fbpx

หยุดความน่าเบื่อในห้องเรียน ด้วย 12 เกมสอนภาษาอังกฤษแสนสนุก

ปกบทความ 12 เกมสอนภาษาอังกฤษ

หยุดความน่าเบื่อในห้องเรียน ด้วย 12 เกมสอนภาษาอังกฤษแสนสนุก

เมื่อต้องเจอกับเนื้อหาหรือบทเรียนใหม่ที่ยากและท้าทาย โดยเฉพาะบทเรียนวิชาภาษาอังกฤษ เด็กหลายคนอาจจิตใจห่อเหี่ยว ไม่สนใจเนื้อหา และพาลให้ไม่รู้เรื่องเอาได้ง่ายๆ แต่รู้หรือไม่ว่า ความน่าเบื่อหน่ายในห้องเรียน ก็เป็นอีกหนึ่งตัวการสำคัญมากๆ ที่คอยฉุดรั้งการเรียนรู้!

ในบทความนี้ ทาง Speak Up Language Center มีคำแนะนำมาฝาก เพื่อให้ผู้ปกครอง คุณครู และเด็กๆ ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้ได้ง่ายๆ เพียงแค่มีเกมสนุกๆ มาเป็นตัวช่วยฝึกและสอนภาษาอังกฤษในห้องเรียน

การสอนภาษาอังกฤษด้วยเกม มีข้อดีต่อเด็กอย่างไร

การสอนภาษาอังกฤษด้วยเกม มีข้อดีต่อเด็กอย่างไร

การมีกิจกรรมหรือใช้เกมเป็นตัวกลางในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ (Play-Based-Learning) จะช่วยให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ที่จะทำตามกฎเกณฑ์ ฝึกฝนทักษะภาษา ในขณะที่ได้เล่นสนุกไปพร้อมๆ กัน นอกจากนี้ยังมีข้อดีอีกมากมาย ได้แก่

ช่วยให้เด็กๆ ผ่อนคลาย

เกมสอนภาษาอังกฤษจะช่วยให้เด็กๆ เกร็งหรือเครียดน้อยลง เพราะเมื่อมีสิ่งน่าตื่นเต้น น่าสนใจ ที่พวกเขาสามารถทำได้และสนุกไปกับมัน ก็จะช่วยให้เรียนรู้ได้ง่ายขึ้น แตกต่างจากการนั่งเรียนและลงมือทำ Worksheet เฉยๆ ที่คร่ำเคร่งและสร้างภาพจำที่น่ากลัว หรือน่าเบื่อขณะเรียน

ช่วยกระตุ้นและเพิ่มการมีส่วนร่วมของเด็กๆ ได้ดี

การสอนภาษาอังกฤษด้วยเกมช่วยให้เด็กๆ ได้มีส่วนร่วมในห้องเรียน ไม่ว่าจะเป็น มีส่วนร่วมแบบเดี่ยว จากเกมการตอบคำถามรายคน หรือแบบกลุ่ม ที่ต้องช่วยกันทำ Task อย่างใดอย่างหนึ่งให้สำเร็จ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นตัวช่วยให้นักเรียนได้รับแรงกระตุ้นในการเรียนรู้ที่ดีมากกว่าการนั่งและจดจำเพียงอย่างเดียว

ช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้และพัฒนาทักษะที่หลากหลาย

แน่นอนว่าการเล่นเกม หรือทำกิจกรรมในและนอกห้องเรียนสามารถดึงดูดความสนใจของเด็กได้มากกว่า และไม่ใช่แค่เรียนในสิ่งที่ควรรู้ตามบทเรียนเท่านั้น แต่การเล่นเกมฝึกภาษาอังกฤษยังเสริมสร้างทักษะการแก้ปัญหา การคิดวิเคราะห์ การเข้าสังคม การแบ่งหน้าที่กันในกลุ่ม ฯลฯ เพื่อให้บรรลลุตามเป้าหมาย

ช่วยทบทวนบทเรียนและปรับความพร้อมก่อนเริ่มเรื่องใหม่

การใช้เกมหรือกิจกรรมร่วมเมื่อต้องการทบทวนบทเรียนครั้งก่อน คุณครูจะเห็นพัฒนาการของเด็กๆ ได้ง่าย เพียงแค่การสังเกตว่าใครมีส่วนร่วมมากน้อย หรือใครจำได้ เพื่อที่วางแนวทางรับมือและเสริมสร้างต่อไป ทั้งยังช่วยให้เด็กๆ ได้ทบทวนเนื้อหาก่อนหน้าได้อย่างสนุกสนาน ให้เขาได้ปรับอารมณ์และความมั่นใจที่จะเรียนรู้เรื่องใหม่ในวันใหม่ได้ด้วย

