภาษาอังกฤษเป็นแผ่นกระดาษรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า  โดยflash card คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ดีจะต้องมีตัวหนังสือและรูปภาพที่มีขนาดใหญ่พอให้มองเห็นได้ชัดเจน สีสันสดใส สวยงาม น่าดึงดูด มีขนาดที่เด็กสามารถหยิบจับได้สะดวก ซึ่งขนาดจะแตกต่างกันไปตามการใช้งานบวกกับช่วงอายุของเด็กด้วย  และที่สำคัญจะต้องมีความคงทนพอที่จะรับความซนของเด็กได้ด้วย

จำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยการ์ดคําศัพท์ ดีกว่าการท่องจำทั่วไปอย่างไร

จำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยการ์ดคําศัพท์ ดีกว่าการท่องจำทั่วไปอย่างไร

ปกติแล้วการท่องจำเป็นวิธีเสริมความจำที่น่าเบื่อสำหรับหลายคน แถมต้องใช้ความพยายามมากเพราะไม่มีเทคนิคหรือตัวกระตุ้นความจำใดๆ เลย ต้องอาศัยความจำจากสมองล้วนๆ จึงทำให้การ์ดคำศัพท์ภาษาอังกฤษถือว่าเป็นรูปแบบการจดจำที่มาพร้อมกับลูกเล่นสีสันสดใสสวยงาม เพื่อเป็นตัวช่วยฝึกไหวพริบ กระตุ้นความจำ นอกจากนี้ยังสามารถนำไปประยุกต์เป็นเกมทายคำได้อีกด้วยนะ มาถึงตรงนี้แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็คงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าการจำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยการ์ดคำศัพท์ดีกว่าการท่องจำทั่วไปมากๆ 

  • การ์ดคำศัพท์ตอบโจทย์สำหรับเด็กมากๆ เพราะสมองของเด็กสามารถเรียนรู้และจดจำได้อย่างรวดเร็ว
  • การเสริมความจำด้วยการ์ดคำศัพท์ภาษาอังกฤษสำหรับเด็กจะทำให้เด็กสามารถเข้าใจคำศัพท์ได้ง่ายยิ่งขึ้น
  • การ์ดคำศัพท์เปรียบดั่งเครื่องมือที่เป็นตัวช่วยกระตุ้นให้เด็กมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น
วิธีทำแฟลชการ์ดภาษาอังกฤษง่ายๆ

วิธีทำแฟลชการ์ดภาษาอังกฤษง่ายๆ

เมื่อเอ่ยถึงวิธีการทำ flash card คำศัพท์ภาษาอังกฤษ คุณพ่อคุณแม่สามารถทำเองได้ง่ายๆ เลย เพราะเป็นการ์ดที่ทำขึ้นจากกระดาษสี่เหลี่ยมที่มีขนาดเล็ก สามารถหาได้ทั่วไป เมื่อทำแล้วนำมาเรียงเป็นเซตเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นเหมือนสมุดพกพาหรือพวงกุญแจอันเล็กๆ ถึงแม้ว่าสมัยนี้จะมีอุปกรณ์ช่วยเหลืออื่นๆ อย่างสมาร์ตโฟนที่เป็นตัวช่วยในการค้นหาคำศัพท์ได้แล้ว แต่การทำ flash card คำศัพท์ก็ยังเป็นที่ได้รับความนิยมมากๆ เนื่องจากช่วยให้เกิดการจดจำด้วยตัวเองได้มากกว่า ไม่ต้องใช้งบเยอะ ไม่ว่าใครก็สามารถทำได้ แถมยังพกพาได้สะดวก ปรับจำนวนคำศัพท์ได้ตามต้องการ รังสรรค์ได้หลากหลายหมวดหมู่ แต่ SpeakUp ขอเสนอหมวดสัตว์เพราะเป็นหมวดที่สามารถช่วยเสริมทักษะให้กับเด็กได้ดีที่สุด เนื่องจากเป็นสิ่งที่เด็กคุ้นเคยเป็นอย่างดี อาจจะจากสื่อหรือจากการ์ตูน แถมรูปสัตว์น่ารักๆ ที่ผสมผสานกันหลากหลายรูปแบบยังเป็นตัวช่วยกระตุ้นความสนใจให้แก่เด็กได้อีกด้วย มาดูการทำบัตรภาพคำศัพท์ภาษาอังกฤษ animal cards

เตรียมการ์ดคำศัพท์

วิธีแรกสำหรับการเตรียมการ์ดคำศัพท์ภาษาอังกฤษ เริ่มต้นจากการเลือกซื้อกระดาษสามารถเลือกซื้อได้ตามสะดวกและตามความเหมาะสม มีจำหน่ายทั่วไปตามร้านจำหน่ายอุปกรณ์การเรียน แต่ขอกระซิบบอกก่อนว่าการทำการ์ดคำศัพท์จะต้องเลือกเนื้อกระดาษที่เป็นเนื้อกระดาษแบบทึบ ไม่บางจนเกินไป เพื่อป้องกันการมองเห็นและง่ายต่อการเก็บรักษาอีกด้วย สำหรับกระดาษที่แนะนำ เพื่อเป็นตัวช่วยพิจารณา มีดังนี้

  • กระดาษอาร์ต เป็นกระดาษที่มีเนื้อแน่นผ่านการเคลือบให้หนามาแล้ว ซึ่งจะมีทั้งแบบผิวเรียบด้านเดียวและ 2 ด้าน ข้อดีของกระดาษอาร์ตคือฉีกขาดได้ยาก แต่ถึงอย่างนั้นก็มีข้อเสียคืออายุของการใช้งานไม่นานมากนัก
  • กระดาษปอนด์ สำหรับกระดาษปอนด์เรียกได้ว่าเป็นกระดาษที่มีคุณภาพสูงมากๆ ผลิตมาจากเยื่อเคมีที่ผ่านการฟอกขาวมาแล้ว ลักษณะเป็นกระดาษสีขาวสว่าง ไม่มันวาว ข้อดีราคาไม่สูงและมีความทนทาน ส่วนข้อเสียคือผิวกระดาษไม่เรียบ อาจทำให้เขียนหรือระบายสีลงไปได้ยาก
  • กระดาษเหนียว หรือ Kraft paper ลักษณะจะเป็นกระดาษสีน้ำตาล ซึ่งจะมีความเหนียวเป็นพิเศษสมชื่อมากๆ ข้อดีคือมีความแข็งแรง ทนทานสูง ส่วนข้อเสียคือไม่สามารถป้องกันความชื้นและความมันได้สูงนัก
  • กระดาษลูกฟูก / กระดาษกล่อง ลักษณะของกระดาษจะเป็นกระดาษที่มีความหนาและมีความแข็งมากๆ มีสีเทาหรือสีน้ำตาล หรือบางอันจะมีผิวด้านหนึ่งเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาลคล้ำๆ ส่วนอีกด้านจะเป็นสีขาว ข้อดีคือมีความทนทาน ข้อเสียคือไม่ใช่กระดาษสีขาวล้วน เขียนแล้วอาจจะมองเห็นได้ไม่ชัด
  • กระดาษพีวีซี เป็นกระดาษชนิดพิเศษ เนื้อเหนียว ทนทาน กันน้ำ ข้อดีคือมีความทนทาน สามารถกันน้ำได้ ส่วนข้อเสียคือกระดาษมีความลื่นอาจจะเขียนตัวอักษรลงไปได้ยาก

วาดหรือติดรูปสัตว์ด้านหน้าการ์ด

ขั้นตอนที่ 2 ของการทำ flash card คำศัพท์เป็นขั้นตอนการวาดหรือติดรูปสัตว์ลงบนหน้ากระดาษที่เตรียมไว้ สำหรับการเลือกรูปสัตว์ควรเลือกรูปสัตว์ที่สามารถพบเห็นได้ง่ายในชีวิตประจำวันหรือในสื่อต่างๆ อาทิ สุนัข แมว ช้าง นก ปลา เสือ และงู เป็นต้น แน่นอนเลยว่าการจดจำด้วยรูปภาพพร้อมกับการเรียนรู้คำศัพท์ไปด้วยเป็นสิ่งที่สามารถช่วยเสริมทักษะความจำให้แก่เด็กได้ดีมากๆ แถมช่วยสร้างความน่าสนใจให้แก่เด็กได้อีกด้วย

เขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้านหลังการ์ด ให้ตรงกับรูป

ขั้นตอนสุดท้ายสำหรับการทำ flash card คำศัพท์ภาษาอังกฤษหมวดสัตว์ต่างๆ คือการเขียนคำศัพท์สัตว์ที่พบได้บ่อยๆ ลงไปบนการ์ดด้านหลัง 1 คำต่อ 1 การ์ด พร้อมกับเขียนตัวอย่างประโยคไว้เล็กๆ ด้วย ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมทักษะความทรงจำให้เด็กได้ดีทีเดียว ซึ่งมีตัวอย่างคำศัพท์สัตว์ที่พบได้บ่อยมาแนะนำ ดังนี้

  • Elephant คำอ่าน เอ็ลละเฟินทึ คำแปล ช้าง
  • Buffalo คำอ่าน บั๊ฟฟะโล คำแปล กระบือ, ควาย
  • Cat คำอ่าน แค็ท คำแปล แมว
  • Bird คำอ่าน เบิด คำแปล นก
  • Dog คำอ่าน ด๊อก คำแปล สุนัข, หมา
  • Fish คำอ่าน ฟิช คำแปล ปลา
  • Tiger คำอ่าน ไทเกอะ คำแปล เสือ
  • Zebra คำอ่าน ซีแบรส คำแปล ม้าลาย
  • Lion คำอ่าน ไล๊เยิน คำแปล สิงโต
รวม 11 แอปฝึกภาษาอังกฤษ เพื่อการเรียนรู้ที่ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

วิธีใช้การ์ดคําศัพท์ภาษาอังกฤษ กระตุ้นความจำสำหรับเด็ก

เมื่อเนรมิตการ์ดคำศัพท์ภาษาอังกฤษเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต้องไม่พลาดตามมาดูวิธีการใช้การ์ดคำศัพท์ภาษาอังกฤษ เพื่อกระตุ้นความจำสำหรับเด็กน้อยกันเลย

เริ่มทดสอบความจำ

เมื่อประสบความสำเร็จจากการประดิษฐ์การ์ดคำศัพท์แล้ว ก็เข้าสู่กระบวนการให้ลูกน้อยนำมาท่องจำกันได้เลย การทดสอบความรู้ในช่วงแรกๆ พ่อแม่ทั้งหลายจะต้องพาเด็กๆ เล่นไปด้วยกันกับพ่อแม่ก่อน แล้วค่อยปล่อยให้เด็กน้อยได้ฝึกจำคำศัพท์ด้วยตนเอง

เพิ่ม-ลดคำศัพท์

การเสริมทักษะความจำด้วย flash card คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เพียงหยิบการ์ดมาทีละใบโดยให้เด็กมองภาพและบอกคำภาษาอังกฤษของภาพนั้นๆ ให้ได้มากที่สุด จากนั้นพลิกดูคำตอบ หากใบไหนถูกต้องให้มากองไว้ทางด้านซ้าย ใบไหนตอบผิดให้กองไว้ทางด้านขวา เมื่อใบไหนที่พ่อแม่เห็นว่าเด็กสามารถจำได้แล้วก็แยกมาเก็บไว้ได้เลย จากนั้นพ่อแม่ทั้งหลายจะต้องเพิ่มคำศัพท์ลง flash card ทุกวัน พร้อมกับตั้งเป้าหมายว่าเด็กๆ ต้องท่องจำคำศัพท์ได้สัปดาห์ละประมาณกี่คำ เริ่มต้นจากสัปดาห์ละประมาณ 5-8 คำก่อนก็ได้

ท่องเป็นประจำทุกวัน

สำหรับการเสริมทักษะความจำด้วย flash card คำศัพท์จะต้องมีวินัยในการท่องจำเป็นอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าต้องท่องจำทุกวันเลยก็ว่าได้ ซึ่งใน 1 วัน คุณพ่อและคุณแม่ควรสละเวลามาทำกิจกรรมนี้กับลูก ให้ลูกท่องจำได้ประมาณ 15-30 นาทีต่อวันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ หรืออาจจะกำหนดไว้เลยว่าท่องตอนเช้าหรือก่อนนอนทุกวัน จัดสรรเวลาได้ตามที่พ่อแม่สะดวก

สรุป

พ่อแม่ทุกคนคงได้ทราบกันไปแล้วว่าการ์ดคำศัพท์ภาษาอังกฤษเปรียบเหมือนตัวช่วยดีๆ ที่สามารถเสริมสร้างทักษะการจำให้กับลูกน้อยได้อย่างยอดเยี่ยม ดีกว่าการท่องจำเพียงอย่างเดียวแบบเดิมมากๆ เพราะการทำ การ์ดคำศัพท์ภาษาอังกฤษสำหรับเด็กมาพร้อมกับสีสันสดใส ผสมผสานรูปภาพกับข้อความที่มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นตอบโจทย์แก่การจดจำของลูกน้อยได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับพ่อแม่คนไหนที่ไม่ค่อยมีเวลา แต่อยากให้ลูกของตนเองเก่งภาษาอังกฤษ พร้อมกับมีทักษะการจดจำที่ดียิ่งขึ้น สามารวางใจพาลูกมาเรียนได้ที่ Speak Up  สถาบันสอนภาษาที่พร้อมรับสอนเด็กตั้งแต่ช่วงอายุ 2.5 ปีไปจนถึง 12 ปีกันเลยทีเดียว ด้วยการประยุกต์การสอนโดยการใช้การสอนแบบมอนเตสซอรี่ (Montessori) ส่งตรงจากคุณครูมืออาชีพที่มีประสบการณ์ของการสอนมากมาย และมีเทคนิคการสอนเฉพาะภาษาเด็กเล็กอีกด้วย

รวม 27 คําศัพท์ภาษาจีน สำหรับไปซื้อของ จำไว้ให้ขึ้นใจ ได้ใช้แน่นอน

รวม 27 คําศัพท์ภาษาจีน สำหรับไปซื้อของ จำไว้ให้ขึ้นใจ ได้ใช้แน่นอน

ภาษาจีนในตอนนี้เรียกได้ว่ากลายเป็นภาษาสำคัญที่ผู้ปกครองหลายคนอยากให้ลูกน้อยได้เรียนรู้ เพราะสามารถเจอคำศัพท์ภาษาจีนรอบตัวได้ง่ายมากขึ้น จนกลายเป็นเหมือนภาษาสากลอีก 1 ภาษา จึงเป็นเหตุผลว่าบทสนทนาภาษาจีนนั้นสำคัญแค่ไหนในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเมื่อไปซื้อของ ซื้อเสื้อผ้า หรือการสั่งอาหารต่างๆ บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักคำศัพท์ภาษาจีนน่ารู้ที่จำเป็นต้องใช้เมื่อไปซื้อของหรือไปห้างสรรพสินค้า  ซึ่งมีรวบรวมมาให้ถึง 27 คำศัพท์ พร้อมด้วยคำอ่าน พินอิน คำแปล และตัวอย่างการใช้ต่างๆ ที่เข้าใจง่าย ให้คุณพ่อคุณแม่ได้นำศัพท์ไปใช้ฝึกฝนภาษาจีนกับลูกๆ รับรองว่าเป็นประโยชน์แน่นอน

ซื้อของ ภาษาจีน

คำศัพท์ภาษาจีน เกี่ยวกับการซื้อของ

1. 现金

คำอ่าน: เสี้ยนจิน

พินอิน: xiànjīn

คำแปล: เงินสด

ตัวอย่างการใช้: 您要付现金还是信用卡? (nín yào fù xiànjīn háishì xìnyòngkǎ?) มีความหมายว่า ต้องการชำระด้วยเงินสดหรือบัตรเครดิต?

2. 便宜

คำอ่าน: เผียนอี่

พินอิน: piányi

คำแปล: ราคาถูก / ถูก (ราคาถูกหรือการลดราคา และการพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องราคาสินค้า)

ตัวอย่างการใช้: 便宜一点儿可以吗? (pián yi yì diǎnr kě yǐ ma) ที่แปลว่า ลดราคา หรือขอราคาถูกลงหน่อยได้ไหม?

3. 花费

คำอ่าน: ฮวาเฟ่ย

พินอิน: huāfèi

คำแปล: ค่าใช้จ่าย / การใช้จ่ายเงิน

ตัวอย่างการใช้: 你发现了吗?耐克每年花费50,000美元 (nǐ fāxiànle ma? nàikè měinián huāfèi 50,000 měiyuán) ที่แปลว่า คุณรู้ไหมว่า Nike (ไนกี้) มีค่าใช้จ่ายต่อปีอยู่ที่ 50,000 หยวน

คํา ศัพท์ ภาษา จีน ซื้อ ของ

4. 顾客

คำอ่าน: กู้เค่อ

พินอิน: gùkè

คำแปล: ลูกค้า

ตัวอย่างการใช้: 今天顾客很多 (jīntiān gùkè hěnduō) ที่แปลความหมายได้ว่า วันนี้มีลูกค้าเยอะมากๆ

5. 折扣

คำอ่าน: เจ๋อโค่ว

พินอิน: zhékòu

คำแปล: ส่วนลด / ราคาที่ต่อลดลง

ตัวอย่างการใช้: 我应当享受折扣价格。如何获得折扣价格? (wǒ yīngdāng xiǎngshòu zhékòu jiàgé. rúhé huòdé zhékòu jiàgé?) ที่แปลได้ว่า ฉันควรได้รับส่วนลด (หรือได้รับการลดราคา) แล้วฉันต้องทำยังไงที่จะได้รับส่วนลดนี้?

6. 打折

คำอ่าน: ต่าเจ๋อ

พินอิน: dǎzhé

คำแปล: ลดราคา (หน่วยการลดราคา)

ตัวอย่างการใช้: 打 7.5 折 (dǎ qī diǎn wǔ zhé) ที่หมายถึง การลดราคา 25 % (7.5 เป็นหน่วยจำนวนคิดราคาส่วนลดสินค้าของประเทศจีน)

บัตรเครดิต ภาษาจีน

7. 信用卡

คำอ่าน: ซิ่นโย่งข่า

พินอิน: xìnyòngkǎ

คำแปล: บัตรเครดิต

ตัวอย่างการใช้: 我刷信用卡。(wǒ shuā xìnyònɡkǎ) แปลความหมายว่า ฉันใช้บัตรเครดิต

8. 百货商店

คำอ่าน: ไป่ฮั่วซางเตี้ยน

พินอิน: bǎihuòshāngdiàn

คำแปล: ห้างสรรพสินค้า / ซุปเปอร์มาร์เก็ต

ตัวอย่างการใช้: 今天我去百货商店 (jīntiān wǒ qù bǎihuòshāngdiàn) แปลความหมายประโยคว่า วันนี้ฉันไปห้างสรรพสินค้า

9. 鞋店

คำอ่าน: เสียเตี้ยน

พินอิน: xiédiàn

คำแปล: ร้านรองเท้า

ตัวอย่างการใช้: 我现在在鞋店 (wǒ xiànzài zài xiédiàn) แปลประโยคได้ว่า ตอนนี้ฉันอยู่ที่ร้านรองเท้า

10. 买

คำอ่าน: หมาย

พินอิน: mǎi

คำแปล: ซื้อ

ตัวอย่างการใช้: 你买什么?(nǐ mǎi shénme?) คุณซื้ออะไร ?

