fbpx

เลี้ยงลูกแบบ BLW ฝึกให้ลูกน้อยจับอาหารกินด้วยตัวเอง ทำได้อย่างไร

สารบัญ
เลี้ยงลูกแบบ BLW ฝึกให้ลูกน้อยจับอาหารกินด้วยตัวเอง ทำได้อย่างไร

เลี้ยงลูกแบบ BLW ฝึกให้ลูกน้อยจับอาหารกินด้วยตัวเอง ทำได้อย่างไร

การรับประทานอาหารของลูกน้อยนั้น ควรจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามวัย เมื่อลูกยังเล็ก ผู้ปกครองยังต้องป้อนให้ก่อน แต่เมื่อลูกเริ่มโตขึ้น หยิบจับสิ่งของได้ด้วยตัวเองแล้ว ผู้ปกครองควรเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงมาเป็นเลี้ยงลูกแบบ BLW ที่ให้ลูกหยิบอาหารกินเอง เพื่อส่งเสริมพัฒนาการให้ลูกเติบโตสมวัยยิ่งขึ้น

บทความนี้จะพาไปรู้จักว่า BLW คืออะไร ควรเริ่มตอนไหน อาหารไหนที่เหมาะสม ข้อดีของ BLW และข้อควรรู้ต่างๆ สำหรับการเลี้ยงลูกแบบ BLW มีอะไรบ้าง ไปดูกันเล

การเลี้ยงลูกแบบ BLW คืออะไร

การเลี้ยงลูกแบบ BLW คือ Baby Led Weaning หมายถึง การเลี้ยงลูกโดยให้ลูกรับประทานอาหารด้วยตนเอง ด้วยการใช้มือหยิบ โดยที่ผู้ปกครองไม่ต้องคอยช่วยป้อนอาหารให้ โดยอาหารจะเน้นไปที่สิ่งที่มีประโยชน์และเหมาะสมกับเด็กเล็ก เช่น ผักต้ม ไข่ต้ม ผลไม้สุก เนื้อสัตว์ต่างๆ โดยเริ่มจากอาหารที่มีเนื้อสัมผัสที่ละเอียดก่อน แล้วค่อยเพิ่มอาหารที่มีเนื้อสัมผัสแข็งทีละน้อยๆ

ทำไมต้องเลี้ยงลูกแบบ BLW

ปกติแล้วถ้าลูกน้อยมีอายุยังไม่ถึง 6 เดือน ผู้ปกครองมักจะป้อนอาหารนิ่มๆ ที่ผ่านการบดจนละเอียด หรือเป็นอาหารเหลวให้แก่ลูกน้อย แต่เมื่อลูกๆ โตขึ้นก็มักจะกินยาก เคี้ยวยาก อมข้าว ไม่ยอมเคี้ยว หรืออาจจะเคี้ยวไม่เป็น เพราะกินแต่อาหารบดมานาน บางครั้งก็มีติดเล่น เลือกอาหาร ไม่ยอมกินให้หมด ทำให้เหล่าผู้ปกครองต่างก็เหนื่อยใจไปตามๆ กัน แต่การเลี้ยงลูกแบบ BLW นั้น จะเป็นการฝึกให้ลูกน้อยได้มีทักษะของการกินอาหารด้วยตัวเอง ช่วยให้ลูกเจริญอาหารมากขึ้น ส่งเสริมพัฒนาการและการเติบโตที่สมวัย แถมยังได้รับสารอาหารที่เพียงพออีกด้วย

เลี้ยงลูกแบบ BLW ได้ตั้งแต่ตอนไหน

หากถามว่าควรเริ่มเลี้ยงลูกแบบ BLW ตอนกี่เดือนดี ก็ควรเริ่มเมื่อทารกมีอายุได้ 6 เดือน เพราะเป็นช่วงที่เด็กกำลังหย่านมพอดี และยังมีงานวิจัยออกมาอีกว่า ช่วงระยะเวลาที่ลูกน้อยมีอายุครบ 6 เดือน คือช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดที่จะฝึกลูกให้ทานอาหารด้วยตนเอง โดยมีข้อสังเกตอยู่เช่นกันว่าควรเลี้ยงลูกแบบ BLW แล้วหรือยัง ดังนี้

  • ลูกสามารถนั่งเก้าอี้ High Chair หรือเก้าอี้ทานข้าวเด็กได้แล้ว
  • ลูกเริ่มควบคุมต้นคอได้ มีคอที่แข็งแรง
  • ลูกเริ่มหยิบจับเอาสิ่งของเข้าปาก
  • ลูกมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 เท่า ของน้ำหนักตอนแรกเกิด
  • ลูกไม่มีอาการดันลิ้นแล้ว ซึ่งเป็นอาการที่มักจะหายไปในช่วงอายุ 4-6 เดือน แต่หากยังมีอาการนี้อยู่ ก็ยังไม่ควรให้ลูกกินอาหารด้วยตนเอง
เลี้ยงลูกแบบ BLW เลือกอาหารแบบไหนดี

เลี้ยงลูกแบบ BLW เลือกอาหารแบบไหนดี

การเลี้ยงลูกแบบ BLW ควรให้ลูกน้อยรับประทานอาหารที่มีเนื้อนิ่ม ละเอียด กลืนง่าย ไม่เสี่ยงต่อการสำลัก โดยจะแบ่งลักษณะอาหารเป็น 2 แบบใหญ่ๆ ตามการใช้มือจับ ดังนี้

1. Palmar Grasp

เป็นทักษะของเด็กวัย 6 เดือนขึ้นไป ที่มักจะใช้มือจับสิ่งของด้วยอุ้งมือ คือจะใช้ทุกนิ้วในการจับอาหาร และจะกินได้เฉพาะอาหารที่โผล่พ้นออกมาจากมือ ดังนั้นอาหารจึงต้องมีขนาดประมาณนิ้วชี้ของผู้ใหญ่ ซึ่งมีขนาดที่พอดี มีความหนาพอเหมาะ ทำให้ลูกสามารถหยิบจับได้สะดวก

ยกตัวอย่างอาหารได้แก่ กล้วยหั่นครึ่ง กีวีหั่นชิ้น ขนมปังหั่นชิ้น แครอทต้มหั่นชิ้น บรอกโคลีต้มหั่นชิ้น ไข่ต้มหั่นชิ้น ฝรั่งหั่นซีกบางๆ เป็นต้น

2. Pincer Grasp

เป็นทักษะของเด็กวัย 9 เดือนขึ้นไป ซึ่งมักจะหยิบจับของที่มีขนาดเล็กได้ โดยการใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งหยิบขึ้นมา คล้ายกับการจับดินสอ จึงทำให้ลูกสามารถหยิบจับอาหารที่มีขนาดเล็กลงกินเองได้ จึงควรหั่นอาหารให้มีขนาดเล็กลงกว่าเดิม เพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านการจับของลูก

ยกตัวอย่างอาหาร เช่น มะละกอหั่นเต๋า มันฝรั่งหันเต๋า กล้วยหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เต้าหู้หั่นเต๋า แซลมอนหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ อกไก่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เป็นต้น

สารอาหารแบบไหน เหมาะกับการเลี้ยงลูกแบบ BLW

เลี้ยงลูกแบบ BLW เลือกอาหารแบบไหนดี

เมื่อเลี้ยงลูกแบบ BLW ผู้ปกครองก็ต้องคอยดูสารอาหารที่จำเป็นสำหรับเด็กที่เพิ่งจะหย่านมด้วย ซึ่งควรมีสารอาหาร ดังนี้

1. ธาตุเหล็ก

ธาตุเหล็กมีหน้าที่ในการนำออกซิเจนส่งไปหล่อเลี้ยงทั่วร่างกายตามกล้ามเนื้อและอวัยวะต่างๆ รวมทั้งมีส่วนช่วยในการพัฒนาสมอง เนื่องจากการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในเด็กเล็ก อาหารที่มีธาตุเหล็กและเหมาะจะนำมาเลี้ยงลูกแบบ BLW ได้แก่ เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว ไข่ ถั่ว เต้าหู้ เป็นต้น

2. โปรตีน

โปรตีนเป็นองค์ประกอบสำคัญในการรองรับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกและเด็กเล็ก อาหารที่มีโปรตีนและเหมาะจะนำมาเลี้ยงลูกแบบ BLW ได้แก่ เนื้อปลา เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว ไข่ ถั่ว เต้าหู้ ชีส โยเกิร์ต ธัญพืช เป็นต้น