รวม 12 เกมสอนภาษาอังกฤษ น่าเล่นและช่วยให้ห้องเรียนไม่น่าเบื่อ

รวม 12 เกมสอนภาษาอังกฤษ น่าเล่นและช่วยให้ห้องเรียนไม่น่าเบื่อ

คุณครูหรือคุณผู้ปกครองคนไหนที่กำลังมองหาเกมสนุกๆ ที่ช่วยเสริมบรรยากาศการเรียนการสอนภาษาอังกฤษให้กับเด็กๆ ทาง Speak Up Language Center ก็มีเกมดีๆ มาให้เลือกหยิบนำไปใช้ จะมีอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลย!

1. ถูกหรือผิด (True or False)

เกมถูกหรือผิด มักช่วยได้ดีในเรื่องของการจดจำ จึงเป็นเกมเหมาะที่จะใช้กับการทบทวนบทเรียนอย่างพวกคำศัพท์จากครั้งก่อนหน้า

จำนวนผู้เล่น

ไม่จำกัด สามารถเล่นรวมกันทั้งห้องได้เลย

อุปกรณ์ที่จำเป็น

Flashcard หรือของเล่น หรืออุปกรณ์ต่างๆ ในห้องเรียน เช่น เก้าอี้ โต๊ะ กระดาน ดินสอ กระเป๋า ฯลฯ

วิธีเล่น

  • สามารถเริ่มง่ายๆ จากการแบ่งพื้นที่ห้องเรียนออกเป็น 2 ฝ่าย เพื่อให้เด็กๆ ได้ลุกขึ้นขยับตัว ไม่นั่งติดอยู่กับที่
  • ให้ทั้งห้องตั้งแถวอยู่กึ่งกลางห้อง
  • คุณครูนำ Flashcard หรืออุปกรณ์ตามที่สะดวกออกมา 1 อย่าง และเริ่มต้นด้วยคำถาม เช่น
    “ Is this/that/it a/an ____ ” หรือ “Are these/those/they ___” สลับไปมา
  • ให้เด็กมีโอกาสเลือกฝั่งเมื่อสิ่งที่คุณครูพูด ผิด หรือ ถูก
  • จากนั้นอาจให้แต่ละคนลองพูดตอบคำถาม เช่น “Yes, it is!” หรือ “No, they aren’t!” หรือให้ตอบในสิ่งที่ถูกต้องแทน ในกรณีที่ภาพไม่ตรงกับคำศัพท์ เช่น “They are glasses.”

ทักษะที่ได้รับ

ฝึกฝนความจำและการตัดสินใจ ตลอดจนทักษะการพูดโต้ตอบ

เกมฉันคืออะไร

2. ฉันคืออะไร (What Am I)

เกมฝึกภาษาอังกฤษในห้องเรียนเกมนี้จะช่วยให้เด็กๆ ได้ฝึกตั้งคำถามและค้นหาคำตอบ เหมาะจะใช้สำหรับสอนและทบทวนกลุ่มคำ Adjective ไปตลอดจนคำศัพท์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น อาชีพ สัตว์ สิ่งของ ฯลฯ

จำนวนผู้เล่น

เป็นเกมที่เหมาะจะเล่นเป็นคู่ เพื่อสลับกันถามตอบ แต่สำหรับเด็กเล็กๆ อาจเล่นรวมกันเป็นกลุ่ม โดยสลับกันช่วยตอบคำถาม แล้วจึงเวียนคนตั้งคำถามก็ได้เช่นกัน

อุปกรณ์ที่จำเป็น

กระดาษคำศัพท์ หรือ Flashcard และถ้ามีที่คาดหัวเพื่อเสียบบัตรคำศัพท์ไว้ด้วยก็จะยิ่งดี (เพื่อป้องกันการมองเห็นคำตอบ) หรือถ้าไม่มี สามารถใช้การถือไว้เหนือหัว หรือแปะติดไว้กับหมวกก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ ควรมีเครื่องมือที่ใช้จับเวลาด้วย เช่น นาฬิกาจับเวลาถอยหลัง หรืออาจใช้นาฬิกาทราย