11. 服装店

คำอ่าน: ฝูจวงเตี้ยน

พินอิน: fúzhuāngdiàn

คำแปล: ร้านเสื้อผ้า

ตัวอย่างการใช้: 今天我去服装店。(jīntiān wǒ qù fúzhuāngdiàn.) แปลประโยคว่า วันนี้ฉันไปร้านเสื้อผ้า

12. 发票

คำอ่าน: ฟาเพี่ยว

พินอิน: fāpiào

คำแปล: ใบแจ้งหนี้ / ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ / ใบเสร็จรับเงิน

ตัวอย่างการใช้: 这是您的发票。 (zhè shì nín de fāpiào) แปลประโยคได้ว่า นี่เป็นใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบของคุณ

ห้างสรรพสินค้า ภาษาจีน 超级市场

13. 超级市场

คำอ่าน: เชาจี๋ซื่อฉ่าง

พินอิน: chāojíshìchǎng

คำแปล: ซูเปอร์มาร์เก็ต

ตัวอย่างการใช้: 我一般在超级市场买日用品。(wǒ yìbān zài chāojí shìchǎng mǎi rìyòngpǐn.) แปลประโยคได้ว่า ฉันซื้อของใช้ประจำวันที่ซูเปอร์มาเก็ต

14. 租

คำอ่าน: ซู

พินอิน: zū

คำแปล: เช่า

ตัวอย่างการใช้: 我在公司附近租了房子。(wǒ zài gōngsī fùjìn zūle fángzi) แปลประโยคได้ว่า ฉันเช่าบ้านอยู่ใกล้กับบริษัท

15. 售货员

คำอ่าน: โส้วฮั่วเยวียน

พินอิน: shòuhuòyuán

คำแปล: พนักงานขายของ / คนขายของ

ตัวอย่างการใช้: 为什么有售货员跟顾客稍加呢? (wèishénme yǒu shòuhuòyuán gēn gùkè shāo jiā ne?) แปลประโยคได้ว่า ทำไมมีพนักงานขายของบางคนทะเลาะกันกับลูกค้าด้วยล่ะ?

16. 花钱

คำอ่าน: ฮวาเฉียน

พินอิน: huāqián

คำแปล: ใช้จ่าย (เงิน)

ตัวอย่างการใช้: 我花钱 ( huā qián) แปลประโยคได้ว่า ฉันใช้เงิน / ฉันจ่ายเงิน

17. 贵

คำอ่าน: กุ้ย

พินอิน: guì

คำแปล: (ราคา) แพง

ตัวอย่างการใช้: 这苹果很贵。(zhè píngguǒ hěn guì) แปลประโยคได้ว่า แอปเปิ้ลลูกนี้ราคาแพง

18. 珠宝店

คำอ่าน: จูเป่าเตี้ยน

พินอิน: zhūbǎodiàn

คำแปล: ร้านเพชร / ร้านอัญมณี / ร้านจิวเวลลี่

ตัวอย่างการใช้: 你去珠宝店吗? (nǐ qù zhūbǎo diàn ma?) คุณไปร้านเพชร / ร้านอัญมณีไหม?

19. 买东西

คำอ่าน: หม่ายตงซิ

พินอิน: mǎidōngxi

คำแปล: ซื้อของ / การซื้อของ

ตัวอย่างการใช้: 我去买东西 (wǒ qù mǎi dōngxi) แปลประโยคได้ว่า ฉันไปซื้อของ

20. 试衣间

คำอ่าน: ซื่ออีเจียน

พินอิน: shìyījiān

คำแปล: ห้องลองเสื้อผ้า

ตัวอย่างการใช้: 试衣间在哪里? (shìyījiān zài nă lĭ?) แปลประโยคได้ว่า ห้องลองเสื้อผ้าอยู่ทางไหน?

21. 玩具

21. 玩具

คำอ่าน: หวานจวี้

พินอิน: wánjù

คำแปล: ของเล่น

ตัวอย่างการใช้: 这玩具很贵 (zhè wánjù hěn guì) แปลประโยคได้ว่า ของเล่นชิ้นนี้แพง

22. 化妆品

คำอ่าน: บอกคำอ่าน

พินอิน: huàzhuāngpǐn

คำแปล: เครื่องสำอาง

ตัวอย่างการใช้: 这个化妆品怎么买? (zhège huàzhuāngpǐn zěnme mài?) แปลประโยคได้ว่า เครื่องสำอางอันนี้ขายอย่างไร?

23. 体育用品

คำอ่าน: ถี่อวี้ย้งผิ่น

พินอิน: tǐyùyòngpǐn

คำแปล: อุปกรณ์กีฬา / สินค้ากีฬา

ตัวอย่างการใช้: 怎么突然关心体育用品店了? (zěnme túrán guānxīn tǐyùyòngpǐn diànle?) ทำไมถึงสนใจอุปกรณ์กีฬา/สินค้ากีฬา ?

24. 珠宝首饰

คำอ่าน: จูเป่าโส่วซื่อ

พินอิน: zhūbǎoshǒushì

คำแปล: เครื่องประดับ

ตัวอย่างการใช้: 他没有珠宝首饰 (tā méiyǒu zhūbǎo shǒushì) แปลประโยคได้ว่า เขาไม่มีเครื่องประดับ

25. 日用品

คำอ่าน: รื้อย่งผิ่น

พินอิน: rìyòngpǐn

คำแปล: ของใช้ประจำวัน / ของใช้ทั่วไป

ตัวอย่างการใช้: 这里有没有卖日用品的地方? (zhè li yǒu méiyǒu mài rìyòngpǐn dì dìfāng?) แปลประโยคได้ว่า ที่นี่มีที่ขายของใช้ประจำวันไหม?

ร้านขายยา ภาษาจีน

26. 药店

คำอ่าน: เหย้าเตี้ยน

พินอิน: yàodiàn

คำแปล: ร้านขายยา

ตัวอย่างการใช้: 药店在哪里? (yàodiàn zài nǎlǐ?) แปลประโยคได้ว่า ร้านขายยาอยู่ทางไหน?

27. 体育用品店

คำอ่าน: ถี่อวี้ย้งผิ่นเตี้ยน

พินอิน: tǐyù yòngpǐn diàn

คำแปล: ร้านขายอุปกรณ์กีฬา

ตัวอย่างการใช้: 他刚说了, 他打算开体育用品店 (tā gāng shuōle, tā dǎsuàn kāi tǐyù yòngpǐn diàn) แปลประโยคได้ว่า เขาเพิ่งบอกว่า เขาจะเปิดร้านขายอุปกรณ์กีฬา

สรุป

การเรียนรู้คำศัพท์ภาษาจีน เกี่ยวกับการซื้อของมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตประจำวันเยอะมาก อย่างการไปห้างสรรพสินค้าจะมีภาษาจีนให้เห็นกันในบางโซนช็อปปิง พ่อแม่ผู้ปกครองอาจจะต่อยอดนำคำศัพท์มาใช้กับบทสนทนาภาษาจีนในชีวิตประจำวันกับลูกๆ ได้ เพราะฉะนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองที่สนใจอยากให้ลูกได้เรียนประโยคซื้อขายภาษาจีน ประโยคภาษาจีนในชีวิตประจำวัน หรือการเรียนภาษาจีนเพื่อการสนทนาเพิ่มเติม พร้อมปรับพื้นฐานในเรื่องของการฟัง พูด อ่าน เขียน ต้องขอแนะนำคอร์สเรียนกับทาง Speak Up Language Center ที่มีหมวดหมู่คอร์สเรียนภาษาจีน ภาษาต่างประเทศให้เลือกเรียนได้อย่างตรงจุดประสงค์ พร้อมอาจารย์ผู้สอนที่เป็นเจ้าของภาษาโดยตรงทั้งหมด รองรับคอร์สสำหรับเด็กอายุ 2.5-12 ปี เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้ภาษาจีนและพัฒนาการให้กับลูกน้อย ด้วยการสอนแบบมอนเตสซอรี่ (Montessori) โดยคุณครูมืออาชีพที่มีประสบการณ์และเทคนิคการสอนภาษาเด็กเล็ก

รวม 11 เพลงภาษาจีนง่ายๆ สำหรับเด็ก เพื่อเรียนรู้ศัพท์และการออกเสียง

รวม 11 เพลงภาษาจีนง่ายๆ สำหรับเด็ก เพื่อเรียนรู้ศัพท์และการออกเสียง

ภาษาจีนเป็นอีกภาษาหนึ่งที่มีความสำคัญกับยุคสมัยปัจจุบัน การเรียนรู้ภาษาจีนผ่านเพลง เป็นอีกหนึ่งวิธีง่ายๆ ที่จะทำให้เรียนรู้ศัพท์ และการออกเสียงได้ดีขึ้น ผู้ปกครองสามารถเปิดเพลงจีนพร้อมคำแปลให้ลูกฟัง เพื่อการฝึกฝนที่ไม่น่าเบื่อ ซึ่งจะทำให้ลูกสามารถเรียนรู้คำศัพท์ การออกเสียงได้อย่างสนุกและเพลิดเพลิน อีกทั้งยังมีข้อดีอื่นๆ อีกมากมาย ไปดูกันได้ในบทความนี้!

11 เพลงภาษาจีนง่ายๆ เพื่อการเรียนรู้สำหรับเด็ก

11 เพลงภาษาจีนง่ายๆ เพื่อการเรียนรู้สำหรับเด็ก

รวมเพลงภาษาจีนพร้อมคำแปลสำหรับเด็ก ที่ช่วยให้เด็กอนุบาลฝึกร้องเนื้อเพลงจีนได้ง่ายๆ ที่บ้าน ซึ่งจะช่วยทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ทักษะการออกเสียงและคำศัพท์ใหม่ๆ ได้ ดังนี้

1. โจวฮว่า เจี้ยน - เพื่อน

เรามาดูเพลงภาษาจีนสำหรับเด็กเพลงแรก คือเพลง “เพื่อน” 朋友 (pèngyǒu) เป็นเพลงที่ขับร้องโดย โจวฮว่า เจี้ยน 周华健 (Zhōu Huájiàn) เพลงนี้พูดถึงมิตรภาพอันล้ำค่า ความทรงจำดีๆ และความผูกพันระหว่างเพื่อน เนื้อเพลงสื่อถึงความสำคัญของมิตรภาพที่แท้จริง เพื่อนที่ดีจะอยู่เคียงข้างเราเสมอ ร่วมแบ่งปันความสุขและความทุกข์ ช่วยเหลือยามลำบาก และคอยเป็นกำลังใจให้กัน

ศัพท์และประโยคที่น่าสนใจ

  • 不曾 (bùcéng) แปลว่า ไม่เคย
  • 孤单 (gūdān) แปลว่า เหงา, อยู่คนเดียว

朋友不曾孤单过, 声朋友你会懂 péngyǒu bùcéng gūdānguò, yīshēng péngyǒu nǐhuì dǒng แปลว่า “เพื่อนแท้ไม่เคยทำให้รู้สึกเหงา แค่คำว่าเพื่อน คุณก็เข้าใจ” หมายความว่า เพื่อนที่ดีจะอยู่เคียงข้างกัน ช่วยเหลือ ปลอบโยนกัน ทำให้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว แค่คำว่าเพื่อนก็สื่อถึงความผูกพันธ์ ที่ไม่ต้องพูดอะไรมาก เพื่อนแท้จะเข้าใจซึ่งกันและกัน

2. เติ้ง ลี่จวิน - ดวงจันทร์แทนใจ

มาฝึกร้องเพลงภาษาจีนง่ายๆ กันต่อกับเพลง “ดวงจันทร์แทนใจ” 月亮代表我的心 (yuèliang dàibiǎo wǒ de xīn) เป็นเพลงขับร้องโดย เติ้ง ลี่จวิน 邓丽君 (Dèng Lìjūn) เพลงนี้สอนให้เรารู้ว่า แม้จะไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่เรารัก แต่ความรักและความคิดถึงก็ยังคงอยู่เสมอ เปรียบเสมือนดวงจันทร์ที่ส่องแสงจากบนฟ้า เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของความรักที่มั่นคง และจะคงอยู่ตลอดไป

ศัพท์และประโยคที่น่าสนใจ

  • 心 (xīn) แปลว่า หัวใจ
  • 打动 (dǎdòng) แปลว่า ประทับใจ
  • 轻轻 (qīng qīng) แปลว่า อ่อนโยน, เบาๆ

轻轻的一个吻,已经打动我的心 qīng qīng de yīgèwěn, yǐjīng dǎdòng wǒ de xīn แปลว่า “แค่เพียงจูบเบาๆ ก็ทำให้หัวใจฉันสั่นไหว” หมายความว่า แค่เพียงการสัมผัสอย่างอ่อนโยน ก็สามารถทำให้เกิดความรู้สึกประทับใจ ซึ้งใจ และตกหลุมรักได้

3. ฮีบี เถียน - ความโชคดีเล็กๆ

มาเรียนรู้ไปกับเนื้อเพลงภาษาจีนอนุบาลบทต่อไปคือเพลง “ความโชคดีเล็กๆ” 小幸运 (xiǎo xìngyùn)  ขับร้องโดย ฮีบี เถียน 田馥甄 (Tián Fùzhēn) เพลงนี้สอนให้เรารู้ว่า แม้ความรักครั้งแรกจะไม่สมหวัง แต่ความทรงจำดีๆ ก็ยังคงอยู่ในใจเราเสมอ ความรักครั้งแรกเปรียบเสมือน “ความโชคดีเล็กๆ” ที่ทำให้ชีวิตของเรามีสีสัน และเติมเต็มความสุขให้กับเรา

ศัพท์และประโยคที่น่าสนใจ

  • 懂 (dǒng) แปลว่า เข้าใจ
  • 愛上 (ài shàng) แปลว่า ตกหลุมรัก

爱上你的时候,还不懂感情 ài shàng nǐ de shíhòu, hái bù dǒng gǎnqíng แปลว่า “ตอนที่ฉันตกหลุมรักเธอ ฉันยังไม่เข้าใจความรู้สึก” หมายถึงความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ของความรักในวัยเด็ก ที่ยังไม่รู้จักกับความซับซ้อนของความรู้สึก

4. ชูหว่านถิง - ในเสียงเพลงของฉัน​

มาดูเพลงภาษาจีนพร้อมคำแปลกันต่อกับเพลง “ในเสียงเพลงของฉัน” 我的歌声里 (wǒ de gēshēng lǐ)  ขับร้องโดย ชูหว่านถิง 曲婉婷 (Qū Wǎn tíng) เพลงนี้พูดถึงเรื่องราวชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว เผชิญกับปัญหาอุปสรรคมากมาย แต่เธอก็ไม่เคยยอมแพ้ ต่อสู้กับชีวิตและมุ่งมั่นที่จะตามหาฝันของตัวเอง สื่อถึงพลังของเสียงเพลงที่สามารถปลอบโยน ให้กำลังใจ และช่วยให้เธอผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้

ศัพท์และประโยคที่น่าสนใจ

  • 脑 (nǎohǎi) แปลว่า สมอง
  • 存在 (cúnzài) แปลว่า มีอยู่, เกิดขึ้น

你存在我深深的脑海里 nǐ cúnzài wǒ shēn shēn de nǎohǎi lǐ แปลว่า “เธออยู่ในใจฉันลึกๆ” แสดงถึงความรู้สึกที่ว่า แม้จะไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกัน แต่คนๆ นั้นก็ยังคงอยู่ในใจเราเสมอ

5. โจว เจี๋ยหลุน - เครื่องลายคราม

ชวนเด็กๆ มาฝึกร้องเพลงจีนง่ายๆ กันต่อกับเพลง “เครื่องลายคราม” 青花瓷 (qīng huā cí) ขับร้องโดย โจว เจี๋ยหลุน 周杰伦 (Zhōu Jiélún) เพลงนี้สอนให้เรารู้ว่าความรักที่แท้จริงนั้นเปรียบเสมือนเครื่องลายคราม ที่มั่นคงยืนยง และไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความรักก็ยังคงอยู่เสมอ

ศัพท์และประโยคที่น่าสนใจ

  • 天青色 (tiān qīngsè) แปลว่า สีฟ้าคราม, สีฟ้าอมเขียวอ่อน (เป็นสีที่นิยมใช้บนเครื่องลายครามของจีน)
  • 青花瓷 (qīng huā cí) แปลว่า เครื่องลายคราม
  • 烟雨 (yānyǔ) แปลว่า ฝนควัน (ฝนโปรยปราย จนมองเห็นเป็นควัน มักใช้บรรยายบรรยากาศในภาพวาดจีนโบราณ)

天青色等烟雨而我在等你 tiān qīngsè děng yānyǔ ér wǒ zài děng nǐ แปลว่า “ฟ้าสีฟ้าครามรอฝนควัน และฉันก็รอเธอ” เปรียบเสมือนฟ้าสีฟ้าครามที่รอคอยฝนควัน และชายหนุ่มที่รอคอยหญิงสาวคนรักอย่างมั่นคง

6. โจว เจี๋ยหลุน - ความเงียบงัน

เนื้อเพลงภาษาจีนสำหรับเด็กอนุบาลต่อมาคือเพลง เพลง “ความเงียบงัน” 安静 (ānjìng) ขับร้องโดย โจว เจี๋ยหลุน 周杰伦 (Zhōu Jiélún) เพลงนี้สอนให้เรารู้ว่า ความรักนั้นมีทั้งสุขและทุกข์ เมื่อความรักจบลง สิ่งที่หลงเหลือไว้คือความทรงจำและความรู้สึกเงียบงัน เหงาใจ เราต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญกับความทุกข์และก้าวต่อไป

ศัพท์และประโยคที่น่าสนใจ

  • 明白 (míngbái) แปลว่า รู้, เข้าใจ
  • 接受 (jiēshòu) แปลว่า ยอมรับ
  • 表现 (biǎoxiàn) แปลว่า แสดง, แสดงออก

我想你已表现的非​​常明白 wǒ xiǎng nǐ yǐ biǎoxiàn de fēi​​cháng míngbái แปลว่า “ฉันคิดว่าคุณเข้าใจชัดเจนแล้ว” ประโยคนี้มักใช้ในสถานการณ์ที่เราอธิบายอะไรบางอย่างไปแล้ว และคิดว่าอีกฝ่ายเข้าใจแล้ว

7. เติ้ง จื่อฉี - ฟองสบู่

เนื้อเพลงภาษาจีนสำหรับเด็กอนุบาลต่อมาคือเพลง เพลง “ความเงียบงัน” 安静 (ānjìng) ขับร้องโดย โจว เจี๋ยหลุน 周杰伦 (Zhōu Jiélún) เพลงนี้สอนให้เรารู้ว่า ความรักนั้นมีทั้งสุขและทุกข์ เมื่อความรักจบลง สิ่งที่หลงเหลือไว้คือความทรงจำและความรู้สึกเงียบงัน เหงาใจ เราต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญกับความทุกข์และก้าวต่อไป

ศัพท์และประโยคที่น่าสนใจ

  • 明白 (míngbái) แปลว่า รู้, เข้าใจ
  • 接受 (jiēshòu) แปลว่า ยอมรับ
  • 表现 (biǎoxiàn) แปลว่า แสดง, แสดงออก