3. ไขมัน

ทารกต้องการไขมันเพื่อเป็นพลังงาน เพื่อช่วยดูดซึมสารอาหาร และไขมันบางชนิด เช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งมีความจำเป็นต่อการพัฒนาสมอง อาหารที่มีไขมันดีและเหมาะจะนำมาเลี้ยงลูกแบบ BLW ได้แก่ อาโวคาโด เนื้อปลา โยเกิร์ตไขมันเต็ม ชีสไขมันเต็ม น้ำมันมะกอก เนย ไข่ เป็นต้น

4. ผักและผลไม้

ผักและผลไม้เต็มไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่เหมาะสม แถมยังมีกากใยอาหารที่จะทำให้ลูกน้อยไม่ท้องผูกอีกด้วย ผักและผลไม้ที่เหมาะจะนำมาเลี้ยงลูกแบบ BLW ได้แก่ แครอทปรุงสุก บรอกโคลีปรุงสุก ดอกกะหล่ำปรุงสุก มันเทศปรุงสุก มันฝรั่งปรุงสุก บวบปรุงสุก แตงกวา แอปเปิลสุก กีวี อาโวคาโด กล้วย มะม่วงสุก แคนตาลูป แตงโม เป็นต้น

อาหารที่ไม่ควรให้กินเมื่อเลี้ยงลูกแบบ BLW

แม้ว่าการเลี้ยงลูกแบบ BLW ลูกๆ จะสามารถรับประทานอาหารที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ได้หลากหลายชนิด แต่ก็มีบางชนิดที่เป็นข้อยกเว้น ได้แก่

  • อาหารที่มีลักษณะแข็ง เช่น ข้าวโพด ถั่วต่างๆ แป้งตอร์ติญ่า
  • อาหารที่ไม่ได้ปรุงสุก เช่น ผักดิบ เนื้อดิบต่างๆ
  • อาหารที่มีลักษณะเหนียว เช่น เนยถั่ว
  • อาหารที่เป็นเม็ดกลมๆ มีขนาดเล็ก เพราะอาจจะทำให้ติดคอได้ เช่น ผลไม้ตระกูลเบอรี่ องุ่น
  • อาหารที่เป็นอันตรายต่อเด็กอายุไม่ถึง 12 เดือน เช่น แอปเปิลดิบ มะเขือเทศราชินี ผลไม้แห้ง ฮอทดอก มั่นฝรั่งทอด พ็อปคอร์น ปลาที่มีก้าง เนื้อสัตว์ชิ้นใหญ่ เป็นต้น

วิธีการกินแบบ BLW

วิธีการเลี้ยงลูกให้กินแบบ BLW นั้นไม่ยาก ผู้ปกครองสามารถให้ลูกฝึกทักษะได้ด้วยตนเอง ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้

  • เมื่อลูกน้อยถึงวัยที่ควรกินอาหารเสริมนอกจากนมแล้ว ผู้ปกครองต้องเริ่มฝึกให้ลูกนั่งเก้าอี้เด็กที่ใช้สำหรับทานข้าวหรือ High Chair ได้อย่างมั่นคง และเริ่มฝึกให้ลูกใช้มือหยิบอาหารกินเอง
  • ผู้ปกครองต้องเตรียมอาหารให้ลูกแบบไม่ต้องบดหรือปั่น แต่เป็นอาหารนิ่มๆ ที่หั่นเป็นชิ้นๆ ให้ลูกสามารถหยิบกินได้ถนัดมือ ขนาดประมาณนิ้วชี้ผู้ใหญ่
  • เมื่อลูกคุ้นเคยกับการหยิบจับอาหารกินเองแล้ว ก็เริ่มให้อาหารที่คล้ายผู้ใหญ่กินได้ อาจจะปรุงรสนิดหน่อยหรือไม่ต้องปรุงรสก็ได้ แต่ก็ต้องหลีกเลี่ยงอาหารต้องห้ามและเสี่ยงที่ทำให้ติดคอด้วย
  • เวลาเตรียมอาหารให้ลูกน้อยกิน ควรจัดใส่จานหรือใส่ถาด ล้างมือลูกให้สะอาด ให้ลูกใส่ผ้ากันเปื้อน อาจจะปูพลาสติกกันเลอะที่โต๊ะหรือที่พื้นด้วยก็ได้

เลี้ยงลูกแบบ BLW เลือกอาหารแบบไหนดี

ถ้าจะให้การเลี้ยงลูกแบบ BLW เป็นไปได้อย่างราบรื่น ก็ควรหาอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่จะช่วยสนับสนุนให้ลูกได้มีประสบการณ์ในการรับประทานอาหารเองได้

เก้าอี้นั่ง High Chair

การจะเลี้ยงลูกแบบ BLW สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องมีคือ High Chair ซึ่งจะต้องมีความมั่นคงแข็งแรง รองรับน้ำหนักได้ดี ผลิตจากวัสดุที่ปลอดภัย มีเข็มขัดล็อกนิรภัย สามารถปรับระดับความสูงได้ มีถาดอาหารรองรับ และที่สำคัญต้องพอดีกับขนาดตัวของลูกน้อย เก้าอี้กินข้าวเด็กเป็นสิ่งสำคัญเพราะจะช่วยให้ฝึกลูกนั่งทานอาหารกับคุณผู้ปกครองได้อย่างปลอดภัย

ผ้า Bib กันเปื้อน

สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการเลี้ยงลูกแบบ BLW ก็คือผ้ากันเปื้อน Bib ควรเป็นแบบซิลิโคนที่สามารถทำความสะอาดได้ง่าย และควรมีช่องเก็บของขนาดใหญ่ที่ไม่เปลี่ยนรูปร่างได้ง่าย เพื่อรองรับเศษอาหารที่หล่นลงมา และเพื่อป้องกันเสื้อผ้าของลูกน้อยไม่ให้สกปรกด้วย

ผ้ายางกันเปื้อน

ถ้าอยากจะเลี้ยงลูกแบบ BLW และไม่อยากเหนื่อยจนเกินไป ควรหาผ้ายางกันเปื้อนมารองพื้นหรือโต๊ะเวลาที่ลูกรับประทานอาหารไว้ด้วย เพราะจะช่วยป้องกันเศษอาหารร่วงลงบนพื้นจนความสะอาดได้ยาก

จานข้าว

จานข้าวเป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้สำหรับการเลี้ยงลูกแบบ BLW ซึ่งควรเป็นจานที่ผลิตจากวัสดุที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน เกรดอาหาร ปลอดภัยต่อลูกน้อย ไม่แตกหักง่าย สามารถใส่อาหารได้ทั้งร้อนและเย็น อาจมีลวดลายการ์ตูนน่ารักๆ เพื่อเชิญชวนให้ลูกอยากอาหารมากขึ้นก็ได้ ซึ่งอาจจะเป็นจานซิลิโคนหรือเป็นสเตนเลสก็ได้

ช้อนฝึกกิน

อีกหนึ่งอุปกรณ์ที่สำคัญไม่แพ้กันสำหรับการเลี้ยงลูกแบบ BLW ก็คือช้อนฝึกกินนั่นเอง โดยควรเป็นช้อนที่ผลิตจากวัสดุที่ปลอดภัยเช่นกัน อย่างซิลิโคน และควรมีขนาดที่พอดีกับตัวลูก สามารถรองรับอาหารได้พอเหมาะ มีด้ามสั้น เพื่อลูกจะได้หยิบจับได้ถนัดมือ

แก้วน้ำฝึกดื่ม

สำหรับอุปกรณ์อย่างสุดท้ายที่ควรมีกับการเลี้ยงลูกแบบ BLW ก็คือแก้วน้ำฝึกดื่ม ซึ่งควรผลิตจากวัสดุที่ปลอดภัย เกรดอาหาร ควรมีที่จับทั้งสองด้าน อาจเป็นแก้วแบบหลอดดูดหรือแบบเปิด ที่ขนาดพอดีกับมือของลูก

ข้อดีและข้อเสียของการเลี้ยงลูกแบบ BLW

เลี้ยงลูกแบบ BLW เลือกอาหารแบบไหนดี

วิธีการเลี้ยงลูกแบบ BLW มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรรู้ เพื่อให้สามารถเลี้ยงลูกได้อย่างถูกวิธี และให้ลูกได้เติบโตได้อย่างสมวัย มีพัฒนาการที่ดี โดยการเลี้ยงลูกแบบ BLW มีข้อดีข้อเสีย ดังนี้