วิธีเล่น

  • สุ่มแจกกระดาษคำศัพท์ หรือ Flashcard ให้เด็กๆ แต่ละคน โดยคนที่ได้รับจะต้องไม่เห็นว่าตัวเองได้คำว่าอะไร
  • เริ่มจับเวลาถอยหลัง และให้เด็กๆ สลับกันตั้งคำถาม – ตอบ โดยอาจใช้ชุดคำถาม เช่น
    • Am I tall ?
    • What do I use for my job ?
    • How many eyes do I have ?
  • ในเด็กเล็กๆ อาจใช้การแสดงท่าทางประกอบคำใบ้ได้ เช่น Small ก็สามารถทำท่าทางประกอบคำนั้น แต่ไม่ควรเป็นท่าทางที่สื่อถึงคำตอบโดยตรงเลย
  • เมื่อหมดเวลา ใครที่เป็นคนโดนถามก็จะต้องตอบว่าตัวเองคืออะไร แล้วจึงเปลี่ยนผู้เล่น

ทักษะที่ได้รับ

ทักษะการสนทนา และคิดวิเคราะห์เพื่อการตั้งคำถามและค้นหาคำตอบ

3. ทอยลูกเต๋าเริ่มบทสนทนา (Conversation Starter Dice)

เกมทอยลูกเต๋าเริ่มบทสนทนา เป็นเกมที่ช่วยฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษแบบไม่จำกัดหัวข้อ เพราะสามารถปรับเปลี่ยนชุดคำถามได้ตามเนื้อหาที่ต้องการ โดยสามารถแบ่งตามการเรียนการสอนในส่วนของไวยากรณ์ (Grammar) ได้ เช่น Tense, If-clause, Infinitive-Gerund ฯลฯ

จำนวนผู้เล่น

ไม่จำกัด สามารถเล่นรวมกันทั้งห้องได้เลย

อุปกรณ์ที่จำเป็น

กล่องลูกเต๋าทำเอง ที่มีด้านแต่ละด้านเป็นชุดคำถามที่แตกต่างกัน แต่หากไม่สามารถทำกล่องลูกเต๋าเองได้ก็อาจใช้ลูกเต๋าธรรมดา หรือลูกเต๋าผ้าลูกใหญ่ๆ แล้วกำหนดคำถามไว้บนกระดานหรือกระดาษก็ได้เช่นกัน

วิธีเล่น

  • ระบุคนที่ต้องตอบคำถามก่อน
  • ให้คนที่ต้องตอบคำถามทอยลูกเต๋าเพื่อดูว่าจะได้คำถามอะไร แล้วจึงตอบคำถาม
  • โดยคุณครูหรือผู้ปกครองสามารถกำหนดกติกาการตอบคำถามได้ เช่น ควรตอบในรูปแบบเต็มประโยค เป็นต้น

ทักษะที่ได้รับ

ได้ฝึกทักษะการพูด สนทนา และคิดวิเคราะห์อย่างอิสระและสร้างสรรค์ โดยสามารถระบุความยากง่ายและซับซ้อนของชุดคำถามและคำตอบได้

เกมเขียนกระดาน

4. เกมเขียนกระดาน (Board Race)

เกมฝึกภาษาอังกฤษเกมนี้ เหมาะสำหรับเด็กตั้งแต่ 6-7 ขวบเป็นต้นไป ช่วยเสริมสร้างบทเรียน การทบทวนคลังคำศัพท์และแกรมมา

จำนวนผู้เล่น

สามารถเล่นได้ตั้งแต่ 6 คนขึ้นไป โดยยิ่งเล่นเป็นกลุ่มใหญ่ยิ่งสนุก

อุปกรณ์ที่จำเป็น

หลักๆ จะใช้กระดานและปากกาสำหรับใช้กับกระดานในห้องเรียนได้เลย

วิธีเล่น

  • แบ่งนักเรียนในห้องออกเป็น 2 ฝ่าย หรือหากมีนักเรียนเป็นจำนวนมาก สามารถแบ่งออกเป็น 3-4 กลุ่มก็ได้เช่นกัน
  • เขียนเส้นแบ่งกระดาน และสร้างหัวข้อที่ต้องการจะนำมาเป็นหลักในการแข่งขัน เช่น Body Parts
  • ให้แต่ละทีมเริ่มออกมาเขียนคำตอบ ทีมละ 1 คน ตามหัวข้อที่ได้รับ เช่น หัวข้อ Body Parts คำตอบอาจได้แก่ Arms, Eyes และ Head เป็นต้น
  • เมื่อคนแรกของทีมเขียนคำตอบเสร็จแล้ว ให้ส่งปากกาต่อให้คนต่อๆ ไปในทีมได้เลย
  • ทีมไหนเขียนครบก่อน และถูกต้องทั้งหมดจะเป็นฝ่ายชนะ (หากคำไหนสะกดผิด หรือเขียนจนอ่านไม่ออก จะไม่นับคะแนนก็ได้เช่นกัน!)