我想你已表现的非​​常明白 wǒ xiǎng nǐ yǐ biǎoxiàn de fēi​​cháng míngbái แปลว่า “ฉันคิดว่าคุณเข้าใจชัดเจนแล้ว” ประโยคนี้มักใช้ในสถานการณ์ที่เราอธิบายอะไรบางอย่างไปแล้ว และคิดว่าอีกฝ่ายเข้าใจแล้ว

8. เฉิน อี้ซวิ่น และ เฟย์ หว่อง - เพราะความรัก

เพลงจีนพร้อมคำแปลกับความหมายดีๆ สำหรับเพลงถัดไปคือเพลง “เพราะความรัก” 因为爱情 (yīnwèi àiqíng) ขับร้องโดย เฉิน อี้ซวิ่น และ เฟย์ หว่อง 陈奕迅 & 王菲 (Eason Chan & Faye Wong) เป็นเพลงที่ไพเราะกินใจ เต็มไปด้วยความหมายเกี่ยวกับพลังอันยิ่งใหญ่ของความรัก เพลงนี้เหมาะกับผู้ที่กำลังมีความรัก กำลังเผชิญกับอุปสรรคในความสัมพันธ์ หรือต้องการกำลังใจและแรงบันดาลใจ

ศัพท์และประโยคที่น่าสนใจ

  • 爱情 (àiqíng) แปลว่า ความรัก
  • 忘记 (wàngjì) แปลว่า ลืม
  • 突然 (túrán) แปลว่า ทันใดนั้น, กะทันหัน, อย่างรวดเร็ว

有时会突然忘了我还在爱着你 yǒushí huì túrán wàngle wǒ hái zài àizhe nǐ แปลว่า “บางครั้งฉันก็ลืมไปชั่วขณะว่าฉันยังคงรักคุณอยู่” ประโยคนี้สื่อถึงความรู้สึกของตัวละครผู้พูดที่บางครั้งก็ลืมไปว่ายังคงรักบุคคลนั้นอยู่ สาเหตุอาจเป็นเพราะความสับสน ลังเลใจ หรือประสบการณ์บางอย่างที่ทำให้รู้สึกไม่แน่ใจในความสัมพันธ์

9. เลสลี จาง - ความเงียบคือทองคำ

เพลงภาษาจีนง่ายๆ ที่สามารถให้เด็กๆ หัดร้องได้อีกเพลงก็คือเพลง “ความเงียบคือทองคำ” 沉默是金 (chénmò shì jīn) ขับร้องโดย เลสลี จาง 张国荣 (Leslie Cheung) เนื้อเพลงพูดถึงปรัชญาการใช้ชีวิตที่ว่า “ความเงียบบางครั้งก็ดีกว่าการพูด” โดยเปรียบเทียบความเงียบเป็นดั่งทองคำที่ล้ำค่า เป็นเพลงที่สอนให้เราใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาด รู้จักคิด รู้จักพูด รู้จักฟัง และรู้จักอดทน

ศัพท์และประโยคที่น่าสนใจ

  • 笑 (xiào) แปลว่า ยิ้ม, หัวเราะ
  • 笨 (bèn) แปลว่า โง่
  • 透 (tòu) แปลว่า ผ่าน, ทะลุ, เข้าใจ

现已看得透不再自困 不再像以往那般笨 抹泪痕轻快笑着行 xiàn yǐ kàn dé tòu bù zài zì kùn bù zài xiàng yǐwǎng nà bān bèn mǒ lèihén qīngkuài xiàozhe xíng แปลว่า “ตอนนี้ฉันเข้าใจมันอย่างถ่องแท้แล้ว ไม่เก็บตัวอยู่กับตัวเองอีกต่อไป ไม่ทำผิดพลาดแบบเดิมๆ เช็ดน้ำตาออก ก้าวต่อไปอย่างมีความสุข” เป็นประโยคที่สื่อถึงการเติบโตทางความคิดและจิตใจ  กล้าเผชิญปัญหา เรียนรู้จากประสบการณ์

10. กวง เหลียง - เทพนิยาย

เพลงภาษาจีนพร้อมคำแปลสำหรับเด็กเพลงต่อมาคือเพลง “เทพนิยาย” 童話 (tónghuà) ขับร้องโดย กวง เหลียง 光良 (Guāng Liáng) เป็นเพลงที่สื่อถึงความรู้สึกของคนที่มีความรัก ซึ่งเต็มไปด้วยความหวัง  แต่สุดท้ายก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพลงนี้สอนให้เราเรียนรู้ที่จะเผชิญกับความจริง ปล่อยวาง  และก้าวต่อไป

ศัพท์และประโยคที่น่าสนใจ

  • 哭着 (kūzhe) แปลว่า ร้องไห้
  • 童话 (tónghuà) แปลว่า เทพนิยาย, นิทาน
  • 骗 (piàn) แปลว่า โกหก, หลอกลวง

你哭着对我说童话里都是骗人的 nǐ kūzhe duì wǒ shuō tónghuà li dōu shì piàn rén de แปลว่า “คุณร้องไห้แล้วพูดกับฉันว่า เทพนิยายล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งนั้น” ประโยคนี้สื่อถึงอารมณ์ที่ซับซ้อนเกี่ยวกับความรัก การสูญเสีย ความผิดหวัง และความเชื่อ

11. เติ้ง ลี่จวิน - หวานปานน้ำผึ้ง

เนื้อเพลงภาษาจีนอนุบาลเพลงสุดท้ายที่จะมาแนะนำกันก็คือเพลง “หวานปานน้ำผึ้ง” 甜蜜蜜 (tiánmìmì) ขับร้องโดย เติ้ง ลี่จวิน 邓丽君 (Dèng Lìjūn) เพลงนี้บรรยายถึงความรู้สึกของหญิงสาวที่ตกหลุมรักชายหนุ่ม เธอรู้สึกมีความสุขและอบอุ่นใจเมื่ออยู่ใกล้เขา เธอเปรียบความรักของพวกเขาว่าหวานปานน้ำผึ้ง เพลงนี้ยังพูดถึงความทรงจำดีๆ ของพวกเขา และเธอหวังว่าความรักนี้จะคงอยู่ตลอดไป

ศัพท์และประโยคที่น่าสนใจ

  • 甜 (tián) แปลว่า หวาน
  • 笑 (xiào) แปลว่า ยิ้ม, หัวเราะ
  • 蜜 (mì) แปลว่า น้ำผึ้ง

梦 里, 梦 里 见过 你 甜蜜, 笑 得 多 甜蜜 mèng lǐ, mèng lǐ jiànguò nǐ tiánmì, xiào dé duō tiánmì แปลว่า “ในฝัน, ในฝัน ฉันเคยเจอคุณ ยิ้มหวานมาก” สื่อถึงความทรงจำดีๆ ของพวกเขาในฝัน ที่หญิงสาวได้พบกับชายหนุ่มและรู้สึกมีความสุขกับรอยยิ้มของเขา

ข้อดีของการฝึกภาษาจากเพลงภาษาจีนง่ายๆ

ข้อดีของการฝึกภาษาจากเพลงภาษาจีนง่ายๆ

การที่พ่อแม่ผู้ปกครองฝึกภาษาจีนให้กับลูกด้วยการฟังเพลงภาษาจีนง่ายๆ มีข้อดีที่น่าสนใจกว่าการฝึกภาษาจีนรูปแบบอื่นๆ ดังนี้

ได้ฝึกการฟัง

เด็กๆ จะได้ฝังเสียงภาษาจีนที่ถูกต้อง ผ่านทำนองและจังหวะของเนื้อเพลงภาษาจีนสำหรับเด็กอนุบาล ช่วยให้คุ้นเคยกับการฟังภาษาจีน พัฒนาทักษะการฟังและความเข้าใจ เตรียมความพร้อมสำหรับการเรียนภาษาจีนในชั้นเรียน

ได้ฝึกการออกเสียง

เด็กๆ จะได้ฝึกเลียนเสียงร้องตามเพลงภาษาจีนง่ายๆ ช่วยให้ฝึกการออกเสียงภาษาจีนที่ถูกต้อง พัฒนาทักษะการพูดและการเปล่งเสียง ช่วยให้กล้าพูดภาษาจีนมากขึ้น ฝึกการเน้นเสียงและความเร็วของภาษาจีนตามธรรมชาติ

จำศัพท์ได้ง่ายขึ้น

เนื้อเพลงภาษาจีนสำหรับเด็กอนุบาลมักใช้คำศัพท์ง่ายๆ ที่เด็กๆ สามารถเข้าใจได้ ผ่านการฟังและร้องเพลง เด็กๆ จะจดจำคำศัพท์ใหม่ๆ ได้โดยไม่รู้ตัว ซึ่งเพลงยังช่วยเชื่อมโยงคำศัพท์กับบริบทในแต่ละประโยค ทำให้เข้าใจความหมายได้ดีขึ้น

เรียนรู้แกรมมาร์ได้ง่ายขึ้น

โครงสร้างประโยคในเพลงภาษาจีนมักเรียบง่าย เหมาะสำหรับเด็กๆ ผ่านการฟังและร้องเพลงภาษาจีนพร้อมคำแปล เด็กๆ จะซึมซับโครงสร้างประโยคภาษาจีนโดยธรรมชาติ ช่วยให้เข้าใจหลักไวยากรณ์ภาษาจีนพื้นฐาน เตรียมความพร้อมสำหรับการเรียนรู้เพิ่มเติม

ฝึกแล้วไม่เครียด

การฝึกร้องเพลงจีนง่ายๆ เป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน ผ่อนคลาย ไม่กดดัน เด็กๆ จะรู้สึกเพลิดเพลินกับการร้องเพลง เรียนรู้ภาษาไปโดยไม่รู้ตัว ช่วยให้เด็กๆ มีทัศนคติเชิงบวกต่อการเรียนภาษาจีน

ได้เข้าใจในวัฒนธรรมจีน

เนื้อเพลงภาษาพร้อมคำแปลจีนมักสื่อถึงวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตของชาวจีน เด็กๆ จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมจีนผ่านเพลง พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ ช่วยให้เด็กๆ เข้าใจโลกได้กว้างขึ้น ขยายขอบเขตความรู้

สรุป

การที่ผู้ปกครองให้ลูกได้ฝึกฟังเพลงและร้องเพลงภาษาจีนง่ายๆ ทำให้ได้ข้อดีหลายอย่าง ช่วยฝึกทักษะให้เด็กๆ สามารถเริ่มต้นออกเสียง จำคำศัพท์ภาษาจีนได้ ทั้งยังช่วยฝึกทักษะการฟัง การจดจำ และเรียนรู้วัฒนธรรมของประเทศจีนไปในตัว ซึ่งเป็นอีกการเรียนรู้และฝึกฝนภาษาจีนที่ดี ที่สามารถทำร่วมกันกับลูกได้ และเพื่อประสบการณ์ในการเรียนรู้ที่ดี เลือก Speak up สถาบันสอนภาษา สำหรับเด็กเล็กอายุ 2.5–12 ปี สอนทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน ที่นี่ประยุกต์ใช้การสอนแบบมอนเตสซอรี่ (Montessori) โดยคุณครูมืออาชีพที่มีประสบการณ์ และเทคนิคการสอนภาษาเด็กเล็กแบบพิเศษ เพื่อลูกๆ ที่รักของคุณโดยเฉพาะ

เทคนิคในการสอนภาษาไทย ให้เด็กชาวต่างชาติเข้าใจง่าย พูดไทยคล่อง

เทคนิคในการสอนภาษาไทย ให้เด็กชาวต่างชาติเข้าใจง่าย พูดไทยคล่อง

ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีความสละสลวยอีกทั้งยังน่าเรียนรู้ จึงทำให้ปัจจุบันเรามักพบว่าคนต่างชาติหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยว บรรดาอินฟลูเอ็นเซอร์ชาวต่างชาติ หรือชาวต่างชาติทั่วๆ ไปเอง ต่างก็สนใจที่จะเรียนภาษาไทย เพื่อการนำมาสื่อสารในชีวิตประจำวันมากขึ้นระหว่างที่อยู่ประเทศไทย เรามาดูกันว่าหากจะสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติต้องเริ่มอย่างไร มีเทคนิคและวิธีแบบใดบ้าง หรือจะต้องคำนึงถึงสิ่งใดในขณะสอน ที่จะสามารถทำให้ชาวต่างชาติสามารถเรียนรู้และนำไปใช้ได้จริง เรามาดูไปพร้อมๆ กันผ่านบทความนี้ได้เลย

อุปสรรคที่มักในการสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติและลูกครึ่ง

อุปสรรคที่มักในการสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติและลูกครึ่ง

อุปสรรคของการสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ หรือแม้แต่ลูกครึ่ง ที่พอเรียนแล้วอาจทำให้ผู้เรียนรู้สึกว่ายากหรือท้าทายเป็นอย่างมาก โดยอุปสรรคต่างๆ ที่ต้องคำนึงถึง มีอะไรบ้าง ดังนี้

เสียงพยัญชนะคล้ายกัน

พยัญชนะไทยเป็นอุปสรรคต้นๆ เลยทีเดียวสำหรับการสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ เนื่องจากภาษาไทยมีพยัญชนะที่มากถึง 44 ตัว โดยในบางครั้งหากนำพยัญชนะไทยไปเทียบเสียงกับภาษาอังกฤษแล้ว อาจไม่มีตัวเทียบที่สามารถออกเสียงได้เหมือนเป๊ะ เพียงแต่เป็นเสียงที่ใกล้เคียงเท่านั้น เช่น ก. ไก่ และ ข.ไข่ ที่จะมีการใช้ตัว K เพื่อแทนเสียง โดยหากการพูดเป็นเรื่องที่ยากแล้ว การเขียนสะกดก็ยิ่งทวีความยากขึ้นไปอีก เพราะมีทั้งพยัญชนะที่พ้องเสียงกัน คือออกเสียงแบบเดียวกัน แต่ใช้ตัวอักษรต่างกันไปตามคำแต่ละคำ ในส่วนนี้นับได้ว่าชวนให้ชาวต่างชาติเกิดความสับสนงุนงงไม่น้อยเลยทีเดียว

การออกเสียงสระ

การออกเสียงสระให้ถูกต้องก็เป็นหนึ่งในอุปสรรคที่ท้าทายผู้เรียนที่เป็นชาวต่างชาติไม่น้อย เนื่องจากสระในภาษาไทยมีมากถึง 21 รูป 32 เสียง โดยมีทั้งสระที่เป็นเสียงสั้น และเสียงยาว โดยหากใช้สลับกันแล้วก็อาจทำให้ความหมายที่ต้องการจะสื่อผิดเพี้ยน เกิดเป็นการสื่อสารที่ผิดพลาดได้ง่ายๆ ตัวอย่างประโยคเช่น แม่ดุน้องในตอนที่น้องวิ่งเล่น หรือ แม่ดูน้องในตอนที่น้องวิ่งเล่น ซึ่งทำให้ใจความของประโยคเปลี่ยนไปอย่างมากเลยทีเดียว

การออกเสียงตัวสะกด

ตัวสะกดสำหรับการสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติบางประเทศอาจไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหา หรืออุปสรรคใหญ่ อย่างเช่นชาวต่างชาติที่พูดภาษาอังกฤษได้ เนื่องจากในภาษาอังกฤษก็มีตัวสะกดที่เยอะไม่ต่างกันมากนัก หากแต่บางชนชาติเช่น จีน ญี่ปุ่น หรือพม่า ที่มีระบบตัวสะกดในภาษาที่แตกต่างจากภาษาไทย จึงทำให้ในเวลาที่พูดภาษาไทยชาวต่างชาติบางประเทศจึงไม่สามารถเลียนเสียง หรือออกเสียงตามตัวสะกดได้ถูกต้อง

การออกเสียงวรรณยุกต์

เนื่องจากภาษาไทยเป็นภาษาที่มีการผันวรรณยุกต์ถึง 5 เสียง จึงทำให้คนที่ไม่ได้คุ้นเคยกับระดับของการผันเสียงไม่สามารถออกเสียงตามการผันวรรณยุกต์ได้อย่างถูกต้อง เราจึงมักพบว่าถึงแม้จะมีการสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติผันเสียง แต่ชาวต่างชาติหลายๆ คน ก็ไม่สามารถออกเสียงได้ถูกต้อง หรือออกเสียงคล้ายๆ กันไปหมด เช่น คำยอดฮิตอย่าง สวย หรือ ซวย เรียกได้ว่าถ้าผันวรรณยุกต์ผิดชีวิตเปลี่ยนได้เลยทีเดียว หรือคำบางคำที่สะกดเป็นภาษาอังกฤษเหมือนกัน แต่ความหมายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เช่น Khao ที่อาจจะอ่านได้ว่า ข่าว ข้าว ขาว คาว เป็นต้น

สิ่งที่ต้องคำนึงในการสอนภาษาไทยให้ลูกครึ่งชาวต่างชาติ

สิ่งที่ต้องคำนึงในการสอนภาษาไทยให้ลูกครึ่งชาวต่างชาติ

การสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ ไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพราะการสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ หรือสอนให้ลูกครึ่ง ช่วยให้เด็กพูดได้สองภาษา ก็มีเทคนิคที่น่าสนใจที่เราสามารถนำไปใช้ เพื่อเพิ่มทักษะการเรียนภาษาไทยที่ดีขึ้นของผู้เรียน ดังนี้

ใช้สัทอักษรช่วยในการออกเสียง

แน่นอนว่าภาษาไทยเป็นภาษาที่แปลกใหม่สำหรับชาวต่างชาติหลายๆ คน โดยเฉพาะตัวอักษร จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ที่เรียนไปแล้วจะจำได้ในทันที ดังนั้น การที่จะทำให้ผู้เรียนสามารถจำเสียงได้ง่ายขึ้น สามารถทำได้โดยการใช้สัทอักษร หรือเรียกง่ายๆ ว่าสัญลักษณ์แทนเสียง เพื่อทำให้การสอนการออกเสียงภาษาไทยให้ชาวต่างชาติเป็นเรื่องที่ง่ายมากยิ่งขึ้น

แต่งประโยคด้วยไวยากรณ์ที่ไม่ซับซ้อน

การสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติอีกหนึ่งวิธีที่ง่าย และได้ผล คือการสอนแต่งประโยคที่ไม่ซับซ้อน โดยมีโครงสร้างประโยคขั้นพื้นฐาน เช่น ใคร ทำอะไร ที่ไหน หรือการเรียงแค่ประธาน กริยา กรรม เช่น “ฉันจะไปร้านค้า”เป็นต้น เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้การสื่อสารเกิดความเข้าใจต่อทั้งผู้พูดและผู้ฟัง

สอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติในสิ่งที่เจอบ่อย

ในทุกๆ การเรียนของแต่ละภาษา การสนทนาเบื้องต้นเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน เป็นสิ่งแรกๆ ที่ควรเรียนรู้ อีกทั้งยังไม่ทำให้ผู้เรียนรู้สึกว่ายากจนเกินไป เพราะสามารถนำไปใช้ได้จริง อาทิ การซื้อของ การถามทาง การบอกความต้องการ-การปฏิเสธเบื้องต้น ที่จะช่วยทำให้ผู้พูดสามารถอธิบายตนเองในเบื้องต้นได้อย่างเหมาะสม