ข้อดีของ BLW

  • ลูกได้ฝึกทักษะตามวัย : ลูกจะได้ใช้ทักษะต่างๆ ทั้งการหยิบ การจับ การมองเห็น การดมกลิ่น การลิ้มรส การเคี้ยว การทำงานที่ประสานกันของตาและมือ ซึ่งช่วยส่งเสริมพัฒนาการของลูกให้เจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้น
  • ลูกได้ฝึกทักษะการจดจำ : ลูกจะได้สัมผัสกับรสชาติและลักษณะของอาหารต่างๆ ซึ่งช่วยในการจดจำว่าอาหารแต่ละอย่างมีหน้าตา ลักษณะ และรสชาติเป็นอย่างไร ซึ่งส่งผลดีต่อการพัฒนาของสมอง
  • ลูกไม่เสี่ยงเป็นโรคอ้วน : เนื่องจากการที่ลูกกินอาหารเป็นมื้อ จะทำให้ผู้ปกครองกำหนดปริมาณและสารอาหารอาหารในแต่ละมื้อได้อย่างเหมาะสม

ข้อเสียของ BLW

  • อาจทำให้สกปรกเลอะเทอะ : ความสกปรกเลอะเทอะคือสิ่งแรกที่ต้องเจอในการเลี้ยงลูกแบบ BLW เพราะลูกเพิ่งจะหัดกินด้วยตนเอง ดังนั้นเศษอาหารอาจจะหล่นตามพื้น เลอะเสื้อบ้าง ก็ถือเป็นเรื่องปกติ
  • ต้องคอยเฝ้าดู : แม้ว่าลูกสามารถกินข้าวด้วยตนเองได้ในระดับหนึ่งแล้ว แต่ผู้ปกครองก็ต้องคอยเฝ้าดูว่าลูกสามารถกินอาหารเองได้หมดหรือไม่ มีอาการติดคอหรือสำลักหรือเปล่า เพื่อจะได้ช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที
  • อาจเสี่ยงต่อการขาดธาตุเหล็ก : ใน 4 เดือนแรก นมแม่จะมีปริมาณธาตุเหล็กที่เพียงพอต่อความต้องการของลูกน้อย แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปธาตุเหล็กในนมแม่จะลดลง ดังนั้นเมื่อเริ่มให้ลูกกินอาหารด้วยตนเอง ก็ต้องอย่าลืมดูว่าอาหารที่ให้มีปริมาณธาตุเหล็กที่ลูกต้องการเพียงพอหรือไม่อีกด้วย

ข้อแนะนำในการเลี้ยงลูกแบบ BLW ครั้งแรก

  • อย่าใจร้อน : เริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ครั้งแรกอาจจะทุลักทุเลสักหน่อย เพราะก้าวแรกย่อมยากเสมอ แต่พอค่อยๆ ให้ลูกหัดกินด้วยตนเองไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นเอง
  • อย่าบังคับ : ในตอนแรกๆ ลูกอาจจะยังไม่ค่อยคุ้นชินกับการหยิบจับอาหารกินเอง ผู้ปกครองก็ต้องอดใจไว้ อย่าไปบังคับ พยายามสร้างความสนใจให้ลูกกินอาหารด้วยตนเอง ซึ่งอาจจะใช้ระยะเวลาสักหน่อย
  • ปรับเปลี่ยนได้ : ในช่วงแรกๆ อาจจะยังไม่ต้องให้ลูกกินอาหารอย่างเดียว ห้ามดื่มนมเลย อาจมีปรับเปลี่ยนให้ลูกดื่มนมได้บ้าง ตามความเหมาะสม เพื่อที่ลูกและตัวผู้ปกครองเองจะได้ไม่เครียดเกินไป
  • อาหารต้องนิ่ม ชิ้นต้องเล็ก : ข้อสำคัญในการเลี้ยงลูกแบบ BLW อาหารที่เตรียมนั้นต้องมีลักษณะนิ่ม และชิ้นต้องเล็กขนาดพอดีให้ลูกสามารถหยิบเข้าปากได้ เพื่อป้องกันการติดคอและสำลักด้วย
  • ให้ลูกสนุกกับการกิน : ผู้ปกครองอาจจะหาวิธีต่างๆ เพื่อเชิญชวนให้ลูกกินอาหารด้วยตนเอง อาจจะกินให้ดูเป็นตัวอย่าง หรือเมื่อลูกกินได้ด้วยตนเองก็ปรบมือชมให้กำลังใจไปด้วยก็ได้

ข้อควรรู้ในการเลี้ยงลูกแบบ BLW

  • ลูกต้องนั่งได้เองก่อน : ลูกต้องรู้จักทรงตัวด้วยตนเองให้ได้ก่อน เพื่อความปลอดภัย
  • ต้องมีคนอยู่ด้วยตลอดเวลา : เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด เช่น ติดคอ สำลัก เป็นต้น
  • ต้องรู้จักการปฐมพยาบาลเบื้องต้น : เช่น เมื่อลูกติดคอ ต้องรู้วิธีที่จะทำให้เศษอาหารหลุดออกมาอย่างปลอดภัย
  • ไม่ให้ลูกกินอาหารต้องห้าม : เช่น ปลาที่มีก้าง เนื้อสัตว์ติดกระดูก อาหารดิบ เมล็ดผลไม้ ไส้กรอก พ็อปคอร์น เป็นต้น
  • มีอุปกรณ์ตัวช่วยสำหรับเด็ก : เช่น เก้าอี้ High Chair ผ้ากันเปื้อน แก้วหัดดื่ม เป็นต้น
  • ลูกอาจจะมีเล่นบ้างกินบ้าง : เป็นธรรมชาติของเด็ก ซึ่งผู้ปกครองต้องทำความเข้าใจ และไม่บังคับให้ลูกกินอย่างเดียว เพราะอาจจะทำให้เด็กไม่ชอบการกินอาหารด้วยตนเองได้

สรุป

ให้ลูกสามารถกินอาหารเองได้ แยกอาหารได้ด้วยตัวเองจากความคุ้นชิน นอกจากนี้ตัวผู้ปกครองเองก็สามารถควบคุมปริมาณและสารอาหารที่เหมาะสมกับตัวเด็กได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงลูกแบบ BLW ก็มีข้อจำกัดและข้อควรระวังตามที่ได้กล่าวไปในบทความนี้ ผู้ปกครองที่อยากเลี้ยงลูกแบบ BLW จึงควรใส่ใจในจดนี้ให้ดี เพื่อพัฒนาการที่ดี และปลอดภัยในตัวเด็ก

เช่นเดียวกับการเรียนภาษาที่ควรเรียนตามวัย แบบที่ Speak Up สถาบันสอนภาษาสำหรับเด็ก ซึ่งเปิดสอนตั้งแต่วัย 2.5 – 12 ปี โดยแต่ละวัยก็มีการเรียนการสอนที่ต่างกัน เพื่อให้เด็กๆ เรียนรู้ และได้ความรู้อย่างเต็มที่

Leadership คืออะไร และเทคนิคเลี้ยงลูกอย่างไรให้มีทักษะการเป็นผู้นำ

Leadership คืออะไร และเทคนิคเลี้ยงลูกอย่างไรให้มีทักษะการเป็นผู้นำ

Leadership เป็นหนึ่งในทักษะสำคัญในชีวิตที่เด็กจะต้องเรียนรู้ และควรฝึกให้เด็กมีทักษะการเป็นผู้นำตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งทักษะนี้คืออะไร? แล้วจะเสริมสร้างให้เด็กๆ มีทักษะนี้ได้อย่างไร ในบทความนี้ Speak Up มีคำตอบ! ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลย

Leadership คืออะไร?

Leadership คืออะไร?