ทักษะที่ได้รับ

นอกเหนือจากการฝึกจดจำและสะกดคำที่ถูกต้องแล้ว เด็กๆ ยังได้ฝึกทักษะการทำงานร่วมกันเป็นทีมและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอีกด้วย เพราะในการเล่นเกมฝึกภาษาเกมนี้ คนข้างหลังไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคนข้างหน้าจะเขียนคำเดียวกันกับที่ตัวเองก็คิดไว้ด้วยหรือเปล่า!

5. แฮงแมน (Hangman)

เป็นเกมทายคำศัพท์ที่เหมาะสำหรับช่วยเตรียมความพร้อมก่อนเรียน และเล่นเพื่อผ่อนคลายสั้นๆ ก่อนเลิกเรียนในกลุ่มเด็กเล็ก จนถึงเด็กโต โดยสามารถแบ่งความยากง่ายของคำศัพท์ตามกลุ่มได้

จำนวนผู้เล่น

ไม่จำกัด สามารถเล่นรวมกันทั้งห้องได้เลย

อุปกรณ์ที่จำเป็น

การสอนภาษาอังกฤษด้วยเกม Hangman แค่มีกระดานกับปากกาสำหรับเขียนกระดานก็สามารถเริ่มเกมได้

วิธีเล่น

  • ให้คุณครูเขียนเส้นกำหนดจำนวนตัวอักษรของคำแต่ละคำก่อน
  • หลังจากนั้นให้เด็กๆ ในห้องสลับกันสะกดคำทีละคน โดยอาจเริ่มจากคนที่ยกมือได้ไวที่สุดในรอบนั้น หรือเรียงตามลำดับซ้ายไปขวา หรือตามที่เด็กๆ ตกลงกันเองก็ได้เช่นกัน
  • เนื่องจากเล่นเกมรวมกัน เด็กๆ สามารถปรึกษากันได้ว่า คำศัพท์น่าจะเป็นคำว่าอะไร หรือควรเสนอตัวอักษรใด
  • หากตอบผิด คุณครูจะเป็นคนวาดรูปเติมที่ละจุดให้เป็น Hangman
  • เกมจบเมื่อนักเรียนสามารถสะกดคำศัพท์ได้ถูกต้องครบถ้วนก็จะเป็นฝ่ายชนะ แต่หากคุณครูวาดรูปครบก่อนก็ เด็กๆ จะเป็นฝ่ายแพ้

ทักษะที่ได้รับ

ได้ฝึกวิเคราะห์ จดจำ และคาดเดาคำศัพท์ผ่านการสะกดคำร่วมกันเป็นทีม

เกมจับผิดภาพ

6. เกมจับผิดภาพ (What is Wrong with This Picture?)

เกมนี้ เหมาะสำหรับใช้ฝึกภาษาอังกฤษระหว่างเรียน เริ่มบทเรียนใหม่ และใช้สำหรับทบทวนบทเรียนก่อนหน้า โดยสามารถสอดแทรกเนื้อหาได้ในทุกๆ แง่มุมตามระดับภาษาของเด็กๆ ในห้อง

จำนวนผู้เล่น

ไม่จำกัด สามารถเล่นรวมกันทั้งห้องได้ หรือหากแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ จำนวน 3-4 คน ก็จะยิ่งช่วยให้เด็กๆ ได้มีโอกาสในการแสดงความคิดเห็นได้มากขึ้น

อุปกรณ์ที่จำเป็น

ภาพที่นำมาใช้สำหรับจับผิด สามารถเปิดแสดงขึ้นจอ หรือจะพิมพ์ออกมาเพื่อใช้คล้าย Flashcard ก็ได้เช่นกัน ยิ่งหากเป็นภาพที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เกมจะยิ่งเพิ่มความสนุกให้นักเรียนได้ช่วยกันแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกันได้ดียิ่งขึ้น