สอนผ่านเหตุการณ์สมมติ

เทคนิคในการสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ หรือลูกครึ่งพูดไทยได้ สามารถจำลองสถานการณ์ หรือบทบาทสมมติ เพื่อทำให้สามารถเข้าใจและเรียนรู้ได้ว่าในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน สามารถสร้างบทสนทนารูปแบบใดได้บ้าง นอกจากนี้แล้วการสร้างเหตุการณ์สมมติเอง จะช่วยทำให้ง่ายต่อการจำโครงสร้างของประโยค หรือกลายเป็นประโยคตัวอย่างที่สามารถนำไปปรับเปลี่ยนบางส่วน เพื่อต่อยอดรูปประโยคในการสนทนาในสถานการณ์อื่นๆ ได้อีกด้วย

สอนให้ชาวต่างชาตินำภาษาไทยไปใช้ในชีวิตจริง

การให้ผู้เรียนนำสิ่งที่เรียนไปใช้ในชีวิตจริง เพื่อที่ผู้เรียนจะได้ประเมินว่าสิ่งที่ตนเองเรียนมานั้นมีความก้าวหน้า หรือพัฒนามากน้อยแค่ไหน ควรเสริมในส่วนใดบ้าง โดยอาจเริ่มต้นจากการลองใช้ภาษาสนทนาง่ายๆ ตามสถานการณ์ที่ไม่ซับซ้อน เช่น การลองออกไปซื้อของด้วยตนเอง การพูดคุยกับเพื่อนชาวไทย เป็นต้น ซึ่งการนำไปใช้จริงๆ ทำให้เกิดความคุ้นเคยและเกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ ตาม ทฤษฎี Constructivism  ก็จะช่วยพัฒนาและต่อยอดการเรียนรู้ที่มากกว่าในห้องเรียนได้เช่นกัน

สรุป

การสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ หรือแม้แต่ลูกครึ่งที่ไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาหลักนั้น มีความท้าทายต่อผู้เรียนและผู้สอนไม่น้อย เนื่องจากการออกเสียงที่มีความซับซ้อน ทั้งเสียงสั้น เสียงยาว การผันเสียงวรรณยุกต์  อย่างไรก็ตาม หากเริ่มสอนได้ถูกจุด นำเทคนิคต่างๆ มาปรับใช้ หรือคำนึงถึงการใช้งานจริง ก็จะช่วยทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้แล้วหากต้องการเพิ่มผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นในการเรียนภาษาไทยหรือการสนทนาอย่างมีประสิทธิภาพ Speak Up เป็นสถาบันสอนภาษาสำหรับเด็กอายุ 2.5-12 ปี โดยการดูแลจากคุณครูผู้มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีการเรียนรู้ทางทักษะภาษาที่ดีผ่านการใช้สื่อการสอนภาษาไทยและกิจกรรมต่างๆ ให้เด็กชาวต่างชาติ รับรองได้เลยว่าทั้งชาวต่างชาติ หรือแม้แต่ลูกครึ่งเองก็สามารถเรียนรู้ภาษาไทยได้ดีขึ้น พูดได้คล่องขึ้นอย่างแน่นอน

รวบรวม 39 คำศัพท์บอกทางภาษาอังกฤษ เด็กๆ รู้ไว้ ไม่หลงทางแน่นอน

รวบรวม 39 คำศัพท์บอกทางภาษาอังกฤษ เด็กๆ รู้ไว้ ไม่หลงทางแน่นอน

ปัจจุบันนี้สามารถพบเจอกับชาวต่างชาติในสังคมได้มากขึ้น เนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวติดอันดับต้นๆ ของโลก เรื่องการถามทางจึงกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวที่มักพบได้บ่อย โดยเฉพาะการถามทางเป็นภาษาอังกฤษ เด็กๆ เองจึงควรเรียนรู้ภาษาอังกฤษไว้เป็นอาวุธป้องกันตนเองยามเดินทางไปไหนมาไหน เผื่อพลัดหลงกับพ่อแม่จะได้ไร้ความกังวล มีความรู้คู่สมองพกติดไว้ยังไงก็ไม่หลงชัวร์ แถมบอกทางชาวต่างชาติได้อีกด้วย ส่งเสริมทักษะด้านการสื่อสารที่เป็น Soft Skills สำหรับเด็กที่ควรมี บทความนี้จึงได้รวบรวม 39 คำศัพท์บอกทางภาษาอังกฤษที่พบได้บ่อย มาพร้อมกับคำอ่านและตัวอย่างประโยคคำศัพท์ภาษาอังกฤษบอกทางเพื่อให้เด็กๆ ได้ฝึกพูดตั้งแต่เนิ่นๆ เพิ่มความมั่นใจตั้งแต่เยาว์วัย

ประโยชน์ของการรู้ศัพท์บอกทางภาษาอังกฤษ

ลูกน้อยคือคนที่สำคัญที่สุดสำหรับพ่อแม่ พ่อแม่หลายคนจึงอยากจะมอบสิ่งดีๆ ให้กับลูก ฉะนั้นแล้วการเรียนรู้คำศัพท์บอกทางภาษาอังกฤษจึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด รู้หรือไม่ว่าเด็กวัยแค่ 2.5 ปีก็สามารถเรียนรู้คำศัพท์เบื้องต้นได้แล้ว ขอกระซิบบอกคุณพ่อคุณแม่เลยว่ายิ่งเรียนรู้เร็ว ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้เด็กน้อยกล้าพูดเต็มร้อยมากยิ่งขึ้น วิธีสอนภาษาอังกฤษลูกให้คุณพ่อคุณแม่ได้นำ เทคนิคเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ในการสอนลูกให้เก่งภาษา และปรับใช้ได้จริงกับสอนภาษาอังกฤษลูกในชีวิตประจำวันกัน ยามเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดพลัดหลงจากคุณพ่อคุณแม่ ความรู้จากคำศัพท์การบอกทิศทางภาษาอังกฤษที่เด็กน้อยได้เรียนไว้ จะช่วยให้ผ่านพ้นเหตุการณ์ไม่คาดคิดได้อย่างปลอดภัยแน่นอน

39 คําศัพท์บอกทางภาษาอังกฤษ พร้อมคําอ่าน และประโยคตัวอย่าง

39 คําศัพท์บอกทางภาษาอังกฤษ พร้อมคําอ่าน และประโยคตัวอย่าง

คำศัพท์ภาษาอังกฤษบอกทาง คำอ่าน คำแปล ประโยคตัวอย่าง
1. At แอท ที่, ตรง The canteen is at the end of the hallway to the right. (เดอะ แคนทีน อิส แอท ดิ เอนด์ ออฟ เดอะ ฮอลเวย์ ทู เดอะ ไรท์) โรงอาหารอยู่ตรงสุดโถงทางเดิน ด้านขวามือ
2. Above เออะเบิฟว์ ข้างบน, เหนือ, ด้านบน Go straight the Above and you’ll see the library (โก สะเตรท ดิ เออะเบิฟว์ แอนด์ ยูล ซี เดอะ ไลบรารี) ตรงไปด้านบนแล้วคุณจะเห็นห้องสมุด
3. Across เออะครอส ข้าม, ทั่ว Go across the bridge   (โก เออะครอส เดอะ บริดจ์)  ข้ามสะพานไป
4. Along เออะลอง ขนานไปกับ, ไปข้างหน้า Go along this way until to school (โก เออะลอง ดีส เวย์ อันทิล ทู สคูล) ตรงไปข้างหน้าตามทางนี้จนถึงโรงเรียน
5. Around เออะราวด์ รอบๆ It’s just around the corner   (อิทส์ จัส เออะราวด์ เดอะ คอร์เนอร์) ใกล้แล้วๆ ตรงหัวมุมข้างหน้านี่เอง
6. Behind บีไฮด์ ด้านหลัง, ข้างหลัง The pharmacy is behind the hospital (เดอะ ฟาร์มะซี อีส บีไฮด์ เดอะ ฮอซปิทอล) ร้านขายยาอยู่ด้านหลังโรงพยาบาล
7. Between บีทวีน อยู่ระหว่าง The Italian restaurant is in between the Coffee shop and KFC (ดิ อิตาเลียน เรสเทอเรินท์ อีส อิน บีทวีน เดอะ คอฟฟี ชอพ แอนด์ เคเอฟซี) ร้านอาหารอิตาลีอยู่ระหว่างร้านกาแฟกับร้านเคเอฟซี
8. Beside บีไซด์ ข้างๆ The playground is beside the school. (เดอะ เพลย์กราวน์ อีส บีไซด์ เดอะ สคูล) สนามเด็กเล่นอยู่ข้างๆ โรงเรียน
9. Below บีโลว์ ใต้, ข้างล่าง (ไม่เจาะจงว่าล่างตรงจุดไหน) Walk below and you will see the park. (วอล์ค บีโลว์ แอนด์ ยู วิลล์ ซี เดอะ พาร์ค) เดินไปข้างล่างแล้วคุณจะเห็นสวนสาธารณะ
10. By บาย ใกล้กับ The library is by the bathroom (ดิ ไลบรารี อีส บาย เดอะ บาธรูม) ห้องสมุดอยู่ใกล้กับห้องน้ำ
11. Close to โคลส ทู ใกล้กันกับ Walk straight and you will see school close to the playground (วอล์ค สเตรท แอนด์ ยู วิลล์ ซี สคูล โคลส ทู เดอะ เพลย์กราวน์) เดินตรงไปจะเจอโรงเรียน ใกล้กันกับสนามเด็กเล่น
12. Down ดาวน์ ไปข้างล่าง Take the stairs down to the basement. The restrooms are over there. (เทค เดอะ สแตร์ส ดาวน์ ทู เดอะ เบสเมนท์. เดอะ เรสท์รูมส์ อาร์ โอเวอร์ แดร์) ลงบันไดไปข้างล่างที่ชั้นใต้ดิน ห้องน้ำอยู่ตรงนั้น
13. From ฟรอม จาก (ที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง) From here you have to walk to the elevator and go to third floor and turn left (ฟรอม เฮียร์ ยู แฮฟ ทู วอล์ค ทู ดิ อีเลเวเตอร์ แอนด์ โก ทู เธิร์ด ฟลอร์ แอนด์ เทิร์น เลฟท์) จากที่นี่คุณต้องเดินไปที่ลิฟต์แล้วไปที่ชั้น 3 แล้วเลี้ยวซ้าย
14. In อิน ใน Walk to the left and you’ll find a table in the storage room. (วอล์ค ทู เดอะ เลฟท์ แอนด์ ยูลล์ ไฟด์ อะ เทเบิล อิน เดอะ สทอริจ รูม) เดินไปทางซ้ายจะพบโต๊ะในห้องเก็บของ
15. In front of อิน ฟรอนท์ ออฟ ข้างหน้า Go straight In front of ahead for about 5 minutes (โก สะเตรท อิน ฟรอนท์ ออฟ เออะเฮด ฟอร์ เออะเบาท์ ไฟว์ มินิทส์) ตรงไปข้างหน้าประมาณ 5 นาที
16. Inside อินไซด์ ข้างใน Go straight Inside (โก สเตรท อินไซด์ ) ตรงไปข้างใน
17. Next to เน็กซ์ ทู ถัดจาก It is next to the supermarket (อิท อิส เน็กซ์ ทู เดอะ ซูเพอะมาร์คิท) มันอยู่ถัดจากซุปเปอร์มาร์เก็ต
18. Near เนียร์ ใกล้ It’s near police station (อิส เนียร์ พะลีซ สเตชึน) มันอยู่ใกล้ๆ กับสถานีตำรวจ
19. On ออน บน, ตรง, ที่ It’s on the corner (อิส ออน เดอะ คอร์เนอร์) อยู่ตรงหัวมุม
20. Over โอเวอร์ เหนือ, สูงกว่า (ในแนวตั้งที่ตรงกัน), ข้าม Cross over the road (ครอส โอเวอร์ ดิ โรด) ข้ามถนน
21. Outside เอาท์ไซด์ ข้างนอก, ด้านนอก The bathroom is outside on the right-hand side (ดิ บาธรูม อีส เอาท์ไซด์ ออน เดอะ ไรท์-แฮนด์ ไซด์) ห้องน้ำอยู่ด้านนอกทางด้านขวามือ
22. Off ออฟ ออกจาก, จากไป Get off the bus and walk straight to the right (เกท ออฟ ดิ บัส แอนด์ วอล์ค สเตรท ทู เดอะ ไรท์) ออกจากรถบัสแล้วเดินตรงไปทางขวา
23. Past พาสท์ ผ่าน, เลย Walk past the corner and you’re there. (วอล์ค พาสท์ เดอะ คอร์เนอะ แอนด์ ยูเออร์ แธร์) เดินผ่านหัวมุมก็ถึงแล้ว
24. Through ธรู ผ่านไปโดยตลอด, ทะลุ, ผ่าน It’s just through the door. (อิทส์ จัสท์ ธรู เดอะ ดอร์) เดินผ่านประตูนี้ไปก็เจอแล้ว
25. Toward โทเอิดส์ ไปยัง head towards the south end of the bridge (เฮด โทเอิดส์ ดิ เซาธ์ เอนด์ ออฟ ดิ บริดจ์) มุ่งหน้าไปยังทางทิศใต้สุดของสะพาน
26. Under อันเดอร์ ใต้, ข้างล่าง (มักใช้กับสิ่งที่อยู่ใต้บางอย่าง ที่มีการปกคลุม) The bathroom is under the building (ดิ บาธรูม อีส อันเดอร์ เดอะ บิลดิง) ห้องน้ำอยู่ใต้อาคาร
27. up อัพ ขึ้น, ข้างบน Go up the street (โก อัพ เดอะ สตรีท) เดินย้อนถนนเส้นนี้ขึ้นไป
28. Go straight โก สเตรท ตรงไป Go straight ahead. Take the second right. It’s on the left. (โก สเตรท เออะเฮด เทค เดอะ เซคเคิน ไรท์ อิทส์ ออน เดอะ เลฟท์) ตรงไปเลี้ยวขวาแยกที่สอง มันอยู่ด้านซ้ายมือ
29. Turn left เทิร์น เลฟท์ เลี้ยวซ้าย make a u-turn and turn left   (เมค อะ ยู-เทิร์น แอนด์ เทิร์น เลฟท์)    กลับรถแล้วเลี้ยวซ้าย
30. Turn right เทิร์น ไรท์ เลี้ยวขวา Turn right at the crossroads. (เทิร์น ไรท์ แอท เดอะ ครอสโรดส์) เลี้ยวขวาที่ทางแยก
31. Go past โก พาสท์ เดินผ่าน..(สถานที่) Go past the crossroad. It’s on the right. (โก พาสท์ เดอะ ครอสโรด อิทส์ ออน เดอะ ไรท์) เดินผ่านสี่แยกไปมันอยู่ด้านขวามือ
32. At the T-junction แอท เดอะ ที จังค์ชึน ที่สามแยก Take exit 2 at the T-junction and turn left at the traffic light. (เทค เดอะ เซคเคิน เอกซิท แอท เดอะ ที-จังค์ชึน แอนด์ เทิร์น เลฟท์ แอท เดอะ ทราฟฟิค ไลท์) ใช้ทางออกที่สอง ตรงที่สามแยกแล้วเลี้ยวซ้ายตรงสัญญาณไฟจราจร
33. At the intersection แอท เดอะ อินเตอร์เซคชึน ที่สี่แยก At the intersection, turn left onto the main road (แอท เดอะ อินเตอร์เซ็คชึน เทิร์น เลฟ ออนทู เดอะ เมน โรด) เมื่อถึงที่สี่แยกให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนสายหลัก
34. Go on the main street โก ออน เดอะ เมน สตรีท ไปที่ถนนใหญ่, ไปที่ถนนเส้นหลัก Go on the main street. Until you find a turn (โกว ออน เดอะ เมน สตรีท อันทิล ยู ไฟด์ อะ เทิร์น) ไปที่ถนนสายหลัก จนกระทั่งเจอทางเลี้ยว
35. It’s that way อิทส์ แดท เวย์ ไปทางนั้น It’s that way, turn left and you’ll see a traffic light. (อิสท์ แดท เวย์ เทิร์น เลฟ แอนด์ ยูลล์ ซี อะ ทราฟฟิค ไลท์) ไปทางนั้นเลี้ยวขวาแล้วจะเห็นไฟจราจร
36. It’s on the corner อิทส์ ออน เดอะ คอร์เนอร์ มันอยู่ตรงหัวมุมนั่น The bookstore It’s on the corner over there. (เดอะ บุ๊ค สโตร์ อิทส์ ออน เดอะ คอร์เนอร์ โอเวอร์ แดร์) ร้านหนังสืออยู่ตรงหัวมุมตรงนั้น
37. Go under the tunnel โก อันเดอร์ เดอะ เทอเนล ลอดใต้อุโมงค์ Go under the tunnel and keep going straight until you see the sign for the museum. (โก อันเดอร์ เดอะ เทอเนล แอนด์ คีพ โกอิง สเตรท อันทิล ยู ซี เดอะ ซาย ฟอร์ เดอะ มิวเซียม) เดินลอดใต้อุโมงค์แล้วเดินตรงไปจนเห็นป้ายพิพิธภัณฑ์
38. Walk straight ahead วอล์ค สเตรท เออะเฮด เดินตรงไปข้างหน้า Walk straight ahead for another 500 meters. (วอล์ค สเตรท เออะเฮด ฟอร์ อะนาเธอะ ไฟว์ ฮันเดรด มีเทอะส์) เดินตรงไปข้างหน้า ประมาณ 500 เมตร
39. Take the third exit เทค เดอะ เธิร์ด เอกซิท ใช้ทางออกที่สาม You can take the third exit at the T- junction and then turn the left at the traffic light. (ยู แคน เทค เดอะ เธิร์ด เอกซิท แอท เดอะ ที จังค์ชึน แอนด์ เด็น เทิร์น เลฟท์ แอท เดอะ ทราฟฟิค ไลท์) คุณสามารถไปออกที่ทางออกที่สาม ตรงสามแยกแล้วเลี้ยวซ้ายตรงสัญญาณไฟจราจร
ตัวอย่างประโยคอังกฤษ กรณีต้องการถามทาง

ตัวอย่างประโยคอังกฤษ กรณีต้องการถามทาง

ภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่ยิ่งเริ่มฝึกฝนตั้งแต่เนิ่นๆ ความมั่นใจที่จะกล้าสนทนาก็จะยิ่งเต็มที่มากขึ้น หากเด็กๆ ต้องการถามทางสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันบ่อยๆ สามารถตามมาดูศัพท์บอกทางภาษาอังกฤษกันได้เลย

  • Do you know where the restroom is?

(ดู ยู โน แวร์ เดอะ เรสท์รูม อิส)

คุณรู้ไหมว่าห้องน้ำอยู่ทางไหน

  • Which way do I go to get to the hospital?

(วิช เวย์ ดู ไอ โก ทู เดอะ ฮอสปิทอล)

โรงพยาบาลไปทางไหน

  • Is this the right way for the bank?

(อิส ดีส เดอะ ไรท์ เวย์ ฟอร์ เดอะ แบงค์)

ไปธนาคารทางนี้ถูกต้องมั้ย

  •  How do I find the book store?

(ฮาว ดู ไอ ฟาย เดอะ บุ๊ค สโตร์)

ร้านหนังสืออยู่ที่ไหน

  •  Excuse me, do you know where the supermarket is?