Leadership หรือ ภาวะความเป็นผู้นํานั้น หมายถึง ความสามารถในการชี้นําและจูงใจ ผู้อื่นให้ทํางานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยผู้นําต้องมีวิสัยทัศน์ มีความสามารถในการวางแผนกลยุทธ์ สื่อสารได้ดี ซึ่งสิ่งสําคัญที่ผู้นำควรมีคือความซื่อสัตย์ เป็นแบบอย่างที่ดี กล้าตัดสินใจ ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง และเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น จึงจะสามารถนําพาทุกคนไปสู่ความสําเร็จได้อย่างราบรื่น

ทักษะการเป็นผู้นำ สำคัญต่อเด็กอย่างไร

ทักษะการเป็นผู้นำ สำคัญต่อเด็กอย่างไร

การมีทักษะการเป็นผู้นําจะช่วยให้เด็กมีความมั่นใจ กล้าแสดงออก ไม่เก็บกดความรู้สึก และกล้าตัดสินใจ ซึ่งจะช่วยพัฒนาความมั่นใจในตัวเองได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยฝึกให้เด็กรู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ทํางานร่วมกับผู้อื่นได้ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้เพื่อนๆ โดยเด็กที่มีภาวะผู้นําจะสามารถนําทักษะนี้ไปต่อยอดในการเรียน การทํางาน และชีวิตประจําวันได้ในอนาคต เช่น กล้าแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียน การทํางานร่วมกับเพื่อนร่วมงานได้ดี หรืออาจพัฒนาเป็นหัวหน้ากลุ่มที่ดีได้ ดังนั้น การส่งเสริมทักษะผู้นําให้เด็กตั้งแต่เล็กๆ  จึงเป็นสิ่งสําคัญมาก

5 Skill Leader ในเด็กควรมีอะไรบ้าง

วิธีตัดการกระดาษจีน

5 Leadership Skill มีอะไรบ้าง? โดยทั่วไปแล้ว ผู้ปกครอง หรือคุณพ่อคุณแม่ควรสอนหรือชี้นำเด็กๆ ให้มีคุณสมบัติในการเสริมสร้างทักษะการเป็นผู้นำ ดังนี้

1. การสื่อสาร การปรับตัว และการเข้าสังคม (Context Management)

การสื่อสาร การปรับตัว และการเข้าสังคม (Context Management) เป็นทักษะที่ช่วยให้เด็กกล้าแสดงออก และเข้าสังคมกับผู้อื่นได้ดี เช่น กล้าแนะนําตัวเองกับเพื่อนใหม่ กล้าถามทางคนแปลกหน้า หรือแบ่งของเล่นให้เพื่อน ซึ่งจะช่วยให้เด็กเป็นผู้นําได้ดีในอนาคต

2. ความกล้าที่จะตัดสินใจเอง (Decision-Making)

ความกล้าที่จะตัดสินใจ (Decision-Making) จะช่วยให้เด็กกล้าคิด กล้าตัดสินใจเอง ไม่ถูกกระแสสังคมชักนำ เช่น กล้าเลือกทํากิจกรรมตามความสนใจของตัวเอง ไม่เลือกตามผู้อื่นเพราะกลัวไม่มีเพื่อน เป็นต้น ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญอันดับต้นๆ ของการมีทักษะการเป็นผู้นำ

3. ความเห็นใจผู้อื่น (Empathy)

ความเห็นใจผู้อื่น (Empathy) เป็นทักษะที่จำเป็นอย่างหนึ่งใน Skill Leader โดยความหมายของ Empathy คือ ความสามารถในการมองเห็นมุมมอง และความรู้สึกของผู้อื่น เข้าใจความต้องการของผู้อื่นโดยไม่ตัดสิน ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่เห็นเพื่อนเศร้า จะเข้าไปเล่นด้วยเพื่อปลอบใจ หรือการแบ่งขนมให้เพื่อนที่กำลังหิว ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวนี้จะช่วยให้เด็กเป็นผู้นําที่เข้าใจผู้อื่น และช่วยเหลือผู้อื่นในอนาคตได้อย่างดี

4. ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Agility)

ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Agility) คือความสามารถในการจัดการอารมณ์ตนเองได้อย่างเหมาะสม โดยเด็กที่มีทักษะนี้ หากเกิดความโกรธ จะสามารถหยุดนิ่งสงบสติได้ และไม่ปล่อยให้การแสดงออกทางอารมณ์รุนแรงจนเกินไป จะช่วยให้เด็กเป็นผู้นําที่มีสติ อดทน ไม่หุนหันพลันแล่นตามอารมณ์นั่นเอง

5. ซื่อสัตย์ จริงใจ (Truthfulness)

การที่เด็กมีความซื่อสัตย์ (Truthfulness) จริงใจต่อตนเองและผู้อื่น กล้ายอมรับผิดเมื่อทําผิด จะช่วยให้ได้รับความเชื่อถือ และไว้วางใจจากผู้อื่น สามารถเป็นผู้นําได้อย่างมีศักดิ์ศรีและเกียรติยศ ตัวอย่างเช่น ในสถานการณ์ที่เด็กยอมรับว่าทําของเล่นของเพื่อนแตกโดยไม่ปิดบัง หรือโยนความผิดให้ผู้อื่น

เทคนิคในการเลี้ยงลูกให้มี Leadership

เทคนิคในการเลี้ยงลูกให้มี Leadership

การเลี้ยงดูส่งเสริมด้านความคิด และพฤติกรรมจากพ่อแม่ ก็เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการสร้างความเป็นผู้นำให้กับเด็กเช่นกัน โดยเทคนิคการเลี้ยงดูที่สามารถเสริมสร้าง Leadership Skills มีอะไรบ้าง? ไปดูกันเลย

ส่งเสริมให้ได้รู้จักตัวเอง

พ่อแม่สามารถทําได้โดยการสนับสนุนให้ลูกทํากิจกรรมตามความสนใจ เช่น ถ้าลูกชอบวาดรูป  พ่อแม่อาจส่งเสริมด้วยการซื้อสีเทียนให้ลูกวาด หรือถ้าชอบร้องเพลง ก็ส่งเสริมให้เข้าร่วมกิจกรรมร้องเพลง ซึ่งจะช่วยให้เด็กได้ค้นพบจุดแข็ง และความถนัดของตนเอง การทําให้เด็กรู้จักตัวเองจะช่วยพัฒนาความมั่นใจและกล้าแสดงออก ซึ่งเป็นคุณสมบัติสําคัญของ Leadership

สอนให้ตัดสินใจด้วยตัวเอง

พ่อแม่ควรให้โอกาสลูกได้ตัดสินใจเลือกด้วยตนเองบ่อยๆ เช่น ให้เลือกเสื้อผ้าที่จะใส่ หรือให้เลือกทํากิจกรรมที่สนใจ จะช่วยฝึกให้เด็กกล้าตัดสินใจโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น ซึ่งความสามารถในการตัดสินใจเป็นลักษณะสําคัญของ Leadership  การสอนตั้งแต่อายุยังน้อย จะเป็นการสร้างทักษะนี้ได้ดี

ฝึกการฟัง และการจดจำเรื่องราว

ฝึกการฟัง และการจดจำเรื่องราว

พ่อแม่ควรสนทนากับลูกโดยให้ลูกมีส่วนร่วม เช่น ถามความคิดเห็นลูก หรือให้ลูกเล่าเรื่องราวต่างๆ จะช่วยฝึกทักษะการจดจําได้ดีเป็นส่วนนึงของพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของเด็กนั่นเอง

คุยกับลูกให้เหมือนผู้ใหญ่

คุณสมบัติของความเป็นผู้นำมีมากมายหลายอย่าง ซึ่งความสำคัญอย่างหนึ่งในการเสริมสร้าง  Leadership Skill คือ การที่พ่อและแม่ฝึกให้ลูกรู้จักการสื่อสารอย่างสุภาพ และมีสัมมาคารวะ เหมือนการพูดคุยระหว่างผู้ใหญ่ด้วยกัน

สอนให้รู้จักการเป็นผู้ให้

การสอนให้ลูกรู้จักการเป็นผู้ให้ เช่น ฝึกแบ่งของเล่นให้น้อง หรือบริจาคของเล่นเก่าให้กับเพื่อนที่ขาดแคลน จะช่วยฝึกให้เด็กมีจิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความรับผิดชอบต่อสังคม และเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม เป็นลักษณะของทักษะการเป็นผู้นําที่เข้มแข็ง

ฝึกให้คิดวิเคราะห์

การฝึกให้ลูกรู้จักคิดวิเคราะห์ โดยตั้งคําถามที่กระตุ้นให้เด็กคิด พ่อแม่สามารถทําได้โดยการตั้งคําถามให้ลูกคิด เช่น เมื่อลูกเล่าเรื่องราวหรือปัญหามา พ่อแม่สามารถถามว่า “ลูกคิดว่าควรจะทําอย่างไรดี” เพื่อให้ลูกฝึกวิเคราะห์สถานการณ์ และหาทางออกด้วยตัวเอง ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ

สอนเรื่องการควบคุมอารมณ์

สอนเรื่องการควบคุมอารมณ์

พ่อแม่สามารถอธิบายผลกระทบของอารมณ์โกรธ และวิธีการหยุดนิ่งสงบสติเมื่อโกรธ เช่น หายใจเข้า-ออกลึกๆ นับ 1-10 หรือเดินไปที่อื่นสักพัก ซึ่งจะช่วยให้เด็กเรียนรู้วิธีจัดการอารมณ์อย่างเหมาะสม