วิธีเล่น

  • นำภาพมาแสดงให้นักเรียนในห้องดูร่วมกัน หรืออาจแบ่งภาพออกเป็นกลุ่มย่อย แล้วกระจายให้ในทีมร่วมกันแสดงความคิดเห็น
  • สลับให้นักเรียนแต่ละคนได้มีส่วนร่วมแสดงความเห็น หรืออธิบายจุดแตกต่าง หรือจุดที่แปลกประหลาดของภาพนั้นๆ
  • ระหว่างเล่นเกม คุณครูอาจมีคำถามอื่นๆ ร่วมด้วยก็ได้เช่นกัน

ทักษะที่ได้รับ

การเรียนภาษาอังกฤษผ่านเกมจับผิดภาพนี้ เด็กๆ จะได้ฝึกการสังเกตและทำความคุ้นเคยกับสิ่งรอบข้างมากขึ้น สามารถวิเคราะห์แยกแยะสิ่งที่ควรเป็นไปในความเป็นจริง กับส่วนที่สร้างสรรค์เพิ่มเติมเข้ามาผ่านภาพที่ใช้จับผิดได้

7. ฉันอยากได้… (Bring Me…)

เป็นเกมที่ใช้สำหรับฝึกคำศัพท์ผ่านรูปประโยคง่ายๆ ไปจนถึงซับซ้อนขึ้น เหมาะสำหรับเด็กเล็กๆ และใช้สำหรับช่วยสอนและทบทวนคำศัพท์

จำนวนผู้เล่น

ไม่จำกัด สามารถเล่นรวมกันทั้งห้องได้เลย

อุปกรณ์ที่จำเป็น

เพียงแค่มีอุปกรณ์สำหรับให้เด็กๆ ใช้สำหรับเกม อาจเป็นของเล่น ผลไม้ ตุ๊กตาสัตว์ต่างๆ หรืออย่างง่ายที่สุดก็สามารถใช้อุปกรณ์ในหรือนอกห้องเรียนก็ได้เช่นกัน

วิธีเล่น

  • คุณครูเริ่มต้นออกคำสั่งโดยตั้งต้นประโยคว่า “Bring me… ” เพื่อบอกว่านักเรียนจะต้องไปหยิบอะไรมา ซึ่งสามารถออกคำสั่งตั้งแต่ง่าย ไปจนถึงยาก ได้ เช่น
    • คำสั่งแบบตรงตัว ได้แก่ Bring me a pencil / an apple.
    • คำสั่งแบบกว้างๆ ได้แก่ Bring me something to eat. หรือ Bring me something black. เป็นต้น
    • คำสั่งที่ให้เด็กๆ คิดต่อ แต่มีความเฉพาะเจาะจง ได้แก่ Bring me the thing you use for brushing your teeth. ฯลฯ
  • หลังจากนั้นให้เด็กๆ เดินไปหยิบสิ่งของนั้นๆ เมื่อหยิบมาถูกต้อง คุณครูอาจให้เด็กๆ บอกเป็นรูปประโยคด้วยก็ได้ว่าสิ่งที่หยิบมานั้นคืออะไร

ทักษะที่ได้รับ

เด็กๆ จะได้เรียนรู้คำศัพท์ที่หลากหลาย พร้อมทักษะการตัดสินใจด้วยเช่นกัน เนื่องจากเป็นเกมที่เด็กๆ ต้องลงมือเลือกหยิบสิ่งของตามโจทย์ที่ให้ไว้ ซึ่งบางโจทย์อาจกว้างและหลากหลายนั่นเอง

เกมตอบให้ทัน

8. ตอบให้ทัน (Against Time)

เกมตอบให้ทันเหมาะสำหรับฝึกคำศัพท์ท้ายบทเรียน เพื่อช่วยทบทวนความจำให้กับเด็กๆ

จำนวนผู้เล่น

ไม่จำกัด สามารถเล่นรวมกันทั้งห้องได้เลย

อุปกรณ์ที่จำเป็น

ใช้ลูกบอล หรืออาจเป็นตุ๊กตา ฯลฯ เพื่อช่วยในการส่งให้คนถัดไปตอบคำถาม โดยใช้นาฬิกาทรายอันเล็กๆ ที่มีเวลาจำกัดไม่นานร่วมด้วย เพื่อช่วยสำหรับจำกัดเวลาในการตอบคำถามของเด็กๆ หรือคุณครูอาจนับถอยหลังให้ด้วยก็ได้เช่นกัน