(อิค คิวซ์ มี, ดู ยู โนว แวร์ เดอะ ซุปเปอร์มาร์เก็ต อิส)

ขอโทษค่ะ คุณรู้มั้ยว่าซูเปอร์เก็ตไปทางไหน

สรุป

คุณพ่อคุณแม่คงได้เล็งเห็นประโยชน์ของภาษาอังกฤษกันไปแล้ว อย่าลืมนำคำศัพท์บอกทางภาษาอังกฤษและประโยคตามตัวอย่างในบทความไปพูดคุยกับลูกๆ เป็นประจำเพื่อเป็นการเพิ่มและเสริมทักษะภาษาอังกฤษให้มากขึ้น สำหรับพ่อแม่คนไหนที่กำลังมองหาสถาบันสอนภาษา อยากส่งลูกน้อยเข้ามาเริ่มต้นเรียนคำศัพท์บอกทางภาษาอังกฤษพร้อมคำอ่าน ไว้วางใจไปกับทาง Speak up ได้เลย ให้ลูกๆ ได้พัฒนาทักษะการเรียนรู้ พร้อมกิจกรรมนอกสถานที่เพื่อเพิ่มพูนทักษะการสื่อสารและการใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นๆ อย่างเต็มรูปแบบ โดยเปิดสอนภาษาอังกฤษและภาษาจีนสำหรับเด็กเล็กตั้งแต่อายุ 2.5 ปีจนถึง 12 ปี ประยุกต์ใช้การสอนแบบมอนเตสซอรี่ (Montessori) เพื่อกระตุ้นและสนับสนุนให้เด็กๆ ใช้ภาษาได้อย่างอิสระ ด้วยเทคนิคการสอนภาษาเด็กเล็กที่ไม่ธรรมดาจากคุณครูมืออาชีพมากประสบการณ์

เช็กลิสต์! 11 แอปฝึกภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก อยู่ที่ไหนก็เรียนได้

เช็กลิสต์! 11 แอปฝึกภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก อยู่ที่ไหนก็เรียนได้

การเรียนภาษาอังกฤษเป็นทักษะที่จำเป็นมากในยุคปัจจุบัน เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่ใช้ในการสื่อสาร การศึกษา และการทำงาน และยังเป็นโอกาสเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ และเพิ่มความมั่นใจในตัวเองได้อีกด้วย 

แต่การเรียนภาษาอังกฤษไม่ได้ง่ายเสมอไป บางครั้งอาจรู้สึกเบื่อหน่าย หรือไม่มีเวลาเข้าห้องเรียน ดังนั้น การใช้แอปฝึกภาษาอังกฤษสำหรับเด็กจึงเป็นวิธีที่ดีที่จะช่วยให้เด็กเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ง่ายขึ้น และสนุกขึ้น โดยมีทั้งแอปฝึกพูด อ่าน และเขียนภาษาอังกฤษ ขอแนะนำ 11 แอปฝึกภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก ที่สามารถดาวน์โหลดและใช้งานได้ทุกที่ ทุกเวลา

เลือกแอปฝึกภาษาอังกฤษอย่างไรให้เหมาะสม

เลือกแอปฝึกภาษาอังกฤษอย่างไรให้เหมาะสม

ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มีความสำคัญมากในการศึกษาและการทำงานในยุคปัจจุบัน การเรียนภาษาอังกฤษจึงเป็นเรื่องที่ควรให้ความสนใจ และเริ่มต้นตั้งแต่เด็ก แต่นอกจากเรียนในห้องเรียนแล้วก็ยังสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยในการฝึกภาษาอังกฤษได้ด้วย นั่นคือ การใช้แอปฝึกภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก แอปฝึกภาษาอังกฤษมีให้เลือกหลากหลาย แต่ละแอปมีคุณสมบัติ วิธีการ และเนื้อหาที่แตกต่างกัน ฉะนั้นการเลือกแอปที่เหมาะสมกับลูกของคุณจึงสำคัญ เพื่อช่วยให้การฝึกทักษะภาษาอังกฤษราบรื่นยิ่งขึ้น

เลือกให้เหมาะสมกับอายุ และระดับการเรียนรู้ของเด็ก

อย่างที่กล่าวไปว่าแอปฝึกภาษาอังกฤษสำหรับเด็กมีหลายแบบ แต่ละแบบมีวิธีการและเนื้อหาที่ต่างกัน การเลือกแอปที่เหมาะสมกับช่วงอายุของเด็กจึงสำคัญ เพื่อให้การเรียนรู้ภาษาอังกฤษเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ฉะนั้นในการเลือกแอปฝึกภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก คุณควรคำนึงถึงอายุและระดับความรู้ของเด็ก เพราะมีผลต่อการเรียนรู้ การจดจำ และการสนใจของเด็ก เช่น สำหรับเด็ก อายุ 3-6 ปี ควรเลือกแอปที่ใช้การเรียนรู้ผ่านการเล่น เช่น แอปฝึกพูดภาษาอังกฤษ และการออกเสียง ด้วยภาพ เสียง และเกมสนุกๆ จึงจะทำให้เด็กสามารถจดจำได้มากขึ้น

เลือกแอปที่มีหลากหลายฟังก์ชัน

แอปฝึกภาษาอังกฤษที่มีหลากหลายฟังก์ชันนั้นอาจสามารถตอบโจทย์เด็กได้มากกว่า เพราะเด็กแต่ละช่วงอายุนั้นจะมีความสนใจที่แตกต่างกันออกไป และสำหรับบางวัยคงไม่สามารถจดจ่อกับอะไรได้นานๆ ฉะนั้นจึงควรเลือกแอปที่มีหลากหลายฟังก์ชัน ไม่ว่าจะเป็นแอปที่ใช้วิดีโอภาษาอังกฤษจากหนังดัง หรือรายการการ์ตูนต่างๆ เป็นสื่อการเรียนรู้ หรือแอปที่ให้ทั้ง 4 การเรียนรู้ทั้งการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน เป็นต้น

เลือกแอปที่มีความหลากหลายทางการเรียนรู้

แอปฝึกภาษาอังกฤษสำหรับเด็กในปัจจุบันนั้นถูกออกแบบมาให้มีวิธีการเรียนรู้หลายแบบ เพื่อเป็นการกระตุ้นความสนใจจากเด็กไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ เพลง บัตรคำศัพท์ เกมและอื่นๆ ผู้ปกครองจึงควรเลือกแอปที่เหมาะสมกับความสนใจและความต้องการของเด็ก ซึ่งหากเด็กชอบเรียนรู้ผ่านวิดีโอ ก็ควรเลือกแอปที่เน้นการให้ความรู้ผ่านหนัง เพลง หรือการ์ตูนก็จะสามารถทำให้เด็กเพลิดเพลินไปกับการเรียนได้

เลือกแอปที่น่าสนใจ และน่าสนุก

เด็กเป็นวัยที่จดจ่ออะไรไม่ได้นาน แต่หากแอปฝึกภาษาอังกฤษมีสีสัน ไอคอน แอนิเมชัน หรืออินเทอร์เฟซที่น่ารัก จะทำให้เด็กๆ อยู่กับสิ่งนั้นได้นานมากขึ้น แต่ผู้ปกครองต้องคอยตรวจสอบไม่ให้เนื้อหาซับซ้อนมากจนเกินไป หรือมีการเสียดสีทางสังคม และควรจัดเวลาเรียนประมาณ 30-45 นาทีต่อวัน จึงจะเป็นเวลาที่เหมาะสม หากเป็นไปได้ผู้ปกครองควรเรียนร่วมกับเด็กๆ ด้วย เพื่อสร้างความสนุกและความผูกพันระหว่างกัน

รวม 11 แอปฝึกภาษาอังกฤษ เพื่อการเรียนรู้ที่ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

รวม 11 แอปฝึกภาษาอังกฤษ เพื่อการเรียนรู้ที่ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

การเรียนภาษาอังกฤษไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป ด้วยแอปฝึกภาษาอังกฤษที่มีให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแอปที่ใช้วิดีโอ เพลง เกม บทสนทนา หรือแบบทดสอบ เพื่อช่วยให้เด็ก ๆ เรียนรู้ภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพและสนุกสนาน ซึ่งแต่ละแอปมีจุดเด่นต่างกัน โดยผู้ปกครองสามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมสำหรับเด็กๆ

1. Monkey Junior

อันดับแรกคือ Monkey Junior พัฒนาโดย Early Start CO.,LTD  ซึ่งเป็นแอปฝึกภาษาอังกฤษที่มีการพัฒนาจากเทคโนโลยี AI ชื่อ M-Speak เพื่อประเมินและให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการออกเสียงของเด็กๆ ในระดับคำ ประโยค และเรื่อง และได้ใช้วิธีการศึกษาตามเกล็น โดแมน ที่เน้นการเรียนรู้ผ่านภาพ นอกจากนี้แอปนี้ยังสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอีกด้วย 

ภายในแอปนั้นรองรับการเรียนถึง 3 ระดับด้วยกันคือ  Monkey ABC, Monkey Stories และ Monkey Speak ซึ่งเหมาะกับเด็กที่อยู่ในวัยกำลังพูด ฝึกฟัง รวมไปจนถึงการจดจำคำศัพท์เล็กๆ น้อยๆ และแม้ว่าแอปจะแนะนำไว้ว่าแอปนี้เหมาะกับเด็กที่อายุ 3 ขวบขึ้นไป แต่จริงๆ แล้วเด็กอายุตั้ง 0-10 ปี ก็สามารถใช้งานได้เช่นกัน ถึงจะมีการซื้อเพิ่มเติมภายในแอป แต่แอปนี้ก็เปิดให้ดาวน์โหลดฟรี

  • ดาวน์โหลด Monkey Junior: iOS | Android

2. LearnEnglish Kids

LearnEnglish Kids เป็นแอปฝึกภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก ที่เต็มไปด้วยวิดีโอที่มีเนื้อหาหลากหลาย เช่น นิทาน เพลง ไวยากรณ์ ฯลฯ แอปนี้ถูกออกแบบและพัฒนาโดย British Council ที่เป็นผู้นำด้านการศึกษาและวัฒนธรรมของโลก ดังนั้นผู้ปกครองสามารถวางใจได้ว่าเด็กๆ จะได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษอย่างมีคุณภาพอย่างแน่นอน 

และด้วยแอปนี้มีภาพน่ารัก คมชัด และสนุกสนาน ทำให้เด็กๆ เรียนรู้ภาษาอังกฤษได้อย่างมีความสุข ทำให้แอปนี้จึงเหมาะสำหรับเด็กอายุ 6–11 ปี ความพิเศษคือไม่มีภาษาไทยในวีดีโอแต่มีเป็นคำบรรยายภาษาอังกฤษแทน เพื่อช่วยให้เด็กๆ ฝึกอ่านและฟังพร้อมกัน นอกจากนี้แอปยังเปิดให้ดาวน์โหลดได้ฟรีอีกด้วย 

  • ดาวน์โหลด LearnEnglish Kids: iOS | Android

3. ChuChu TV Nursery Rhymes Pro

ChuChu TV Nursery Rhymes Pro แอปฝึกภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก ด้วยการ์ตูนสั้นๆ ที่มีเพลงประกอบ แอปนี้ทำให้เด็กๆ เรียนรู้ภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่รู้สึกกดดัน เพราะถูกออกแบบและพัฒนาโดย ChuChu TV Studios LLP ที่เป็นผู้สร้างการ์ตูนสำหรับเด็กที่มีชื่อเสียง อีกข้อดีคือผู้ปกครองสามารถเลือกและจัดการเนื้อหาการเรียนรู้สำหรับเด็กๆ ได้ด้วยตัวเอง โดยภายในแอปนั้นมีการ์ตูนหลายหัวข้อ เช่น สัตว์ ผลไม้ ครอบครัว และความสัมพันธ์ 

โดยแอปนี้เหมาะสำหรับเด็ก 0-5 ปี และไม่มีภาษาไทยในการ์ตูนแต่มีภาพน่ารักมาพร้อมพลงที่ช่วยให้เด็กๆ เข้าใจความหมายได้ง่าย ซึ่งนอกจากจะสอนเรื่องภาษาอังกฤษแล้วก็ยังช่วยพัฒนาบุคลิกภาพให้เด็กอีกด้วย และที่สำคัญยังฟรีอีกด้วย  

  • ดาวน์โหลด ChuChu TV Nursery Rhymes Pro: iOS | Android

4. PalFish English

alFish English แอปฝึกภาษาอังกฤษสำหรับเด็กที่ถูกพัฒนาโดย Palfish ที่เป็นผู้นำด้านการเรียนรู้แบบสองภาษา และส่งเสริมนิสัยรักการอ่านให้เด็กๆ แอปนี้มีหนังสือภาพหลายพันเล่มที่มาจากสำนักพิมพ์ชื่อดัง เช่น Cambridge, Oxford ฯลฯ ซึ่งภายในแอปยังเป็นสอนภาษาอังกฤษให้เด็กๆ ด้วยหนังสือภาพ วิดีโอที่มีเนื้อหาหลากหลาย และเพลงภาษาอังกฤษที่มีแอนิเมชันน่ารักๆ ที่สามารถทำให้เด็กๆ ชอบและเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น สนุกขึ้น และทำให้สามารถเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้อย่างมีคุณภาพ 

ซึ่งแอปนี้เหมาะสำหรับเด็ก 2-12 ปี ที่แม้จะไม่มีภาษาไทยในหนังสือและวิดีโอ แต่มีภาพและเพลงที่ช่วยให้เด็กๆ เข้าใจความหมายได้ นอกจากนี้แอปยังเปิดให้ได้ดาวน์โหลดฟรีอีกด้วย ฉะนั้นหากผู้ปกครองต้องการให้ลูกหลานเรียนภาษาอังกฤษด้วยหนังสือและวิดีโอที่น่าสนใจ แนะนำ PalFish English เลย 

  • ดาวน์โหลด PalFish English: iOS | Android

5. Pili Pop Learn English

Pili Pop Learn English แอปฝึกภาษาอังกฤษสำหรับเด็กที่ถูกออกแบบโดย Unique Heritage Media ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนรู้แบบสองภาษา แอปนี้มีบทเรียนหลายหัวข้อ เช่น สี ตัวเลข เครื่องใช้ อาหาร ฯลฯ ที่ช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ ทำให้แอปนี้เป็นแอปที่สอนภาษาอังกฤษให้เด็กด้วยกิจกรรม 40 รายการที่สนุกและมีประโยชน์  

โดยแอปนี้เหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุ 3 ปีขึ้นไป เพราะแอปนี้ยังมีเกมที่ท้าทายทักษะการฟังและพูดภาษาอังกฤษของเด็กๆ ทำให้เรียนรู้ภาษาอังกฤษได้อย่างไม่รู้สึกเครียดและเบื่อหน่าย นอกจากนี้แอปนี้ยังได้รับรางวัล Parent’ Choice ที่แสดงถึงความน่าเชื่อถือในการสอนภาษาอังกฤษให้เด็กๆ เพราะมีกิจกรรมที่ช่วยเพิ่มการจำคำศัพท์ได้ดี ซึ่งแอปนี้สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี  

  • ดาวน์โหลด Pili Pop Learn English: iOS | Android

6. English For Kids From PMG

English For Kids From PMG แอปฝึกภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก ด้วยบทเรียน 30 บทที่มีคำศัพท์พื้นฐาน 250 คำ ที่จะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้วลีและการผสมคำได้ ซึ่งถูกออกแบบโดย OldCroc Studio ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ แอปนี้มีภาพน่ารัก และเรียบง่าย ทำให้เด็กเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้อย่างไม่ยากลำบาก 

โดยแอปนี้เหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุ 3 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ แอปนี้ยังมีเกมและสื่อการเรียนรู้ที่จะช่วยให้เด็กๆ ทบทวนคำศัพท์ได้ตลอดเวลา โดยสามารถเรียนรู้บทเรียนก่อนหน้าได้ซ้ำๆ แบบไม่น่าเบื่อ แถมยังสามารถดาวน์โหลดได้ฟรี! ฉะนั้นหากว่าลูกของคุณชอบเรียนรู้ผ่านภาพน่ารักหรือภาพที่มีสีสัน แนะนำ English For Kids From PMG เลย 

  • ดาวน์โหลด English For Kids From PMG: iOS | Android

7. ABC Kids

ABC Kids เป็นแอปฝึกภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก ด้วยการเรียนรู้ตัวอักษรและการออกเสียง แอปนี้ถูกคิดค้นโดย RV AppStudios ซึ่งจุดเด่นของแอปนี้คือ การที่ไม่มีภาษาไทยในเนื้อหา ทำให้เหมาะสำหรับผู้ปกครองที่อยากให้เด็กเรียนรู้ภาษาอังกฤษอย่างเต็มที่  

ซึ่งแอพฝึกพูดภาษาอังกฤษนี้เหมาะสำหรับเด็กวัยเตาะแตะและเด็กก่อนวัยเรียน เพราะได้มีการรออกแบบที่สนุกสนานด้วยกิจกรรม 30 รายการที่มีคำศัพท์ 250 คำ ที่จะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้รูปร่างและเสียงของตัวอักษร ทำให้เด็กๆ สามารถเรียนรู้ได้อย่างไม่รู้สึกเบื่อ นอกจากนี้ผู้ปกครองก็ยังสามารถตรวจสอบความก้าวหน้าของลูกได้ เป็นอีกแอปที่เปิดให้ได้ดาวน์โหลดฟรี 

  • ดาวน์โหลด ABC Kids: iOS | Android

8. Fun English

Fun English เป็นแอปฝึกภาษาอังกฤษสำหรับเด็กที่ถูกออกแบบโดย Studycat Limited ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนรู้ภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก ซึ่งภายในแอปสอนภาษาอังกฤษนี้มีหัวข้อการเรียนรู้หลายอย่าง เช่น วัตถุ สัตว์ ผักผลไม้ และภาษาอังกฤษระดับสูง แอปนี้มีเกมที่สนุกและมีประโยชน์ เพราะเด็กๆ สามารถเลือกเรียนรู้ตามความชอบและตามความสนใจ  

ซึ่งแอปนี้เหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุ 3-8 ปี ที่ต้องการพัฒนาด้านการเรียนรู้คำศัพท์ การออกเสียง การพูด และการเขียน และภายในแอปยังมีสำนวนที่จะสอนให้เด็กๆ เรียนรู้ภาษาอังกฤษอย่างเป็นธรรมชาติ โดยแอปนี้สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งใน Android และ iOS  

  • ดาวน์โหลด Fun English: iOS | Android

9. Babilala

Babilala เป็นแอปฝึกภาษาอังกฤษสำหรับเด็กที่ถูกออกแบบโดย EDUPIA CORP ผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนรู้ภาษาอังกฤษที่ได้ออกแบบมาด้วยเนื้อหาที่มีมาตรฐาน CEFR ของยุโรป และตามหลักสูตรของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ซึ่งได้แบ่งการเรียนรู้ทักษะออกเป็น 4 ด้าน ด้วยการเรียนรู้ผ่านตัวละครที่น่ารักและสนุกสนาน ที่จะสอนคำศัพท์และรูปแบบประโยคให้เด็กๆ ในแต่ละบทเรียน  