กระตุ้นให้มีส่วนร่วมกับกิจกรรม

การกระตุ้นให้ลูกมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อฝึกทักษะ Leadership สามารถทําได้โดยให้เด็กร่วมกิจกรรมกลุ่มต่างๆ ทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน เช่น จัดกิจกรรมร่วมกันในวันหยุด

ปลูกฝังให้มีความอดทน

ปลูกฝังให้ลูกมีความอดทน โดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จําเป็นสําหรับผู้นํา พ่อแม่ควรปลูกฝังความอดทนให้ลูก โดยชมเชยเมื่อลูกไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และพยายามอย่างเต็มที่ จะช่วยให้ลูกเป็นผู้นําที่เข้มแข็งและอดทนได้

สรุป

Leadership หรือ ภาวะความเป็นผู้นํา คือความสามารถในการชี้นํา และจูงใจผู้อื่นให้ทํางานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยทักษะการเป็นผู้นําจะช่วยให้เด็กมีความมั่นใจ กล้าแสดงออก ไม่เก็บกดความรู้สึก และกล้าตัดสินใจ 

สำหรับพ่อแม่ หรือผู้ปกครองที่กำลังสนใจในการเรียนรู้ และเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่างๆ ให้กับเด็ก เราขอแนะนำ Speak Up  สถาบันสอนภาษาสำหรับเด็ก ที่มีหลักสูตรการสอนและการทำกิจกรรมร่วมกับการเล่นเกมต่างๆ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการให้เด็กเล็ก เด็กอนุบาล จนถึงเด็กประถม ที่อยู่ในช่วงอายุ 2 ขวบครึ่ง ถึง 12 ปี ซึ่งทางสถาบันสอนภาษา Speak Up  จะช่วยให้เด็กๆ ได้ใช้ทักษะการเป็นผู้นำ และเรียนรู้ร่วมกับเพื่อนๆ ได้เป็นอย่างดี

ศิลปะการตัดกระดาษจีน กิจกรรมฝึกฝนสมาธิง่ายๆ พร้อมเรียนรู้วัฒนธรรม

ศิลปะการตัดกระดาษจีน กิจกรรมฝึกฝนสมาธิง่ายๆ พร้อมเรียนรู้วัฒนธรรม

การตัดกระดาษจีนเป็นกิจกรรมที่ทำให้เด็กๆ ได้ฝึกสมาธิ ฝึกความคิดสร้างสรรค์ ฝึกใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ฝึกการใช้สมอง รวมถึงการได้เรียนรู้ศิลปะการตัดกระดาษจีน ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่มีการสืบทอดกันมายาวนานกว่า 2,000 พันปี ในปัจจุบันกลายเป็นศิลปะยอดนิยมที่แพร่หลายไปทั่วโลก และเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของจีน เพราะศิลปะการตัดกระดาษจีนได้แฝงคุณค่าที่ลึกซึ้งของชาวจีนมาอย่างยาวนาน และมีความหมายแฝงที่แสดงถึงความปรารถนาให้ชีวิตมีแต่ความสุข มีความสดใส และสวยงามยิ่งขึ้นไป บทความนี้จะพาไปสำรวจว่าการตัดกระดาษจีนมีที่มาอย่างไร มีกี่ประเภท และการตัดกระดาษจีนสามารถทำได้อย่างไร

ทำความรู้จัก การตัดกระดาษจีน

ทำความรู้จัก การตัดกระดาษจีน

การตัดกระดาษจีน เริ่มต้นจากการบูชาเทพเจ้า และการบูชาบรรพบุรุษในสมัยจีนโบราณ โดยศิลปะการตัดกระดาษจีนได้เริ่มขึ้นในสมัยซีฮั่น ซึ่งในช่วงแรกยังไม่ได้มีการตัดกระดาษ เพราะกระดาษยังไม่ได้ถูกคิดค้นและผลิตขึ้นมา แต่นิยมนำเอาแผ่นทอง แผ่นหนัง ผืนผ้าหรือใบไม้ นำมาฉลุ ตัด และเจาะให้พื้นผิวของวัสดุเกิดเป็นลวดลายต่างๆ 

โดยในปี 1967 ประเทศจีนได้มีการค้นพบศิลปะการตัดกระดาษจีนโดยนักโบราณคดีเป็นครั้งแรกในเมืองถูหลู่ฟาน โดยหลักฐานที่พบเป็นกระดาษที่ทำมาจากใบปอจำนวน 2 ใบ แปะอยู่บริเวณสุสานโบราณ คาดว่าเป็นถูกทำขึ้นในสมัยถัง ซึ่งการตัดกระดาษจีนในยุคนี้ชาวบ้านจะนิยมตัดเพื่อเรียกวิญญาณที่เสียชีวิตแบบไม่ปกติ เพื่อเป็นการชักนำดวงวิญญาณให้กลับบ้านและไปสู่สุขคติ 

การตัดกระดาษได้พัฒนาเรื่อยมาจนถึงสมัยซ่ง ผู้คนต่างๆ เริ่มนิยมซื้อกระดาษมาตัดเพื่อทำเป็นของขวัญ และของตกแต่ง จนกระทั่งในสมัยหมิงและซิง ศิลปะการตัดกระดาษได้มีความนิยมมากขึ้นกว่าเดิม ชาวบ้านต่างตัดกระดาษ เพื่อประดับตกแต่งภายในบ้าน บริเวณหน้าต่าง ประตู เพดาน และบนหิ้ง จนถือว่าเป็นการพัฒนาขั้นสูงสุดของศิลปะการตัดกระดาษจีน

นอกจากนี้ ลักษณะและจุดเด่นของการตัดกระดาษจีนยังแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น เช่น การตัดกระดาษแบบหยางโจวจะเน้นลายเส้นให้อ่อนช้อย มีความสวยงาม และอลังการ การตัดกระดาษแบบยู่เสียน จะมีลักษณะเฉพาะที่ทำให้ลวดลายของภาพดูมีชีวิตชีวา และโดดเด่นในเรื่องการใช้สีสดใส การตัดกระดาษแบบส่านซี จะนิยมตัดกระดาษจีนสำหรับติดตกแต่งหน้าต่าง ลายเส้นจะมีความหนา ชัด หนักแน่น แต่มีความเรียบง่าย และการตัดกระดาษแบบฝอซาน จะเน้นตัดให้มีความเกี่ยวข้องกับเทศกาลงานประเพณีต่างๆ เป็นต้น

ประเภทของการตัดกระดาษจีน

ประเภทของการตัดกระดาษจีน

การตัดกระดาษจีนสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภทตามการใช้งาน ดังนี้

1. การตัดกระดาษจีน สำหรับตกแต่งหน้าต่าง

การตัดกระดาษจีนสำหรับตกแต่งหน้าต่าง เป็นที่นิยมมากในช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยผู้คนส่วนใหญ่มักตัดกระดาษเป็นลวดลายต่างๆ เช่น ลายดอกไม้ วิวทิวทัศน์ และลายสัตว์ต่างๆ เมื่อตัดกระดาษเป็นลายต่างๆ เสร็จแล้ว จึงนำไปไว้ตรงหน้าต่าง เพื่อเป็นการต้อนรับความสุข และความโชคดี ละทิ้งสิ่งเก่า ต้อนรับสิ่งใหม่ และเพื่อให้เป็นความรู้สึกที่รื่นเริง และสนุกสนาน อีกทั้งยังมีความเชื่อว่าจะทำให้อายุยืนยาว ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ชีวิตมีความสุขความเจริญ และช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกไป การตัดกระดาษจีนจึงถือเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดีที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน

2. การตัดกระดาษจีน สำหรับประดับตกแต่ง

การตัดกระดาษจีนสำหรับประดับตกแต่ง ตรงขอบกระดาษมักตัดตกแต่งเป็นดอกไม้ฉลุ และมีลวดลายที่เป็นรูปวงกลมอยู่ตรงกลาง นอกจากการตัดกระดาษในลักษณะนี้ไว้เพื่อประดับตกแต่งแล้ว ยังมีความเชื่อแฝงว่ารูปวงกลมที่อยู่ตรงกลางกระดาษจะมีแรงดึงดูดเข้าสู่ตรงกลาง ก็คือการดึงดูดความโชคดีเข้ามานั่นเอง ซึ่งการตัดกระดาษจีนสำหรับประดับตกแต่งจะมีทั้งแบบแขวน เช่น แขวนตรงขื่อประตู อีกแบบหนึ่งคือตกแต่งเพดาน หรือติดตรงขอบเตา