วิธีเล่น

  • ให้คุณครูกำหนดหัวข้อของคำศัพท์ที่อยากให้เด็กๆ ทบทวน เช่น คำศัพท์เกี่ยวกับคำกริยาง่ายๆ อย่าง Climb, Drive, Eat หรืออาจเป็นคำหมวดอื่นก็ได้เช่นกัน
  • ให้เด็กๆ เร่งตอบคำถามภายในเวลาที่กำหนด หากพูดไม่ทัน หรือพูดผิดก็จะนับออกจากเกม หรือสามารถให้ทำอย่างอื่นเพื่อชดเชยได้ เช่น ช่วยกันท่องคำศัพท์ที่เรียนไปใหม่ ก่อนที่จะกลับเข้ามาเล่นเกมใหม่
  • คุณครูอาจเพิ่มชุดคำศัพท์อื่นๆ ให้เด็กๆ สลับกันตอบไปเรื่อยๆ ได้

ทักษะที่ได้รับ

เกมนี้เป็นเกมที่ฝึกให้เด็กๆ ได้ท่องจำคำศัพท์ประกอบกับการฝึกความไวในการคิดและพลิกแพลงคำตอบ เมื่อคนก่อนหน้าได้พูดคำศัพท์ที่ตัวเองคิดรอไว้แล้ว ซึ่งจะเป็นการช่วยให้เด็กๆ ได้แผ่ขยายคลังคำศัพท์ในขณะที่คิดเผื่อไว้ได้ดีอีกด้วย

9. ตามล่า หาสมบัติ (Treasure Hunt)

เป็นอีกหนึ่งเกมสอนภาษาอังกฤษที่ช่วยให้เด็กๆ ได้ฝึกพูดและเห็นภาพจริงของเนื้อหาที่เรียน เหมาะสำหรับใช้กับบทเรียนเรื่อง Preposition ที่ใช้ในการระบุตำแหน่ง และบทเรียนอื่นๆ ตามที่คุณครูออกแบบ

จำนวนผู้เล่น

ไม่จำกัด สามารถเล่นรวมกันทั้งห้องได้เลย

อุปกรณ์ที่จำเป็น

ควรจะมีพื้นที่สำหรับซ่อนของ อาจเป็นได้ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน (ควรจำกัดขอบเขตให้คุณครูดูแลได้ทั่วถึงด้วยนะ!) และควรมีสิ่งของที่นำไปซ่อนขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ เพื่อให้เด็กๆ หาของไม่ยากและไม่ง่ายจนเกินไป

วิธีเล่น

  • คุณครูนำสมบัติ หรือก็คือสิ่งของที่เตรียมไว้ครั้งละ 1 – 3 ชิ้น ไปซ่อนตามที่ต่างๆ
  • ให้เด็กๆ เป็นผู้ทายว่าคุณครูนำไปซ่อนไว้ที่ไหน โดยให้ตั้งคำถามเป็นประโยค เช่น
    • Is it behind the curtain?
    • Are they under the palm tree?
  • ใครที่ตอบถูก คุณครูอาจให้รางวัลโดยการแต่งตั้งให้เป็นคนเอาสมบัติไปซ่อนเองได้ ภายในระยะเวลา หรือขอบเขตที่กำหนด

ทักษะที่ได้รับ

นอกจากจะได้ฝึกการสนทนาและตั้งคำถามแล้ว เด็กๆ จะได้ฝึกคำศัพท์อื่นๆ เพิ่มเติมที่อยู่นอกเหนือบทเรียนเพื่อใช้ในการถาม-ตอบอีกด้วย

เกมแข่งกันร้องเพลง

10. เกมแข่งกันร้องเพลง (Sing It Out Loud!)