โดยแอปนี้เหมาะกับเด็กที่มีอายุ 3 ปีขึ้นไปสามารถดาน์โหลดได้ฟรี นอกจากนี้แอปนี้ยังมีเทคโนโลยี iSpeak ที่จะให้คะแนนและแก้ไขการออกเสียงของเด็กๆ ทำให้สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น และอีกข้อดีคือ ผู้ปกครองที่ใช้แอป Babilala สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้หลายอุปกรณ์ ทำให้สะดวกในการดูแลเด็กๆ จากระยะไกล  

  • ดาวน์โหลด Babilala: Android

10. Lingokids

Lingokids เป็นแอปฝึกภาษาอังกฤษสำหรับเด็กผ่านการเล่น (Playlearning™) ที่มาจากบริษัท Lingokids – English Learning For Kids แอปนี้ออกแบบมาให้มีความน่ารักและมีความสนุกสนาน โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนสำหรับเด็กและส่วนสำหรับผู้ปกครอง ส่วนสำหรับเด็กจะมีเนื้อหาการเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น เกม วิดีโอ เพลง และแบบฝึกหัด รวมกว่า 1,200 รายการ และส่วนสำคัญที่ผู้ปกครองจะมีรายงานการเรียนรู้ของเด็ก  

เหมาะสำหรับเด็กอายุ 2-8 ปี แอปนี้สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี แต่เด็กๆ จะสามารถเล่นเกมเพื่อเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้แค่ 3 เกมต่อวัน โดยไม่มีโฆษณา แต่ถ้าซื้อแพ็กเกจในแอป เด็กๆ จะสามารถเข้าถึงเนื้อหาการเรียนรู้ที่มากขึ้น และผู้ปกครองจะได้รับรายงานการเรียนรู้รายสัปดาห์อีกด้วย

  • ดาวน์โหลด Lingokids: iOS | Android

11. bekids Reading

bekids Reading เป็นแอพฝึกภาษาอังกฤษสำหรับเด็กที่มีเนื้อหาจาก Oxford University Press ที่ให้การเรียนรู้ภาษาอังกฤษผ่านการเล่น (Playlearning™) ซึ่งให้เด็กได้อ่านหนังสือเรื่องน่าสนใจที่เหมาะกับระดับการอ่านของเด็ก และเล่นเกมสนุกๆ ที่ช่วยเสริมคำศัพท์ การสะกดคำ และการออกเสียง แอปยังมีเพลงที่ติดหูและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของหนังสือ เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้คำใหม่ๆ อย่างมีความสุข 

โดยเหมาะสำหรับเด็กอายุ 3-8 ปี ที่ต้องการเรียนรู้ภาษาอังกฤษผ่านการอ่านหนังสือ เพราะแอปออกมาให้ถึง 9 ระดับด้วยกัน ซึ่งเริ่มจากคำง่ายๆ ไปจนถึงคำซับซ้อน นอกจากนี้ยังช่วยเด็กฝึกทักษะการอ่าน การเข้าใจเนื้อหา และการทำแบบทดสอบหลังอ่านหนังสือ

  • ดาวน์โหลด Lingokids: iOS | Android
ทำไมการฝึกภาษาอังกฤษผ่านแอปจึงสำคัญ?

ทำไมการฝึกภาษาอังกฤษผ่านแอปจึงสำคัญ?

ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่ใช้ในการสื่อสาร การศึกษา และการทำงาน ทำให้การเรียนรู้ภาษาอังกฤษจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและมีประโยชน์มาก ซึ่งควรใส่ใจตั้งแต่เด็กๆ อย่างไรก็ตามการเรียนภาษาอังกฤษในห้องเรียนอาจจะไม่เพียงพอ ฉะนั้นแอปฝึกภาษาอังกฤษจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะแอปฝึกภาษาอังกฤษนั้นทำสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา สามารถเลือกหัวข้อ ทั้งแอปฝึกพูด ฟัง หรืออ่านภาษาอังกฤษ หรือระดับที่เหมาะสมกับวัยของเด็กได้

สรุป

แอปฝึกภาษาอังกฤษเป็นวิธีการเรียนรู้ที่มีประโยชน์มากสำหรับเด็กๆ แต่อย่างไรก็ตามในการเลือกแอปที่เหมาะสมกับเด็กนั้น ผู้ปกครองจำเป็นต้องศึกษา และทำความเข้าใจกับแอปนั้นก่อนเป็นอย่างแรกว่าเหมาะสำหรับลูกท่านหรือไม่ เพื่อให้การเรียนรู้นั้นเป็นไปได้ด้วยดี  

และหากผู้ปกครองต้องการจะฝึกทักษะภาษาอังกฤษให้กับลูกๆ เพื่อให้เด็กได้มีพัฒนาการทางด้านภาษาอังกฤษที่ดี ไปพร้อมกับการเรียนรู้ที่เพลิดเพลิน ให้ Speak Up เป็นตัวช่วยของคุณ เพราะทาง Speak Up มีครูผู้มีประสบการณ์ และมีเทคนิคการสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กเล็กตั้งแต่ 2.5-12 ปี จึงมั่นใจได้เลยว่าลูกๆ ของคุณจะได้เรียนรู้ทางด้านภาษาอย่างเต็มประสิทธิภาพแน่นอน

เด็กสมาธิสั้นเกิดจากอะไร วิธีแก้สมาธิสั้น พร้อมแนะนำกิจกรรมฝึกสมาธิ

เด็กสมาธิสั้นเกิดจากอะไร วิธีแก้สมาธิสั้น พร้อมแนะนำกิจกรรมฝึกสมาธิ

เด็กสมาธิสั้นอาจบ่งบอกถึงความผิดปกติ ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองควรใส่ใจ หมั่นสังเกตอาการและพฤติกรรมต่างๆ ของเด็ก โดยเฉพาะโรคสมาธิสั้น ซึ่งเป็นโรคที่รู้จักกันดี และอาจจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเด็ก หากรู้เท่าทัน ก็ควรให้เด็กได้รับการรักษาทันที 

บทความนี้จะพาไปดูว่าโรคสมาธิสั้นคืออะไร อาการของเด็กสมาธิสั้นมีลักษณะอย่างไร สาเหตุมาจากอะไร และควรรักษาอย่างไร พร้อมแนะนำกิจกรรมฝึกสมาธิให้กับเด็กๆ เพื่อหลีกเลี่ยงโรคสมาธิสั้น

โรคสมาธิสั้น คืออะไร

ADHD – Attention Deficit Hyperactivity Disorder หรือโรคสมาธิสั้น คือ ภาวะผิดปกติทางจิตเวช ที่เกิดจากความบกพร่องของระบบประสาทพัฒนาการบริเวณสมองส่วนหน้า ส่งผลให้มีสมาธิที่สั้นกว่าปกติ ช่วงอายุของเด็กที่พบได้ค่อนข้างบ่อย คือ ช่วงอายุระหว่าง 3–7 ปี และมักพบในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิงประมาณ 4 เท่า  

ลักษณะอาการที่เด่นๆ ของเด็ก คือ ไขว้เขวง่าย ขาดสมาธิ อยู่ไม่นิ่ง โดยสาเหตุนั้นมาจากสมองส่วนหน้าซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการควบคุมสมาธิ การยับยั้งชั่งใจ การควบคุมตนเองและการจดจ่อ ซึ่งอาจเป็นภาวะเรื้อรังที่เกิดขึ้นได้ตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่

โรคสมาธิสั้น กับภาวะสมาธิสั้นเทียม

ภาวะสมาธิสั้นเทียม (Pseudo-Attention deficit / Hyperactivity disorder) (Pseudo-ADHD) มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับโรคสมาธิสั้น แต่แตกต่างกันตรงที่ภาวะสมาธิสั้นเทียมนั้นหายไปเองได้ แต่โรคสมาธิสั้นต้องรักษา โดยการทานยาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภาวะสมาธิสั้นเทียม มีสาเหตุมาจากการที่เด็กๆ เล่นโทรศัพท์มือถือ ไอแพด แท็บเล็ต หรือดูโทรทัศน์ เป็นระยะเวลานาน โดยขาดระเบียบวินัยการดูแลและการควบคุมของพ่อแม่ ส่งผลให้พฤติกรรมเด็ก มีความก้าวร้าว ไม่ฟังคำสั่ง อารมณ์ร้อน ขัดใจไม่ได้ ทักษะการสื่อสารที่ช้ากว่าเด็กปกติทั่วไป

เช็กด่วน! อาการเด็กสมาธิสั้นมีอะไรบ้าง

เช็กด่วน! อาการเด็กสมาธิสั้นมีอะไรบ้าง

แม้ว่าโรคสมาธิสั้น จะไม่มีอาการเจ็บปวด แต่มักแสดงออกได้ทางด้านพฤติกรรม พ่อแม่ควรรู้เท่าทันและรีบรักษา เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรงในอนาคต เช่น เด็กควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ แล้วพังสิ่งของจนเสียหาย หรือคำพูดมีความรุนแรง หยาบคาย ไม่ฟังคำสั่ง ซึ่งอาการเด็กสมาธิสั้น สามารถสังเกตได้จากพฤติกรรมของเด็ก ดังนี้

1. มีภาวะสมาธิสั้น (Inattention)

  • ขาดสมาธิอย่างต่อเนื่อง (Inattention)
  • เปลี่ยนความสนใจไปหาสิ่งอื่นอย่างง่าย หรือว่อกแว่ก ไปตามสิ่งที่ตัวเองสนใจ
  • มักหลงลืมสิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น แว่นตา กระเป๋าเงิน
  • หลีกเลี่ยงงานที่ต้องใช้สมาธิจดจ่อในการทำต่อเนื่อง
  • ไม่สามารถจัดการตัวเองในเรื่องของการทำงาน เช่น การวางแผนลำดับการทำงาน การจัดการงานกิจกรรมต่างๆ
  • ไม่ฟังคำสั่ง ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง
  • ไม่มีสมาธิในการรับฟังคู่สนทนา
  • ไม่เอาใจใส่ สะเพร่า ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้นานๆ

2. ซุกซนไม่อยู่นิ่ง (Hyperactivity)

  • อารมณ์ฉุนเฉียว เอาแต่ใจ ก้าวร้าว
  • ไม่ชอบการรอคอย
  • ควบคุมตนเองไม่ค่อยได้
  • พูดแทรกในขณะที่ผู้อื่นกำลังพูดอยู่ 
  • พูดไม่หยุด ส่งเสียงดัง 
  • ไม่ชอบนั่งนานๆ ลุกออกจากที่
  • อยู่ไม่นิ่ง ตื่นตัวตลอดเวลา 
  • ขาดความยับยั้งชั่งใจ วู่วาม ขาดความระมัดระวัง

3. มีอารมณ์หุนหันพลันแล่น (Impulsiveness)

  • ควบคุมตัวเองในเรื่องของการแสดงอารมณ์ พฤติกรรม ไม่ได้ 
  • ขาดการยั้งคิด 
  • ไม่มีสมาธิในการจดจ่อกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างต่อเนื่อง 
  • ไม่สามารถยับยั้งตัวเองจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
สาเหตุของอาการเด็กสมาธิสั้น

สาเหตุของอาการเด็กสมาธิสั้น

อาการเด็กสมาธิสั้น  มาจากความบกพร่องของสารเคมีในสมอง หรือมาจากพันธุกรรม โดยเด็กที่เกิดมาจากครอบครัวที่มีโรคสมาธิสั้น ทำให้เด็กมีโอกาสเป็นโรคสมาธิสั้นได้มากกว่าเด็กคนอื่นๆ หรือเกิดจากปัจจัยสิ่งแวดล้อม เช่น ในขณะที่เด็กอยู่ในครรภ์ แม่ของเด็กมีการสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า หรือเด็กได้รับสารพิษบางอย่างหลังจากได้คลอดแล้ว เช่น ยาฆ่าแมลง สารตะกั่ว รวมไปถึงภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์และการคลอดก่อนกำหนด หรือมาจากผลการเลี้ยงดูของพ่อแม่ เช่น พ่อแม่ไม่มีเวลาเลี้ยงดู ทำให้ เด็กติดมือถือ มากเกินไป ส่งผลให้ลูกสมาธิสั้นได้ง่ายๆ

ผลกระทบที่เกิดจากอาการสมาธิสั้นในเด็ก

อาการเด็กสมาธิสั้น มักจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ของเด็ก ซึ่งมักจะทำให้เด็กๆ นั้นเรียนได้ไม่เต็มศักยภาพ จนเกิดปัญหาในการเรียน ไม่ว่าจะเป็นการไม่เข้าใจเรื่องที่คุณครูสอน ทักษะการเขียน การอ่าน การพูดไม่ค่อยดี ไม่มีสมาธิในการตั้งใจหรือจดจ่อ

การรักษาโรคสมาธิสั้นในเด็ก

การรักษาโรคสมาธิสั้นสำหรับเด็ก สามารถทำได้โดยการป้องกัน หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง ให้พ่อแม่สังเกตอาการของลูกๆ ถ้าหากมีอาการ ให้พาลูกไปพบแพทย์ เพื่อได้รับการรักษาทันที โดยแนวทางการรักษา ก็มีทั้งการปรับเปลี่ยนแนวทางการใช้ชีวิต รวมไปถึงการใช้ยาในการรักษาร่วมด้วย ดังนี้

การรักษาด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

สำหรับการรักษาด้วยการปรับพฤติกรรมสมาธิสั้นในเด็ก  ให้เริ่มจากที่บ้านก่อน ดังนี้

  1. พ่อแม่ทำข้อตกลงและตารางเวลาให้ชัดเจน เพื่อให้เด็กรู้จักการวางแผน การแบ่งเวลา และการเรียงลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำ
  2. พูดคุยกับเด็กให้ชัดเจน ด้วยถ้อยคำที่กระชับ เข้าใจง่าย และควรระมัดระวังในการใช้น้ำเสียงที่ดุดัน
  3. ทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว เช่น เล่นกีฬา วาดรูป เพื่อให้เด็กไม่จดจ่ออยู่กับหน้าจอโทรศัพท์ 

ต่อไปให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเมื่ออยู่โรงเรียนดังนี้

  1. จัดโต๊ะเรียนให้เด็กนั่งข้างหน้ากระดาน ไม่ติดประตูหรือหน้าต่าง เพื่อหลีกเลี่ยงความคิดการออกไปนอกห้องเรียน 
  2. ให้คุณครูดึงความสนใจในขณะที่เด็กไม่มีสมาธิ อย่างเช่น ให้ช่วยเหลือเพื่อนๆ ช่วยแจกสมุดหนังสือ ทั้งนี้คุณครูต้องพูดด้วยถ้อยคำสุภาพ ห้ามแสดงความไม่พอใจ 
  3. เมื่อเด็กทำงาน ทำการบ้านหรือสิ่งที่ได้รับมอบหมายสำเร็จ ให้คุณครูกล่าวคำชมเชย เพื่อเป็นแรงจูงใจในการทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายต่อไป

การรักษาด้วยการใช้ยา

สำหรับการรักษาด้วยการใช้ยา จะมีกลุ่มยาอยู่ 2 ประเภท ดังนี้

  1. กลุ่มยาที่กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและสมอง ซึ่งเป็นยาที่มีความปลอดภัย ที่ช่วยกระตุ้นการหลั่งของสารสื่อประสาท เมื่อเด็กได้รับการทานยากลุ่มนี้ จะช่วยให้เด็กมีสมาธิมากขึ้น สามารถควบคุมตัวเองได้ 
  2. กลุ่มยาที่ไม่ออกฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและสมอง ใช้สำหรับเด็กที่ทนกับยาที่กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและสมองไม่ได้  หรือใช้เป็นยาเสริม
5 กิจกรรมฝึกสมาธิ หลีกเลี่ยงภาวะสมาธิสั้นในเด็ก

5 กิจกรรมฝึกสมาธิ หลีกเลี่ยงภาวะสมาธิสั้นในเด็ก

วิธีแก้สมาธิสั้น ด้วยการฝึกสมาธิจากการทำกิจกรรมต่างๆ เป็นสิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถใช้เป็นอีกทางเลือกในการรักษาเด็กสมาธิสั้น ร่วมไปกับการใช้ยาในทางการแพทย์ได้ โดยสามารถเลือกทำกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ได้ ดังนี้

1. กิจกรรมกลางแจ้ง ออกกำลังกาย

การทำกิจกรรมการแจ้ง เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นปลูกต้นไม้ หรือออกกำลังกาย เช่น วิ่ง เดิน ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิก หรือออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ ซึ่งการทำกิจกรรมกลางแจ้ง และการออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตระบบเผาผลาญ เสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงมากขึ้น ส่งผลให้เด็กสมาธิสั้น มีความสามารถในการควบคุมสมาธิ ให้ความสนใจกับกิจกรรมที่ทำมากขึ้น

2. ฝึกทักษะด้านภาษา การอ่าน การเขียน

เด็กสมาธิสั้น มักจะมีปัญหาในเรื่องของการอ่าน การเขียน และการพูด รวมถึงด้านภาษา ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรให้ความสนใจ  โดยการฝึกทักษะด้านภาษา การอ่าน การเขียน เพื่อฝึกสมาธิ อย่างเช่น ในเรื่องของการอ่าน อาจจะเริ่มต้นจากการนำหนังสือที่เด็กชอบมาให้เด็กอ่าน ไม่ว่าจะเป็นนิทาน สารคดี ประวัติศาสตร์ จากนั้นพูดคุยถึงสิ่งที่อ่าน ให้เน้นเป็นการเล่าเรื่องให้ฟัง ส่วนการฝึกเขียนให้เด็กนั้นได้ฝึกเขียนบ่อยๆ เพื่อที่จะทำให้สายตาและมือ สามารถทำงานประสานกันได้ดี เช่น เขียนบรรยาย เรื่องเล่าในชีวิตประจำวัน สำหรับการฝึกทักษะด้านภาษา อาจจะเริ่มจากการอ่านให้เด็กฟัง แล้วให้พูดตาม

3. ทำกิจกรรมฝึกเข้าร่วมสังคม

เด็กสมาธิสั้นส่วนมาก มักจะมีปัญหาในเรื่องของการไม่มีเพื่อน ซึ่งการทำกิจกรรมฝึกเข้าร่วมสังคม จะช่วยให้เด็กควบคุมตัวเองได้เวลาอยู่กับคนเยอะๆ หรือเวลาเจอปัญหา ก็สามารถใจเย็นและหาทางแก้ปัญหาได้ เช่น ฝึกให้รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักการให้อภัย การขอโทษ การแสดงน้ำใจ การเคารพผู้อื่น รวมไปถึงการเข้าใจถึงความรู้ของคนรอบข้าง

4. ทำกิจกรรมฝึกสมาธิ

การทำกิจกรรมฝึกสมาธิ จะช่วยให้เด็กมีความตั้งใจและมีสมาธิมากยิ่งขึ้น อย่างเช่น การเล่นเกมเสริมทักษะ ได้แก่ เกมทายตัวเลข ทายภาพ ทายตัวอักษร หรือเกมกระดาน เช่น โดมิโน ซึ่งการฝึกสมาธิด้วยการเล่นเกมฝึกทักษะ สามารถช่วยส่งเสริมทักษะด้านสมาธิได้ อีกทั้งยังทำให้เด็กมีความสนใจกับกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ โดยให้พ่อแม่เล่นร่วมกับเด็กไปด้วย