3. การตัดกระดาษจีน ลวดลายแบบพิเศษ

การตัดกระดาษจีนให้มีลวดลายแบบพิเศษมีจุดเริ่มต้นมาจาก จางหย่งโซ่ว นักตัดกระดาษแบบพิเศษที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในมณฑลเจียงซู ที่เรียนการตัดกระดาษมาจนชำนาญ และได้พัฒนาฝีมือการตัดกระดาษจนมีลักษณะพิเศษเป็นของตนเองมาเรื่อยๆ ซึ่งกระดาษที่ตัดออกมาจะมีลักษณะเป็นสามมิติ แต่มีความเรียบง่าย พิถีพิถัน และแสดงถึงความหมายที่ลึกซึ้ง

4. การตัดกระดาษจีน เย็บปักให้เกิดลวดลาย

การตัดกระดาษจีนเย็บปักให้เกิดลวดลาย เป็นการนำเค้าโครงจากกระดาษที่ถูกตัดมาเป็นแบบในการเย็บปัก โดยเริ่มจากการตัดกระดาษสีขาวให้มีลวดลายตามที่ต้องการ หลังจากนั้นนำกระดาษที่ตัดแล้วไปติดกับผ้าที่เตรียมไว้ และใช้เข็มเย็บตามเค้าโครงลายเส้นตามบนกระดาษได้เลย

วิธีตัดการกระดาษจีน

วิธีตัดการกระดาษจีน

วิธีการตัดกระดาษจีน โดยทั่วไปแล้ว สามารถทำได้ด้วย 2 วิธี คือ ตัดด้วยกรรไกร และตัดด้วยมีด ดังนี้

1. วิธีตัดกระดาษจีนด้วยกรรไกร

การตัดกระดาษจีน สามารถใช้กรรไกรตัดกระดาษให้มีลวดลาย จากนั้นนำกระดาษที่ตัดด้วยกรรไกรมาเรียงซ้อนกันให้ไม่เกิน 8 แผ่น แล้วใช้มีดตกแต่งกระดาษอีกครั้งให้เรียบร้อย

2. วิธีตัดกระดาษจีนด้วยมีด

การตัดกระดาษด้วยมีด ควรเตรียมดินน้ำมัน หรือไขที่มีความนิ่มไว้ด้วย โดยอันดับแรกให้นำกระดาษที่ต้องการตัดมาเรียงซ้อนกันก่อน จากนั้นนำกระดาษที่เรียงซ้อนกันไปวางบนไข หรือดินน้ำมันที่เตรียมไว้ แล้วใช้มีดตัดได้เลย ข้อดีของการใช้มีด คือ ตัดกระดาษในได้เพียงรอบเดียว ซึ่งสะดวกกว่าการใช้กรรไกรตัด

ตัวอย่างการตัดกระดาษจีน

ตัวอย่างการตัดกระดาษจีน

ตัวอย่างการตัดกระดาษนี้เป็นวิธีง่ายๆ เหมาะสำหรับเด็กๆ ที่อยากหัดตัดกระดาษจีน โดยมีอุปกรณ์ที่ใช้ตัด คือ กรรไกร หรือคัตเตอร์ แทนการใช้มีด เพื่อความปลอดภัยของเด็กๆ

อุปกรณ์ในการตัดกระดาษจีน

  • กระดาษสีต่างๆ เป็นกระดาษที่มีสีเพียงด้านเดียว
  • คัตเตอร์ หรือกรรไกร
  • แบบสำหรับตัด 
  • ดินสอ ไว้สำหรับร่างแบบบนกระดาษ
  • แผ่นรองกันเกิดรอย สำหรับรองตัดกระดาษโดยใช้คัตเตอร์

ขั้นตอนในการตัดกระดาษจีน

  • เริ่มจากการเลือกแบบที่ต้องการจะนำมาใช้ในการตัดก่อน เช่น สัตว์ ดอกไม้ ใบไม้ ผีเสื้อ
  • เลือกกระดาษสีตามที่ต้องการ 
  • ตัดกระดาษสีให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาด 15 x 15 ซม. หรือ 20 x 20 ซม. 
  • ต่อมาพับกระดาษที่จะตัดเข้าด้วยกันจนเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆ โดยพับให้กระดาษที่มีสีเข้าข้างใน 
  • วาดรูปตามแบบ ตามลวดลายที่เตรียมไว้ โดยวาดแค่เพียงครึ่งหน้า 
  • จากนั้นให้ใช้กรรไกร หรือคัตเตอร์ตัดกระดาษตามแบบที่ลวดลายไว้อย่างระมัดระวัง
  • เมื่อตัดกระดาษเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้คลี่กระดาษออก ก็จะได้ลายบนกระดาษตามต้องการ
ประโยชน์ของการตัดกระดาษจีน

ประโยชน์ของการตัดกระดาษจีน

ประโยชน์ของการตัดกระดาษจีนในสมัยโบราณ คือ สามารถนำไปใช้ในพิธีทางศาสนา ประดับตกแต่งในพิธีบูชาเทพเจ้าและบรรพบุรุษ รวมถึงการตัดเพื่อใช้ประดับตกแต่ง โดยนิยมตัดเป็นรูปสัตว์ต่างๆ หรือรูปคน แต่ประโยชน์ของการตัดกระดาษจีนในปัจจุบัน ช่วยทำให้เด็กๆ ได้ฝึกสมาธิ และจินตนาการจากการตัดกระดาษจีน เพราะเป็นงานฝีมือที่แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ อีกทั้งยังช่วยในการฝึกใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ฝึกการใช้สมองสำหรับเด็กๆ พร้อมไปกับเรียนรู้วัฒนธรรมจีน นอกจากนี้ ยังสามารถทำเป็นของประดับตกแต่งหรือของขวัญได้ โดยผู้ปกครองควรลงมือทำไปพร้อมกับเด็กๆ เพื่อให้คำแนะนำในการใช้อุปกรณ์ และเมื่อเด็กๆ ได้ลงมือทำจนผลงานออกมาสำเร็จ และมีความสวยงามแล้ว ก็จะเกิดเป็นความภาคภูมิใจให้กับตัวของเด็กๆ เองด้วย

สรุป

การตัดกระดาษจีน คือ ศิลปะอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการตัดกระดาษเป็นลวดลายต่างๆ ตามที่ต้องการ โดยมีต้นกำเนิดมาตั้งแต่สมัยซีฮั่น และสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งการตัดกระดาษจีนสามารถนำไปตกแต่งให้เกิดความสวยงาม อีกทั้งยังมีความหมายแฝงมี่ลึกซึ่งเกี่ยวกับเรื่องของความสุขและความโชคดี ซึ่งการตัดกระดาษจีนถือเป็นกิจกรรมที่เด็กๆ สามารถฝึกสมาธิ และฝึกสมองได้ แต่ผู้ปกครองควรดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะมีการใช้ของมีคม หากลูกๆ ของคุณเริ่มสนใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมจีน หรือภาษาจีน Speak Up Language Center เป็นสถาบันสอนภาษาสำหรับเด็ก ตั้งแต่เด็กเล็ก เด็กอนุบาล จนถึงเด็กประถมที่อยู่ในช่วงอายุ 2.5 ถึง 12 ปี โดยมีการสอนภาษาจีน และมีกิจกรรมที่ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่ทำให้ได้ทั้งความรู้ และความสนุกสนาน

รวม 100 ประโยคกล่าวคำชื่นชมภาษาอังกฤษ ไว้ชื่นชมคนแบบไม่ซ้ำกัน

รวม 100 ประโยคกล่าวคำชื่นชมภาษาอังกฤษ ไว้ชื่นชมคนแบบไม่ซ้ำกัน

ขออธิบายโดยสังเขปให้เข้าใจกันก่อนเข้าสู่เนื้อหาหลักว่า คำชื่นชมภาษาอังกฤษ คืออะไร ในภาษาอังกฤษมีคำชม และประโยคที่บอกถึงการให้กำลังใจมากกว่าแค่คำว่า ดีมาก (Very Good) ไปดูกันว่าคำชมภาษาอังกฤษอื่นๆ จะมีอะไรบ้าง เพื่อเรียนรู้เอาไว้ฝึกพูดกับเด็กๆ หรือพูดกับคนอื่นแบบง่ายๆ ใช้ได้ทุกสถานการณ์ รับรองว่ารู้ติดตัวไว้จะดูเป็นมืออาชีพด้านการพูดภาษาอังกฤษขึ้นมาในทันที