สามารถใช้ประกอบการเรียนการสอนตามบทเรียน หรือนอกเหนือไปจากบทเรียนก็ได้ เหมาะสำหรับทุกช่วงวัย

จำนวนผู้เล่น

ไม่จำกัด สามารถเล่นรวมกันทั้งห้องได้เลย

อุปกรณ์ที่จำเป็น

เครื่องเล่นเพลง และเพลงที่จะใช้ประกอบการฝึกร้องของเด็กๆ โดยอาจแบ่งระดับความยากง่ายของเพลงผ่านความซับซ้อนของภาษาที่ใช้ในแต่ละเพลงได้ เช่น หากเป็นกลุ่มเด็กเล็ก อาจใช้เพลงของ Coco Melon ฯลฯ เพื่อปูพื้นคำศัพท์ขึ้นพื้นฐาน หากเป็นเด็กโตหน่อยก็อาจใช้เพลงที่กำลังอยู่ในกระแสช่วงนั้นๆ ก็ได้เช่นกัน

วิธีเล่น

  • คุณครูเปิดเพลงให้เด็กๆ ฟังก่อน 1 รอบ
  • เริ่มสอนให้เด็กๆ ร้องเพลงตาม และอาจมีท่าทางประกอบเพื่อเสริมความเข้าใจและความจำ
  • แบ่งทีมออกเป็น 2 ทีม หรือมากกว่านั้นเพื่อให้ออกมาร้องเพลงหน้าห้องเรียน

ทักษะที่ได้รับ

ทักษะเพิ่มเติมที่เด็กๆ ได้รับจากกิจกรรมนี้ก็คือ ความกล้าแสดงออก และทักษะด้านการร้องและการเต้นเข้าจังหวะเพลง ที่จะช่วยเสริมภาพจำของการเรียนภาษาอังกฤษที่สนุกสนานให้เด็กๆ ได้

11. บอร์ดเกมยักษ์ (Big Board Game)

เกมสอนภาษาอังกฤษเกมนี้เป็น Active Learning Method ที่ทาง Speak Up Language นำมาใช้จริงในคลาส เหมาะสำหรับช่วยสอนคำศัพท์เด็กเล็กๆ ไปจนถึงเด็กโต ในขณะที่เด็กๆ เองก็ได้ขยับร่างกายไปด้วย ลักษณะคล้ายกันกับเกมบันไดงู แต่นักเรียนจะเป็นผู้เล่นที่เดินตามช่องจริง

จำนวนผู้เล่น

ไม่จำกัด สามารถเล่นรวมกันทั้งห้องได้เลย โดยที่จะแบ่งให้เล่นทีละคน และสลับกันไปเรื่อยๆ

อุปกรณ์ที่จำเป็น

อุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้เลย คือ การ์ดคำศัพท์ หรือคำถามแผ่นใหญ่ ที่จะต้องนำมาเรียงไว้ที่พื้น และลูกเต๋ายักษ์เพื่อใช้สำหรับกำหนดจำนวนก้าวที่ต้องเดิน

วิธีเล่น

  • ให้นักเรียนผลัดกันทอยลูกเต๋ายักษ์ที่เตรียมไว้ แล้วเดินตามจำนวนแต้มที่ได้
  • เมื่อเดินถึงกระดาษคำถามหรือคำศัพท์แผ่นไหน ให้อ่านและตอบคำถามนั้นๆ
  • สลับกันทอยลูกเต๋าไปเรื่อยๆ จนถึงจุดสิ้นสุดของแผ่นคำถาม

ทักษะที่ได้รับ

เกมนี้จะช่วยฝึกความอดทนแบบอ้อมๆ ให้กับเด็กๆ ในขณะที่สามารถกระตุ้นความอยากเรียนรู้ได้ในคราวเดียวกัน ในระหว่างรอที่จะทอยลูกเต๋าเพื่อเดินในแต่ละรอบ เด็กๆ จะไม่รู้สึกว่าการเรียน หรือการตอบคำถามเป็นภาระหรือยาขมที่ไม่อยากทำนั่นเอง

เกมกระโดดร่ม

12. เกมกระโดดร่ม! (Parachute!)

เป็นอีกหนึ่ง Active Learning Method ที่ทาง Speak Up Language ใช้ประกอบการสอนและทบทวนบทเรียนและคำศัพท์ที่สถาบัน

จำนวนผู้เล่น

เหมาะที่จะเล่นเป็นกลุ่มเล็กๆ ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป

อุปกรณ์ที่จำเป็น

ในเกมนี้ คุณครูควรเตรียมลูกบอลลูกเล็กๆ ที่แปะคำถามหรือใส่คำศัพท์ไว้ให้เรียบร้อย ประมาณ 5-10 ลูก หรือตามความเหมาะสม และผ้า 1 ผืนที่นำมาใช้เป็น Parachute ควรเป็นผ้าร่ม ลักษณะลื่นและเบา เพื่อให้ลูกบอลสามารถหล่นลงมาได้ง่ายๆ