5. ฝึกทักษะความสามารถด้านศิลปะและดนตรี

การฝึกทักษะความสามารถด้านศิลปะและดนตรี ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ส่งเสริมทักษะด้านสมาธิได้เป็นอย่างดี เพราะทั้งด้านศิลปะและดนตรี เป็นกิจกรรมที่ต้องใช้ความตั้งใจสูง อย่างเช่น การประดิษฐ์ของเล่นจากวัสดุเหลือใช้ การทำภาพติดปะ การเป่าสีลงบนกระดาษ การร้องเพลง การเล่นเครื่องดนตรีต่างๆ ถือได้ว่าเป็นกิจกรรมที่สนุก ไม่น่าเบื่อ สร้างสรรค์ สามารถดึงความสนใจให้เด็กจดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่ได้

สรุป

โรคสมาธิสั้น คือ ภาวะผิดปกติทางจิตเวช ที่เกิดจากความบกพร่องของระบบประสาทพัฒนาการบริเวณสมองส่วนหน้า โดยสาเหตุนั้นมาจากสมองส่วนหน้าซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการควบคุมสมาธิ การยับยั้งชั่งใจ การควบคุมตนเองและการจดจ่อ หรือเกิดจากปัจจัยสิ่งแวดล้อม เช่น ในขณะที่เด็กอยู่ในครรภ์ แม่ของเด็กมีการสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า หรือมาจากผลการเลี้ยงดูของพ่อแม่ เช่น พ่อแม่ไม่มีเวลาเลี้ยงดู ทำให้ เด็กติดมือถือ มากเกินไป ส่งผลให้ลูกสมาธิสั้นได้ง่ายๆ ส่งผลให้พฤติกรรมของเด็ก มีความก้าวร้าว ไม่ฟังคำสั่ง อารมณ์ร้อน ขัดใจไม่ได้ ทักษะการสื่อสารที่ช้ากว่าเด็กปกติทั่วไป  

อย่างไรก็ตาม เด็กสมาธิสั้นสามารถทำกิจกรรมที่ฝึกสมาธิ ไม่จดจ่ออยู่กับหน้าจอ เช่น ออกกำลังกาย ฝึกภาษา เล่นเกมเสริมทักษะ ฝึกเข้าร่วมสังคม และฝึกทักษะความสามารถด้านศิลปะและดนตรี สำหรับใครที่กำลังมองหากิจกรรม เพื่อเสริมสร้างการมีสมาธิให้กับเด็กๆ ที่ SpeakUp Language Center เป็นสถาบันสอนภาษาสำหรับเด็กเล็กที่มีอายุ 2.5 ถึง 12 ปี ทางสถาบันมีครูมืออาชีพ มากประสบการณ์ และมีเทคนิคการสอนภาษาที่หลากหลาย ประยุกต์มาสอนให้แตกต่างกันไปตามช่วงวัย ทำให้สามารถพัฒนาการทางด้านภาษาของเด็กได้ดี เด็กสามารถนำไปใช้สื่อสารได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งผู้ปกครองยังสามารถหากิจกรรม เคลื่อนไหว ฝึกสมาธิ ฝึกกล้ามเนื้อ ฝึกเข้าสังคม และเข้าร่วมกิจกรรมฝึกสมาธิได้กับทางสถาบัน

เลี้ยงลูกแบบ BLW ฝึกให้ลูกน้อยจับอาหารกินด้วยตัวเอง ทำได้อย่างไร

เลี้ยงลูกแบบ BLW ฝึกให้ลูกน้อยจับอาหารกินด้วยตัวเอง ทำได้อย่างไร

การรับประทานอาหารของลูกน้อยนั้น ควรจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามวัย เมื่อลูกยังเล็ก ผู้ปกครองยังต้องป้อนให้ก่อน แต่เมื่อลูกเริ่มโตขึ้น หยิบจับสิ่งของได้ด้วยตัวเองแล้ว ผู้ปกครองควรเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงมาเป็นเลี้ยงลูกแบบ BLW ที่ให้ลูกหยิบอาหารกินเอง เพื่อส่งเสริมพัฒนาการให้ลูกเติบโตสมวัยยิ่งขึ้น

บทความนี้จะพาไปรู้จักว่า BLW คืออะไร ควรเริ่มตอนไหน อาหารไหนที่เหมาะสม ข้อดีของ BLW และข้อควรรู้ต่างๆ สำหรับการเลี้ยงลูกแบบ BLW มีอะไรบ้าง ไปดูกันเล

การเลี้ยงลูกแบบ BLW คืออะไร

การเลี้ยงลูกแบบ BLW คือ Baby Led Weaning หมายถึง การเลี้ยงลูกโดยให้ลูกรับประทานอาหารด้วยตนเอง ด้วยการใช้มือหยิบ โดยที่ผู้ปกครองไม่ต้องคอยช่วยป้อนอาหารให้ โดยอาหารจะเน้นไปที่สิ่งที่มีประโยชน์และเหมาะสมกับเด็กเล็ก เช่น ผักต้ม ไข่ต้ม ผลไม้สุก เนื้อสัตว์ต่างๆ โดยเริ่มจากอาหารที่มีเนื้อสัมผัสที่ละเอียดก่อน แล้วค่อยเพิ่มอาหารที่มีเนื้อสัมผัสแข็งทีละน้อยๆ

ทำไมต้องเลี้ยงลูกแบบ BLW

ปกติแล้วถ้าลูกน้อยมีอายุยังไม่ถึง 6 เดือน ผู้ปกครองมักจะป้อนอาหารนิ่มๆ ที่ผ่านการบดจนละเอียด หรือเป็นอาหารเหลวให้แก่ลูกน้อย แต่เมื่อลูกๆ โตขึ้นก็มักจะกินยาก เคี้ยวยาก อมข้าว ไม่ยอมเคี้ยว หรืออาจจะเคี้ยวไม่เป็น เพราะกินแต่อาหารบดมานาน บางครั้งก็มีติดเล่น เลือกอาหาร ไม่ยอมกินให้หมด ทำให้เหล่าผู้ปกครองต่างก็เหนื่อยใจไปตามๆ กัน แต่การเลี้ยงลูกแบบ BLW นั้น จะเป็นการฝึกให้ลูกน้อยได้มีทักษะของการกินอาหารด้วยตัวเอง ช่วยให้ลูกเจริญอาหารมากขึ้น ส่งเสริมพัฒนาการและการเติบโตที่สมวัย แถมยังได้รับสารอาหารที่เพียงพออีกด้วย

เลี้ยงลูกแบบ BLW ได้ตั้งแต่ตอนไหน

หากถามว่าควรเริ่มเลี้ยงลูกแบบ BLW ตอนกี่เดือนดี ก็ควรเริ่มเมื่อทารกมีอายุได้ 6 เดือน เพราะเป็นช่วงที่เด็กกำลังหย่านมพอดี และยังมีงานวิจัยออกมาอีกว่า ช่วงระยะเวลาที่ลูกน้อยมีอายุครบ 6 เดือน คือช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดที่จะฝึกลูกให้ทานอาหารด้วยตนเอง โดยมีข้อสังเกตอยู่เช่นกันว่าควรเลี้ยงลูกแบบ BLW แล้วหรือยัง ดังนี้

  • ลูกสามารถนั่งเก้าอี้ High Chair หรือเก้าอี้ทานข้าวเด็กได้แล้ว
  • ลูกเริ่มควบคุมต้นคอได้ มีคอที่แข็งแรง
  • ลูกเริ่มหยิบจับเอาสิ่งของเข้าปาก
  • ลูกมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 เท่า ของน้ำหนักตอนแรกเกิด
  • ลูกไม่มีอาการดันลิ้นแล้ว ซึ่งเป็นอาการที่มักจะหายไปในช่วงอายุ 4-6 เดือน แต่หากยังมีอาการนี้อยู่ ก็ยังไม่ควรให้ลูกกินอาหารด้วยตนเอง
เลี้ยงลูกแบบ BLW เลือกอาหารแบบไหนดี

เลี้ยงลูกแบบ BLW เลือกอาหารแบบไหนดี

การเลี้ยงลูกแบบ BLW ควรให้ลูกน้อยรับประทานอาหารที่มีเนื้อนิ่ม ละเอียด กลืนง่าย ไม่เสี่ยงต่อการสำลัก โดยจะแบ่งลักษณะอาหารเป็น 2 แบบใหญ่ๆ ตามการใช้มือจับ ดังนี้

1. Palmar Grasp

เป็นทักษะของเด็กวัย 6 เดือนขึ้นไป ที่มักจะใช้มือจับสิ่งของด้วยอุ้งมือ คือจะใช้ทุกนิ้วในการจับอาหาร และจะกินได้เฉพาะอาหารที่โผล่พ้นออกมาจากมือ ดังนั้นอาหารจึงต้องมีขนาดประมาณนิ้วชี้ของผู้ใหญ่ ซึ่งมีขนาดที่พอดี มีความหนาพอเหมาะ ทำให้ลูกสามารถหยิบจับได้สะดวก

ยกตัวอย่างอาหารได้แก่ กล้วยหั่นครึ่ง กีวีหั่นชิ้น ขนมปังหั่นชิ้น แครอทต้มหั่นชิ้น บรอกโคลีต้มหั่นชิ้น ไข่ต้มหั่นชิ้น ฝรั่งหั่นซีกบางๆ เป็นต้น

2. Pincer Grasp

เป็นทักษะของเด็กวัย 9 เดือนขึ้นไป ซึ่งมักจะหยิบจับของที่มีขนาดเล็กได้ โดยการใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งหยิบขึ้นมา คล้ายกับการจับดินสอ จึงทำให้ลูกสามารถหยิบจับอาหารที่มีขนาดเล็กลงกินเองได้ จึงควรหั่นอาหารให้มีขนาดเล็กลงกว่าเดิม เพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านการจับของลูก

ยกตัวอย่างอาหาร เช่น มะละกอหั่นเต๋า มันฝรั่งหันเต๋า กล้วยหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เต้าหู้หั่นเต๋า แซลมอนหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ อกไก่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เป็นต้น

สารอาหารแบบไหน เหมาะกับการเลี้ยงลูกแบบ BLW

เลี้ยงลูกแบบ BLW เลือกอาหารแบบไหนดี

เมื่อเลี้ยงลูกแบบ BLW ผู้ปกครองก็ต้องคอยดูสารอาหารที่จำเป็นสำหรับเด็กที่เพิ่งจะหย่านมด้วย ซึ่งควรมีสารอาหาร ดังนี้

1. ธาตุเหล็ก

ธาตุเหล็กมีหน้าที่ในการนำออกซิเจนส่งไปหล่อเลี้ยงทั่วร่างกายตามกล้ามเนื้อและอวัยวะต่างๆ รวมทั้งมีส่วนช่วยในการพัฒนาสมอง เนื่องจากการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในเด็กเล็ก อาหารที่มีธาตุเหล็กและเหมาะจะนำมาเลี้ยงลูกแบบ BLW ได้แก่ เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว ไข่ ถั่ว เต้าหู้ เป็นต้น

2. โปรตีน

โปรตีนเป็นองค์ประกอบสำคัญในการรองรับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกและเด็กเล็ก อาหารที่มีโปรตีนและเหมาะจะนำมาเลี้ยงลูกแบบ BLW ได้แก่ เนื้อปลา เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว ไข่ ถั่ว เต้าหู้ ชีส โยเกิร์ต ธัญพืช เป็นต้น

3. ไขมัน

ทารกต้องการไขมันเพื่อเป็นพลังงาน เพื่อช่วยดูดซึมสารอาหาร และไขมันบางชนิด เช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งมีความจำเป็นต่อการพัฒนาสมอง อาหารที่มีไขมันดีและเหมาะจะนำมาเลี้ยงลูกแบบ BLW ได้แก่ อาโวคาโด เนื้อปลา โยเกิร์ตไขมันเต็ม ชีสไขมันเต็ม น้ำมันมะกอก เนย ไข่ เป็นต้น

4. ผักและผลไม้

ผักและผลไม้เต็มไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่เหมาะสม แถมยังมีกากใยอาหารที่จะทำให้ลูกน้อยไม่ท้องผูกอีกด้วย ผักและผลไม้ที่เหมาะจะนำมาเลี้ยงลูกแบบ BLW ได้แก่ แครอทปรุงสุก บรอกโคลีปรุงสุก ดอกกะหล่ำปรุงสุก มันเทศปรุงสุก มันฝรั่งปรุงสุก บวบปรุงสุก แตงกวา แอปเปิลสุก กีวี อาโวคาโด กล้วย มะม่วงสุก แคนตาลูป แตงโม เป็นต้น

อาหารที่ไม่ควรให้กินเมื่อเลี้ยงลูกแบบ BLW

แม้ว่าการเลี้ยงลูกแบบ BLW ลูกๆ จะสามารถรับประทานอาหารที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ได้หลากหลายชนิด แต่ก็มีบางชนิดที่เป็นข้อยกเว้น ได้แก่

  • อาหารที่มีลักษณะแข็ง เช่น ข้าวโพด ถั่วต่างๆ แป้งตอร์ติญ่า
  • อาหารที่ไม่ได้ปรุงสุก เช่น ผักดิบ เนื้อดิบต่างๆ
  • อาหารที่มีลักษณะเหนียว เช่น เนยถั่ว
  • อาหารที่เป็นเม็ดกลมๆ มีขนาดเล็ก เพราะอาจจะทำให้ติดคอได้ เช่น ผลไม้ตระกูลเบอรี่ องุ่น
  • อาหารที่เป็นอันตรายต่อเด็กอายุไม่ถึง 12 เดือน เช่น แอปเปิลดิบ มะเขือเทศราชินี ผลไม้แห้ง ฮอทดอก มั่นฝรั่งทอด พ็อปคอร์น ปลาที่มีก้าง เนื้อสัตว์ชิ้นใหญ่ เป็นต้น

วิธีการกินแบบ BLW

วิธีการเลี้ยงลูกให้กินแบบ BLW นั้นไม่ยาก ผู้ปกครองสามารถให้ลูกฝึกทักษะได้ด้วยตนเอง ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้

  • เมื่อลูกน้อยถึงวัยที่ควรกินอาหารเสริมนอกจากนมแล้ว ผู้ปกครองต้องเริ่มฝึกให้ลูกนั่งเก้าอี้เด็กที่ใช้สำหรับทานข้าวหรือ High Chair ได้อย่างมั่นคง และเริ่มฝึกให้ลูกใช้มือหยิบอาหารกินเอง
  • ผู้ปกครองต้องเตรียมอาหารให้ลูกแบบไม่ต้องบดหรือปั่น แต่เป็นอาหารนิ่มๆ ที่หั่นเป็นชิ้นๆ ให้ลูกสามารถหยิบกินได้ถนัดมือ ขนาดประมาณนิ้วชี้ผู้ใหญ่
  • เมื่อลูกคุ้นเคยกับการหยิบจับอาหารกินเองแล้ว ก็เริ่มให้อาหารที่คล้ายผู้ใหญ่กินได้ อาจจะปรุงรสนิดหน่อยหรือไม่ต้องปรุงรสก็ได้ แต่ก็ต้องหลีกเลี่ยงอาหารต้องห้ามและเสี่ยงที่ทำให้ติดคอด้วย
  • เวลาเตรียมอาหารให้ลูกน้อยกิน ควรจัดใส่จานหรือใส่ถาด ล้างมือลูกให้สะอาด ให้ลูกใส่ผ้ากันเปื้อน อาจจะปูพลาสติกกันเลอะที่โต๊ะหรือที่พื้นด้วยก็ได้

เลี้ยงลูกแบบ BLW เลือกอาหารแบบไหนดี

ถ้าจะให้การเลี้ยงลูกแบบ BLW เป็นไปได้อย่างราบรื่น ก็ควรหาอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่จะช่วยสนับสนุนให้ลูกได้มีประสบการณ์ในการรับประทานอาหารเองได้

เก้าอี้นั่ง High Chair

การจะเลี้ยงลูกแบบ BLW สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องมีคือ High Chair ซึ่งจะต้องมีความมั่นคงแข็งแรง รองรับน้ำหนักได้ดี ผลิตจากวัสดุที่ปลอดภัย มีเข็มขัดล็อกนิรภัย สามารถปรับระดับความสูงได้ มีถาดอาหารรองรับ และที่สำคัญต้องพอดีกับขนาดตัวของลูกน้อย เก้าอี้กินข้าวเด็กเป็นสิ่งสำคัญเพราะจะช่วยให้ฝึกลูกนั่งทานอาหารกับคุณผู้ปกครองได้อย่างปลอดภัย

ผ้า Bib กันเปื้อน

สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการเลี้ยงลูกแบบ BLW ก็คือผ้ากันเปื้อน Bib ควรเป็นแบบซิลิโคนที่สามารถทำความสะอาดได้ง่าย และควรมีช่องเก็บของขนาดใหญ่ที่ไม่เปลี่ยนรูปร่างได้ง่าย เพื่อรองรับเศษอาหารที่หล่นลงมา และเพื่อป้องกันเสื้อผ้าของลูกน้อยไม่ให้สกปรกด้วย

ผ้ายางกันเปื้อน

ถ้าอยากจะเลี้ยงลูกแบบ BLW และไม่อยากเหนื่อยจนเกินไป ควรหาผ้ายางกันเปื้อนมารองพื้นหรือโต๊ะเวลาที่ลูกรับประทานอาหารไว้ด้วย เพราะจะช่วยป้องกันเศษอาหารร่วงลงบนพื้นจนความสะอาดได้ยาก

จานข้าว

จานข้าวเป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้สำหรับการเลี้ยงลูกแบบ BLW ซึ่งควรเป็นจานที่ผลิตจากวัสดุที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน เกรดอาหาร ปลอดภัยต่อลูกน้อย ไม่แตกหักง่าย สามารถใส่อาหารได้ทั้งร้อนและเย็น อาจมีลวดลายการ์ตูนน่ารักๆ เพื่อเชิญชวนให้ลูกอยากอาหารมากขึ้นก็ได้ ซึ่งอาจจะเป็นจานซิลิโคนหรือเป็นสเตนเลสก็ได้

ช้อนฝึกกิน

อีกหนึ่งอุปกรณ์ที่สำคัญไม่แพ้กันสำหรับการเลี้ยงลูกแบบ BLW ก็คือช้อนฝึกกินนั่นเอง โดยควรเป็นช้อนที่ผลิตจากวัสดุที่ปลอดภัยเช่นกัน อย่างซิลิโคน และควรมีขนาดที่พอดีกับตัวลูก สามารถรองรับอาหารได้พอเหมาะ มีด้ามสั้น เพื่อลูกจะได้หยิบจับได้ถนัดมือ

แก้วน้ำฝึกดื่ม

สำหรับอุปกรณ์อย่างสุดท้ายที่ควรมีกับการเลี้ยงลูกแบบ BLW ก็คือแก้วน้ำฝึกดื่ม ซึ่งควรผลิตจากวัสดุที่ปลอดภัย เกรดอาหาร ควรมีที่จับทั้งสองด้าน อาจเป็นแก้วแบบหลอดดูดหรือแบบเปิด ที่ขนาดพอดีกับมือของลูก