คำชื่นชมภาษาอังกฤษแบบง่ายๆ ใช้ได้บ่อย

คำชื่นชมภาษาอังกฤษแบบง่ายๆ ใช้ได้บ่อย

คำชื่นชมภาษาอังกฤษสำหรับใช้ในการชมคนง่ายๆ ได้ทั่วไป เป็นคำสั้นๆ ที่สามารถเข้าไจได้ทันที หรือใช้ชมกับสิ่งต่างๆ ก็ได้เวลาเจอเรื่องน่ามหัศจรรย์ใจ หรือรู้สึกชื่นชมอย่างมากกับเหตุการณ์ตรงหน้าตอนนั้น สามารถเลือกใช้คำศัพท์เหล่านี้ได้

ประโยค (Sentences)ความหมาย (Meaning)
Very Good!ดีมาก
Great!เยี่ยมมาก
Amazing!น่ามหัศจรรย์มาก
Excellent!เยี่ยมยอด
Awesome!ดีเลิศ
Wonderful!ยอดเยี่ยมมาก
Fabulous!เหลือเชื่อ, เยี่ยมที่สุด
Nice!ดี
Good jobทำได้ดีมาก
Cool!สุดยอด, เจ๋งมาก
Astonishing!อัศจรรย์มาก, วิเศษมาก
Incredible!เหลือเชื่อ
Brilliant!ฉลาดมาก, หลักแหลมมาก 
Well done!ทำได้ดีมาก
Fantastic!เยี่ยมมากเลย
Nice going!ดีมาก
Good going!ทำได้ดีมากๆ
Marvelous!วิเศษมากที่สุด
You rock!เลิศที่สุด
Outstanding!ยอดเยี่ยมมาก, โดดเด่นที่สุด
Way to go!ทำได้ดีมากสุดๆ
ประโยคชื่นชมภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นการให้กำลังใจ

ประโยคชื่นชมภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นการให้กำลังใจ

ประโยคชื่นชมภาษาอังกฤษที่มักใช้ในการให้กำลังใจผู้อื่น หรือชื่นชมในตัวของบุคคลนั้นจากการกระทำบางอย่างที่รู้สึกประทับใจ รู้สึกยินดี หรือรู้สึกขอบคุณ สามารถเลือกใช้ประโยคชื่นชมสำหรับการให้กำลังใจได้ตามสถานการณ์ตามความรู้สึก

ประโยค (Sentences)ความหมาย (Meaning)
You are so smart.คุณฉลาดมาก
You did a great job.คุณทำได้ดีมาก, ทำได้ยอดเยี่ยมไปเลย
You deserve it.คุณคู่ควรที่จะได้รับมัน (สิ่งดีๆ)
Congratulations!ยินดีด้วยนะ
You did that very well.คุณทำดีมากเลย
You’ve got it.คุณเจ๋งมาก
You did it!คุณทำมันได้แน่
You have done a great job!คุณทำได้เยี่ยมไปเลย
You are very good at that.คุณทำสิ่งนั้นได้ดีสุดๆ เลย
You are so cool!คุณเท่มาก, คุณเจ๋งมาก
You look good!คุณดูดีนะเนี่ย
You’re doing a good job.คุณทำได้ดีมาก
You look amazing!คุณดูดีมากเลย
You are so seductive.คุณพูดจาปากหวานจัง
You are making a difference.คุณทำให้มันเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้นมาก
You are so smart.คุณหัวไวมาก, คุณฉลาดมากเลย
คำชมภาษาอังกฤษ สำหรับลักษณะของบุคคล หรือวัตถุสิ่งของ

คำชมภาษาอังกฤษ สำหรับลักษณะของบุคคล หรือวัตถุสิ่งของ

การเลือกใช้คำชมภาษาอังกฤษสำหรับการชมถึงลักษณะรูปลักษณ์ หรือลักษณะที่แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ และความโดดเด่นกับทั้งตัวบุคคล หรือกับวัตถุสิ่งของต่างๆ รวมถึง บุคลิกที่น่าสนใจของคนนั้นๆ สามารถเลือกใช้ประโยคการชมได้หลากหลายมากตามที่ต้องการ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และเอกลักษณ์ของสิ่งที่ต้องการแสดงความชื่นชมด้วย

ประโยค (Sentences)ความหมาย (Meaning)
You look fantastic!คุณดูดีมาก, หล่อมาก, สวยมาก (ดูดี, สวย, หล่อแบบสุดๆ ไปเลย)
Your watch looks really cool.นาฬิกาของคุณดูเท่มาก
It’s worth!มันดูล้ำค่ามาก, ดูมีคุณค่า
You are very lovely.คุณน่ารักมากๆ เลย
You are very cute.คุณน่ารักมาก
You are very beautifulคุณสวยมาก
Your outfit is looking good!การแต่งตัวของคุณดูดีสุดๆ
Your charm is irresistible.เสน่ห์ของคุณรุนแรงยากที่จะต้านมาก
Your hair looks stunning.ทรงผมของคุณดูดีมากเลย
You look trendy.คุณทันสมัยมาก
This outfit is bringing you out. การแต่งกายชุดนี้ทำให้คุณดูโดดเด่นมาก
You are just adorable.คุณน่ารักเกินไปมาก
You are charming.คุณมีเสน่ห์ดึงดูดมาก
You have such charismaticคุณเป็นคนที่มีเสน่ห์มาก
You have a nice smile.คุณมีรอยยิ้มที่สวยมาก
You look fantastic!คุณดูดีมากที่สุดเลย
You look great!คุณดูเจ๋งมาก, คุณดูดีสุดๆ
You’re so handsome.คุณหล่อมาก
What a nice dress!ชุดของคุณสวยมาก
ประโยคชื่นชมภาษาอังกฤษที่เน้นไปยังตัวผลงาน

ประโยคชื่นชมภาษาอังกฤษที่เน้นไปยังตัวผลงาน

การเลือกใช้ประโยคชื่นชมภาษาอังกฤษสำหรับการเน้นชมถึงผลงาน การทำงาน และศักยภาพในการสร้างสรรค์ผลงานต่างๆ สำหรับผู้อื่น มีรูปประโยคคำชมให้เลือกใช้เยอะมาก สามารถเลือกได้ตามสถานการณ์ที่ต้องการพูดเอ่ยถึงได้ ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน หรือทำงานด้านใดก็นำไปเลือกใช้ได้ทั้งหมด

ประโยค (Sentences) ความหมาย (Meaning)
That’s quite an improvement! ผลงานของคุณมีการพัฒนาขึ้นนะ
That’s the best ever! นี่มันดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลย
Your ideas are the best. ความคิดของคุณยอดเยี่ยมาก
Your creative potential seems limitless. ศักยภาพทางความคิดสร้างสรรค์ของคุณไร้ขีดจำกัด
It’s interesting! มันน่าสนใจมากเลย
You’re great at figuring stuff out. คุณแก้ไขปัญหาได้อย่างยอดเยี่ยม
This idea sounds good. เป็นไอเดียที่ฟังดูเยี่ยมมาก
You have a good head on your shoulders. คุณเป็นคนที่หัวดีมาก มีความคิดน่าสนใจมาก
You’re really working hard. คุณทำงานหนักมากจริงๆ
That’s the best you’ve ever done. นี่คือสิ่งที่คุณทำได้ดีมากที่สุด
You are learning fast. คุณเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
That’s the right way to do it. ทำแบบนั้นถูกต้องเลย
That’s the best ever. สิ่งนี้มันยอดเยี่ยมที่สุด
You did that very well. คุณทำได้ยอดเยี่ยมมาก
You’re really improving. คุณเก่งขึ้นมากเลย
You outdid yourself today! คุณทำได้ดีมากกว่าที่คุณคาดหวังไว้ซะอีก
คำชมภาษาอังกฤษที่เน้นบอกความรู้สึกของเรา

คำชมภาษาอังกฤษที่เน้นบอกความรู้สึกของเรา

สำหรับคำชื่นชมภาษาอังกฤษที่บ่งบอกถึงความรู้สึกชื่นชมจากทางฝั่งผู้พูด หรือจากตัวเราที่ต้องการแสดงความประทับใจในตัวอีกฝ่าย มาว่าจะด้วยสถานการณ์แบบไหนก็ตาม เลือกแสดงถึงความใส่ใจ ความยินดี ความรู้สึกเชิงบวกต่างๆ ที่อยากชมต่ออีกฝ่ายได้มากมาย