ข้อดีและข้อเสียของการเลี้ยงลูกแบบ BLW

เลี้ยงลูกแบบ BLW เลือกอาหารแบบไหนดี

วิธีการเลี้ยงลูกแบบ BLW มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรรู้ เพื่อให้สามารถเลี้ยงลูกได้อย่างถูกวิธี และให้ลูกได้เติบโตได้อย่างสมวัย มีพัฒนาการที่ดี โดยการเลี้ยงลูกแบบ BLW มีข้อดีข้อเสีย ดังนี้

ข้อดีของ BLW

  • ลูกได้ฝึกทักษะตามวัย : ลูกจะได้ใช้ทักษะต่างๆ ทั้งการหยิบ การจับ การมองเห็น การดมกลิ่น การลิ้มรส การเคี้ยว การทำงานที่ประสานกันของตาและมือ ซึ่งช่วยส่งเสริมพัฒนาการของลูกให้เจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้น
  • ลูกได้ฝึกทักษะการจดจำ : ลูกจะได้สัมผัสกับรสชาติและลักษณะของอาหารต่างๆ ซึ่งช่วยในการจดจำว่าอาหารแต่ละอย่างมีหน้าตา ลักษณะ และรสชาติเป็นอย่างไร ซึ่งส่งผลดีต่อการพัฒนาของสมอง
  • ลูกไม่เสี่ยงเป็นโรคอ้วน : เนื่องจากการที่ลูกกินอาหารเป็นมื้อ จะทำให้ผู้ปกครองกำหนดปริมาณและสารอาหารอาหารในแต่ละมื้อได้อย่างเหมาะสม

ข้อเสียของ BLW

  • อาจทำให้สกปรกเลอะเทอะ : ความสกปรกเลอะเทอะคือสิ่งแรกที่ต้องเจอในการเลี้ยงลูกแบบ BLW เพราะลูกเพิ่งจะหัดกินด้วยตนเอง ดังนั้นเศษอาหารอาจจะหล่นตามพื้น เลอะเสื้อบ้าง ก็ถือเป็นเรื่องปกติ
  • ต้องคอยเฝ้าดู : แม้ว่าลูกสามารถกินข้าวด้วยตนเองได้ในระดับหนึ่งแล้ว แต่ผู้ปกครองก็ต้องคอยเฝ้าดูว่าลูกสามารถกินอาหารเองได้หมดหรือไม่ มีอาการติดคอหรือสำลักหรือเปล่า เพื่อจะได้ช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที
  • อาจเสี่ยงต่อการขาดธาตุเหล็ก : ใน 4 เดือนแรก นมแม่จะมีปริมาณธาตุเหล็กที่เพียงพอต่อความต้องการของลูกน้อย แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปธาตุเหล็กในนมแม่จะลดลง ดังนั้นเมื่อเริ่มให้ลูกกินอาหารด้วยตนเอง ก็ต้องอย่าลืมดูว่าอาหารที่ให้มีปริมาณธาตุเหล็กที่ลูกต้องการเพียงพอหรือไม่อีกด้วย

ข้อแนะนำในการเลี้ยงลูกแบบ BLW ครั้งแรก

  • อย่าใจร้อน : เริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ครั้งแรกอาจจะทุลักทุเลสักหน่อย เพราะก้าวแรกย่อมยากเสมอ แต่พอค่อยๆ ให้ลูกหัดกินด้วยตนเองไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นเอง
  • อย่าบังคับ : ในตอนแรกๆ ลูกอาจจะยังไม่ค่อยคุ้นชินกับการหยิบจับอาหารกินเอง ผู้ปกครองก็ต้องอดใจไว้ อย่าไปบังคับ พยายามสร้างความสนใจให้ลูกกินอาหารด้วยตนเอง ซึ่งอาจจะใช้ระยะเวลาสักหน่อย
  • ปรับเปลี่ยนได้ : ในช่วงแรกๆ อาจจะยังไม่ต้องให้ลูกกินอาหารอย่างเดียว ห้ามดื่มนมเลย อาจมีปรับเปลี่ยนให้ลูกดื่มนมได้บ้าง ตามความเหมาะสม เพื่อที่ลูกและตัวผู้ปกครองเองจะได้ไม่เครียดเกินไป
  • อาหารต้องนิ่ม ชิ้นต้องเล็ก : ข้อสำคัญในการเลี้ยงลูกแบบ BLW อาหารที่เตรียมนั้นต้องมีลักษณะนิ่ม และชิ้นต้องเล็กขนาดพอดีให้ลูกสามารถหยิบเข้าปากได้ เพื่อป้องกันการติดคอและสำลักด้วย
  • ให้ลูกสนุกกับการกิน : ผู้ปกครองอาจจะหาวิธีต่างๆ เพื่อเชิญชวนให้ลูกกินอาหารด้วยตนเอง อาจจะกินให้ดูเป็นตัวอย่าง หรือเมื่อลูกกินได้ด้วยตนเองก็ปรบมือชมให้กำลังใจไปด้วยก็ได้

ข้อควรรู้ในการเลี้ยงลูกแบบ BLW

  • ลูกต้องนั่งได้เองก่อน : ลูกต้องรู้จักทรงตัวด้วยตนเองให้ได้ก่อน เพื่อความปลอดภัย
  • ต้องมีคนอยู่ด้วยตลอดเวลา : เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด เช่น ติดคอ สำลัก เป็นต้น
  • ต้องรู้จักการปฐมพยาบาลเบื้องต้น : เช่น เมื่อลูกติดคอ ต้องรู้วิธีที่จะทำให้เศษอาหารหลุดออกมาอย่างปลอดภัย
  • ไม่ให้ลูกกินอาหารต้องห้าม : เช่น ปลาที่มีก้าง เนื้อสัตว์ติดกระดูก อาหารดิบ เมล็ดผลไม้ ไส้กรอก พ็อปคอร์น เป็นต้น
  • มีอุปกรณ์ตัวช่วยสำหรับเด็ก : เช่น เก้าอี้ High Chair ผ้ากันเปื้อน แก้วหัดดื่ม เป็นต้น
  • ลูกอาจจะมีเล่นบ้างกินบ้าง : เป็นธรรมชาติของเด็ก ซึ่งผู้ปกครองต้องทำความเข้าใจ และไม่บังคับให้ลูกกินอย่างเดียว เพราะอาจจะทำให้เด็กไม่ชอบการกินอาหารด้วยตนเองได้

สรุป

ให้ลูกสามารถกินอาหารเองได้ แยกอาหารได้ด้วยตัวเองจากความคุ้นชิน นอกจากนี้ตัวผู้ปกครองเองก็สามารถควบคุมปริมาณและสารอาหารที่เหมาะสมกับตัวเด็กได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงลูกแบบ BLW ก็มีข้อจำกัดและข้อควรระวังตามที่ได้กล่าวไปในบทความนี้ ผู้ปกครองที่อยากเลี้ยงลูกแบบ BLW จึงควรใส่ใจในจดนี้ให้ดี เพื่อพัฒนาการที่ดี และปลอดภัยในตัวเด็ก

เช่นเดียวกับการเรียนภาษาที่ควรเรียนตามวัย แบบที่ Speak Up สถาบันสอนภาษาสำหรับเด็ก ซึ่งเปิดสอนตั้งแต่วัย 2.5 – 12 ปี โดยแต่ละวัยก็มีการเรียนการสอนที่ต่างกัน เพื่อให้เด็กๆ เรียนรู้ และได้ความรู้อย่างเต็มที่

Leadership คืออะไร และเทคนิคเลี้ยงลูกอย่างไรให้มีทักษะการเป็นผู้นำ

Leadership คืออะไร และเทคนิคเลี้ยงลูกอย่างไรให้มีทักษะการเป็นผู้นำ

Leadership เป็นหนึ่งในทักษะสำคัญในชีวิตที่เด็กจะต้องเรียนรู้ และควรฝึกให้เด็กมีทักษะการเป็นผู้นำตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งทักษะนี้คืออะไร? แล้วจะเสริมสร้างให้เด็กๆ มีทักษะนี้ได้อย่างไร ในบทความนี้ Speak Up มีคำตอบ! ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลย

Leadership คืออะไร?

Leadership คืออะไร?

Leadership หรือ ภาวะความเป็นผู้นํานั้น หมายถึง ความสามารถในการชี้นําและจูงใจ ผู้อื่นให้ทํางานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยผู้นําต้องมีวิสัยทัศน์ มีความสามารถในการวางแผนกลยุทธ์ สื่อสารได้ดี ซึ่งสิ่งสําคัญที่ผู้นำควรมีคือความซื่อสัตย์ เป็นแบบอย่างที่ดี กล้าตัดสินใจ ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง และเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น จึงจะสามารถนําพาทุกคนไปสู่ความสําเร็จได้อย่างราบรื่น

ทักษะการเป็นผู้นำ สำคัญต่อเด็กอย่างไร

ทักษะการเป็นผู้นำ สำคัญต่อเด็กอย่างไร

การมีทักษะการเป็นผู้นําจะช่วยให้เด็กมีความมั่นใจ กล้าแสดงออก ไม่เก็บกดความรู้สึก และกล้าตัดสินใจ ซึ่งจะช่วยพัฒนาความมั่นใจในตัวเองได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยฝึกให้เด็กรู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ทํางานร่วมกับผู้อื่นได้ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้เพื่อนๆ โดยเด็กที่มีภาวะผู้นําจะสามารถนําทักษะนี้ไปต่อยอดในการเรียน การทํางาน และชีวิตประจําวันได้ในอนาคต เช่น กล้าแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียน การทํางานร่วมกับเพื่อนร่วมงานได้ดี หรืออาจพัฒนาเป็นหัวหน้ากลุ่มที่ดีได้ ดังนั้น การส่งเสริมทักษะผู้นําให้เด็กตั้งแต่เล็กๆ  จึงเป็นสิ่งสําคัญมาก

5 Skill Leader ในเด็กควรมีอะไรบ้าง

วิธีตัดการกระดาษจีน

5 Leadership Skill มีอะไรบ้าง? โดยทั่วไปแล้ว ผู้ปกครอง หรือคุณพ่อคุณแม่ควรสอนหรือชี้นำเด็กๆ ให้มีคุณสมบัติในการเสริมสร้างทักษะการเป็นผู้นำ ดังนี้

1. การสื่อสาร การปรับตัว และการเข้าสังคม (Context Management)

การสื่อสาร การปรับตัว และการเข้าสังคม (Context Management) เป็นทักษะที่ช่วยให้เด็กกล้าแสดงออก และเข้าสังคมกับผู้อื่นได้ดี เช่น กล้าแนะนําตัวเองกับเพื่อนใหม่ กล้าถามทางคนแปลกหน้า หรือแบ่งของเล่นให้เพื่อน ซึ่งจะช่วยให้เด็กเป็นผู้นําได้ดีในอนาคต

2. ความกล้าที่จะตัดสินใจเอง (Decision-Making)

ความกล้าที่จะตัดสินใจ (Decision-Making) จะช่วยให้เด็กกล้าคิด กล้าตัดสินใจเอง ไม่ถูกกระแสสังคมชักนำ เช่น กล้าเลือกทํากิจกรรมตามความสนใจของตัวเอง ไม่เลือกตามผู้อื่นเพราะกลัวไม่มีเพื่อน เป็นต้น ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญอันดับต้นๆ ของการมีทักษะการเป็นผู้นำ

3. ความเห็นใจผู้อื่น (Empathy)

ความเห็นใจผู้อื่น (Empathy) เป็นทักษะที่จำเป็นอย่างหนึ่งใน Skill Leader โดยความหมายของ Empathy คือ ความสามารถในการมองเห็นมุมมอง และความรู้สึกของผู้อื่น เข้าใจความต้องการของผู้อื่นโดยไม่ตัดสิน ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่เห็นเพื่อนเศร้า จะเข้าไปเล่นด้วยเพื่อปลอบใจ หรือการแบ่งขนมให้เพื่อนที่กำลังหิว ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวนี้จะช่วยให้เด็กเป็นผู้นําที่เข้าใจผู้อื่น และช่วยเหลือผู้อื่นในอนาคตได้อย่างดี

4. ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Agility)

ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Agility) คือความสามารถในการจัดการอารมณ์ตนเองได้อย่างเหมาะสม โดยเด็กที่มีทักษะนี้ หากเกิดความโกรธ จะสามารถหยุดนิ่งสงบสติได้ และไม่ปล่อยให้การแสดงออกทางอารมณ์รุนแรงจนเกินไป จะช่วยให้เด็กเป็นผู้นําที่มีสติ อดทน ไม่หุนหันพลันแล่นตามอารมณ์นั่นเอง

5. ซื่อสัตย์ จริงใจ (Truthfulness)

การที่เด็กมีความซื่อสัตย์ (Truthfulness) จริงใจต่อตนเองและผู้อื่น กล้ายอมรับผิดเมื่อทําผิด จะช่วยให้ได้รับความเชื่อถือ และไว้วางใจจากผู้อื่น สามารถเป็นผู้นําได้อย่างมีศักดิ์ศรีและเกียรติยศ ตัวอย่างเช่น ในสถานการณ์ที่เด็กยอมรับว่าทําของเล่นของเพื่อนแตกโดยไม่ปิดบัง หรือโยนความผิดให้ผู้อื่น

เทคนิคในการเลี้ยงลูกให้มี Leadership

เทคนิคในการเลี้ยงลูกให้มี Leadership

การเลี้ยงดูส่งเสริมด้านความคิด และพฤติกรรมจากพ่อแม่ ก็เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการสร้างความเป็นผู้นำให้กับเด็กเช่นกัน โดยเทคนิคการเลี้ยงดูที่สามารถเสริมสร้าง Leadership Skills มีอะไรบ้าง? ไปดูกันเลย

ส่งเสริมให้ได้รู้จักตัวเอง

พ่อแม่สามารถทําได้โดยการสนับสนุนให้ลูกทํากิจกรรมตามความสนใจ เช่น ถ้าลูกชอบวาดรูป  พ่อแม่อาจส่งเสริมด้วยการซื้อสีเทียนให้ลูกวาด หรือถ้าชอบร้องเพลง ก็ส่งเสริมให้เข้าร่วมกิจกรรมร้องเพลง ซึ่งจะช่วยให้เด็กได้ค้นพบจุดแข็ง และความถนัดของตนเอง การทําให้เด็กรู้จักตัวเองจะช่วยพัฒนาความมั่นใจและกล้าแสดงออก ซึ่งเป็นคุณสมบัติสําคัญของ Leadership

สอนให้ตัดสินใจด้วยตัวเอง

พ่อแม่ควรให้โอกาสลูกได้ตัดสินใจเลือกด้วยตนเองบ่อยๆ เช่น ให้เลือกเสื้อผ้าที่จะใส่ หรือให้เลือกทํากิจกรรมที่สนใจ จะช่วยฝึกให้เด็กกล้าตัดสินใจโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น ซึ่งความสามารถในการตัดสินใจเป็นลักษณะสําคัญของ Leadership  การสอนตั้งแต่อายุยังน้อย จะเป็นการสร้างทักษะนี้ได้ดี

ฝึกการฟัง และการจดจำเรื่องราว

ฝึกการฟัง และการจดจำเรื่องราว

พ่อแม่ควรสนทนากับลูกโดยให้ลูกมีส่วนร่วม เช่น ถามความคิดเห็นลูก หรือให้ลูกเล่าเรื่องราวต่างๆ จะช่วยฝึกทักษะการจดจําได้ดีเป็นส่วนนึงของพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของเด็กนั่นเอง

คุยกับลูกให้เหมือนผู้ใหญ่

คุณสมบัติของความเป็นผู้นำมีมากมายหลายอย่าง ซึ่งความสำคัญอย่างหนึ่งในการเสริมสร้าง  Leadership Skill คือ การที่พ่อและแม่ฝึกให้ลูกรู้จักการสื่อสารอย่างสุภาพ และมีสัมมาคารวะ เหมือนการพูดคุยระหว่างผู้ใหญ่ด้วยกัน

สอนให้รู้จักการเป็นผู้ให้

การสอนให้ลูกรู้จักการเป็นผู้ให้ เช่น ฝึกแบ่งของเล่นให้น้อง หรือบริจาคของเล่นเก่าให้กับเพื่อนที่ขาดแคลน จะช่วยฝึกให้เด็กมีจิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความรับผิดชอบต่อสังคม และเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม เป็นลักษณะของทักษะการเป็นผู้นําที่เข้มแข็ง

ฝึกให้คิดวิเคราะห์

การฝึกให้ลูกรู้จักคิดวิเคราะห์ โดยตั้งคําถามที่กระตุ้นให้เด็กคิด พ่อแม่สามารถทําได้โดยการตั้งคําถามให้ลูกคิด เช่น เมื่อลูกเล่าเรื่องราวหรือปัญหามา พ่อแม่สามารถถามว่า “ลูกคิดว่าควรจะทําอย่างไรดี” เพื่อให้ลูกฝึกวิเคราะห์สถานการณ์ และหาทางออกด้วยตัวเอง ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ

สอนเรื่องการควบคุมอารมณ์

สอนเรื่องการควบคุมอารมณ์

พ่อแม่สามารถอธิบายผลกระทบของอารมณ์โกรธ และวิธีการหยุดนิ่งสงบสติเมื่อโกรธ เช่น หายใจเข้า-ออกลึกๆ นับ 1-10 หรือเดินไปที่อื่นสักพัก ซึ่งจะช่วยให้เด็กเรียนรู้วิธีจัดการอารมณ์อย่างเหมาะสม

กระตุ้นให้มีส่วนร่วมกับกิจกรรม

การกระตุ้นให้ลูกมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อฝึกทักษะ Leadership สามารถทําได้โดยให้เด็กร่วมกิจกรรมกลุ่มต่างๆ ทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน เช่น จัดกิจกรรมร่วมกันในวันหยุด

ปลูกฝังให้มีความอดทน

ปลูกฝังให้ลูกมีความอดทน โดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จําเป็นสําหรับผู้นํา พ่อแม่ควรปลูกฝังความอดทนให้ลูก โดยชมเชยเมื่อลูกไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และพยายามอย่างเต็มที่ จะช่วยให้ลูกเป็นผู้นําที่เข้มแข็งและอดทนได้

สรุป

Leadership หรือ ภาวะความเป็นผู้นํา คือความสามารถในการชี้นํา และจูงใจผู้อื่นให้ทํางานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยทักษะการเป็นผู้นําจะช่วยให้เด็กมีความมั่นใจ กล้าแสดงออก ไม่เก็บกดความรู้สึก และกล้าตัดสินใจ 

สำหรับพ่อแม่ หรือผู้ปกครองที่กำลังสนใจในการเรียนรู้ และเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่างๆ ให้กับเด็ก เราขอแนะนำ Speak Up  สถาบันสอนภาษาสำหรับเด็ก ที่มีหลักสูตรการสอนและการทำกิจกรรมร่วมกับการเล่นเกมต่างๆ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการให้เด็กเล็ก เด็กอนุบาล จนถึงเด็กประถม ที่อยู่ในช่วงอายุ 2 ขวบครึ่ง ถึง 12 ปี ซึ่งทางสถาบันสอนภาษา Speak Up  จะช่วยให้เด็กๆ ได้ใช้ทักษะการเป็นผู้นำ และเรียนรู้ร่วมกับเพื่อนๆ ได้เป็นอย่างดี