ประโยค (Sentences)ความหมาย (Meaning)
I know you can do it!ฉันรู้ว่าคุณเอาอยู่, ฉันเชื่อว่าคุณทำได้
I’m so proud of you.ฉันภูมิใจในตัวคุณมาก
I’m so happy for you.ฉันรู้สึกยินดีกับเธอมากๆ เลย, ฉันรู้สึกดีใจกับเธอด้วยนะ
I’m really impressed.ฉันรู้สึกประทับใจจริงๆ
I like your style.ฉันชอบสไตล์ของคุณนะ
I can’t take my eyes off you.ฉันไม่สามารถละสายตาไปจากคุณได้เลย (ชมว่าเขาโดดเด่นมาก)
I’m glad to hear your good news.ฉันดีใจที่ได้ยินข่าวดีของเธอนะ
I’m glad to see you.ฉันดีใจที่ได้เจอเธอ
I’m happy to see you working like that.ฉันดีใจที่เห็นคุณทำงานเก่งแบบนี้
I’ve never seen anyone do it better.ฉันไม่เคยเห็นใครทำมันได้เก่งเท่ากับคุณ
I think you’re doing the right thing.ฉันว่าคุณทำสิ่งนี้ได้ยอดเยี่ยม
I have confidence in you.ฉันมั่นใจในตัวคุณนะ
I know you can do it!ฉันรู้ว่าคุณทำได้
I trust in your abilityฉันเชื่อในความสามารถของคุณนะ
I’m proud of the way you worked.ฉันภูมิใจในวิธีการทำงานของเธอมาก
I think you’ve got it nowฉันคิดว่าคุณทำได้ดีมากแล้ว
I think you are really something special.ฉันคิดว่าคุณเป็นคนที่พิเศษมากกว่าคนอื่นๆ
ประโยคชื่นชมเรื่องความใจดี หรือนิสัยใจคอภาษาอังกฤษ

ประโยคชื่นชมเรื่องความใจดี หรือนิสัยใจคอภาษาอังกฤษ

การชื่นชมคนอื่นในด้านนิสัยใจคอด้านต่างๆ การชื่นชมถึงความมีจิตใจที่ดี และความประทับใจในตัวของบุคคลนั้น โดยเลือกใช้ประโยคที่เป็นคำชื่นชมภาษาอังกฤษ มีหลากหลายแบบให้เลือกนำไปใช้ได้ตามสถานการณ์และขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยของแต่ละบุคคลที่เราต้องการชื่นชมด้วย

ประโยค (Sentences)ความหมาย (Meaning)
You have a great sense of humor.คุณเป็นคนมีอารมณ์ขันมากเลย
I’ve never met someone with a heart as big as yours.ฉันไม่เคยเจอใครที่จิตใจดีมากเท่าคุณมาก่อนเลย
You are the most perfect you there is.คุณเป็นคนที่สมบูรณ์แบบตามแบบที่คุณเป็นอย่างมาก
You’re so thoughtful.คุณเป็นคนที่คิดถึงจิตใจของผู้อื่นมากเลย
You have impeccable manners.คุณมีมารยาทที่ดีมาก ไร้ที่ติ
There’s something special about you.คุณเป็นคนที่ดูพิเศษมากกว่าคนอื่น
You are so brave.คุณเป็นคนกล้าหาญมาก
You have an amazing presence.คุณเป็นคนที่น่าทึ่งมาก
You are beautiful on the inside and outside.คุณเป็นคนนิสัยดี ดูสวยทั้งภายในและภายนอก
You bring out the best in other people.คุณเป็นตัวอย่างความดีสำหรับผู้อื่น
You’re a great listener.คุณเป็นผู้ฟังที่ดีมาก
Your perspective is refreshing.มุมมองของคุณน่าฟังมาก
โครงสร้างประโยคคำชมภาษาอังกฤษที่สามารถใช้ได้

โครงสร้างประโยคคำชมภาษาอังกฤษที่สามารถใช้ได้

การเลือกใช้ประโยคคำชมกล่าวชม ประโยคชมคนภาษาอังกฤษที่เรายกรูปแบบต่างๆ มาให้เลือกใช้กันมากมายตามสถานการณ์แล้วนั้น ทุกคนยังสามารถสร้างประโยคขึ้นมาเองได้ สำหรับการใช้กล่าวชมจากใจ จากความรู้สึก หรือจากสถานการณ์ที่นอกเหนือจากตัวอย่างประโยคในข้างต้นได้อย่างง่าย ถูกหลักไวยากรณ์ และผู้ฟังต่างชาติสามารถเข้าใจได้ทันที โดยใช้โครงสร้างประโยค ดังนี้

  • พื้นฐานทั่วไป สามารถใช้โครงสร้าง Noun phrase (คำนามวลี) + is / looks + Adjective (คำวิเศษณ์) ได้เลย
  • เพิ่มระดับการชื่นชมให้มากขึ้น สามารถใช้โครงสร้าง Noun phrase (คำนามวลี) + is / looks + Adverbs of Degree (กริยาวิเศษณ์บอกระดับความมาก – น้อยแค่ไหน) + Adjective (คำวิเศษณ์)
  • ตัวอย่าง การสร้างประโยคคำชมให้เห็นภาพชัดเจนง่ายๆ เช่น Your outfit looks so outstanding. (การแต่งกายของคุณดูโดดเด่นเฉิดฉายมากเลย) หรือ Your smile is very nice.  (รอยยิ้มของคุณดูดีมากๆ เลย)
ประโยคตอบรับคำชมภาษาอังกฤษ

ประโยคตอบรับคำชมภาษาอังกฤษ

เมื่อมีประโยคคำชมภาษาอังกฤษไปแล้ว ก็ต้องมาเรียนรู้เกี่ยวกับประโยคที่ใช้ในการตอบรับคำชมด้วยเช่นกัน ไว้สำหรับพูดโต้ตอบกลับไปยังอีกฝ่าย เมื่อมีการให้ของขวัญ ให้การช่วยเหลือ หรือพูดชื่นชมทางเรา ก็สามารถเลือกหยิบยกประโยคโต้ตอบต่างๆ ได้ตามสถานการณ์

ประโยค (Sentences)ความหมาย (Meaning)
Thank you. I’m so glad you like it.ขอบคุณนะ ฉันดีใจที่คุณชอบมัน
You’re embarrassing me!คุณทำให้ฉันเขินนะ
Thank you. My friend gave it to me.ขอบคุณนะ เพื่อนของฉันให้สิ่งนี้กับฉันมา
Thank you. Yours is also very nice.ขอบคุณนะ ของคุณเองก็ดูดีมากเลย
Thanks a lot.ขอบคุณมากๆ เลย
Thanks a million.ขอบคุณมากที่สุดจริงๆ

สรุป

คำชื่นชมภาษาอังกฤษที่สามารถเลือกใช้อย่างมากมาย คือ รูปประโยคชมคนภาษาอังกฤษที่เราสามารถนำไปชื่นชมถึงลักษณะนิสัยของบุคคลนั้น ชื่นชมถึงการทำงาน สิ่งของต่างๆ บุคลิกภาพที่โดดเด่น หรือการแสดงความจริงใจให้กับอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน สามารถนำประโยคคำชมเหล่านี้ไปใช้กับชาวต่างชาติ หรือฝึกสอนเด็กๆ ฝึกสอนลูกน้อยในด้านทักษะภาษาอังกฤษให้แข็งแรง มีคลังศัพท์มากขึ้นได้ทุกจุดประสงค์ มีความคุ้นเคยกับประโยคดีๆ และการฝึกสร้างประโยคชื่นชมภาษาอังกฤษง่ายๆ เหล่านี้ได้เอง 

หากผู้ปกครองท่านใดต้องการให้ลูกๆ ได้ฝึกฝนประสบการณ์ในการฟัง พูด อ่าน เขียน ด้านภาษาอังกฤษอย่างชำนาญ รวมถึง ผู้ที่สนใจพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในด้านการงาน หรือชีวิตประจำวัน สามารถเรียนรู้กับสถาบันมืออาชีพที่การันตีผลลัพธ์ให้กับผู้เรียนว่าจบหลักสูตรแล้วใช้งานได้ทันทีกับทาง Speak Up Language Center สถาบันสอนภาษาสำหรับเด็กเล็ก 2.5 – 12 ปี และบุคคลทั่วไปได้เลย สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลก่อนได้ทุกช่องทาง