วิธีเล่น

  • ให้เด็กๆ ยืนรวมกันเป็นวงกลม โดยที่แต่ละคนจับมุมผ้าเอาไว้
  • คุณครูใส่ลูกบอลลงไปบนผ้าร่มที่ถือ แล้วให้เด็กๆ เริ่มช่วยกันสะบัดผ้าเพื่อให้ลูกบอลหล่นลงมาทีละลูก
  • เมื่อลูกบอลล่วงลงมา หากเป็นคำศัพท์ก็ให้เด็กๆ อ่านพร้อมกัน หรือหากเป็นคำถาม อาจให้ตอบพร้อมกันหรือให้ตอบทีละคนก็ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะของคำถามนั้นๆ

ทักษะที่ได้รับ

นอกจากเกมนี้จะช่วยในการทบทวนหรือสอนบทเรียนภาษาอังกฤษให้เด็กๆ แล้ว ยังช่วยดึงดูดความสนใจ และช่วยให้เด็กรู้สึกกดดันน้อยลงเมื่อถูกเรียกให้อ่าน หรือตอบคำถาม ซึ่งเป็นการฝึกทักษะให้เด็กๆ คุ้นชินกับการกล้าแสดงออกได้อีกด้วย

สรุป

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ก็คงจะได้ไอเดียกันแล้วว่าการเรียนการสอนผ่านการเล่นเกมภาษาอังกฤษหรือทำกิจกรรมในห้องเรียนนั้น มีประโยชน์และช่วยส่งเสริมความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กๆ ได้อย่างไรบ้าง หากคุณครูหรือผู้ปกครองท่านใดสนใจเสริมสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดีให้กับเด็กๆ แล้วล่ะก็ สามารถนำเกมที่เราแนะนำไปปรับใช้ได้เลย! หรือถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ท่านใดกำลังมองหาห้องเรียนภาษาอังกฤษที่ทั้งสนุกและได้ทักษะความรู้ให้กับลูกๆ ทาง Speak Up Language Center ก็มีหลักสูตรการเรียนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กแต่ละกลุ่มช่วงอายุ ที่ส่งเสริมให้เด็กๆ ได้สนุกกับการเรียนภาษาผ่านการทำกิจกรรมและเสริมสร้างการเรียนรู้ของเด็กที่แท้จริง

ข้อดีของการเรียนภาษาจีนตั้งแต่เด็ก ที่ลูกจะได้รับและนำไปใช้ในอนาคต

ข้อดีของการเรียนภาษาจีนตั้งแต่เด็ก ที่ลูกจะได้รับและนำไปใช้ในอนาคต

ภาษาเป็นสิ่งสำคัญที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวันของทุกคน เพราะเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกัน และแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ต่างๆ ซึ่งการเรียนภาษาต่างประเทศเพิ่มเติมนั้นถือว่าเป็นประโยชน์ต่อการเปิดโลก รวมถึงเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในอนาคตอย่างมาก โดยส่วนใหญ่แล้วภาษาที่จำเป็นต้องเรียนกันก็จะเป็นภาษาอังกฤษเพราะถือเป็นภาษาสากลที่คนส่วนใหญ่ใช้กันทั่วโลก แต่รู้หรือไม่ว่าในปัจจุบันนี้ภาษาจีนก็ถือเป็นอีกภาษาที่สำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากจีนนั้นเรียกได้ว่าเป็นแหล่งเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ของโลก และจำนวนประชากรที่ใช้ภาษาจีนก็มีอยู่มาก ทำให้จีนมีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างมากทั้งต่อโลกและประเทศไทยในปัจจุบัน ดังนั้นหลายๆ คนจึงสนใจที่จะเรียนภาษาจีนกันมากขึ้น และต้องการจะส่งเสริมให้ลูกๆ ได้เรียนภาษาจีนกันตั้งแต่เด็กๆ ข้อดีของการเรียนภาษาจีนจะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

ภาษาจีนดียังไง ทำไมต้องเรียน

ภาษาจีนดียังไง ทำไมต้องเรียน

บางคนอาจจะสงสัยและอยากทราบว่าการเรียนภาษาจีนนั้นดีอย่างไร ทำไมหลายๆ คนถึงเลือกที่จะเรียนภาษาจีนเป็นภาษาที่สอง หรือภาษาที่สาม บอกเลยว่าข้อดีของการเรียนภาษาจีนนั้นมีมากมายหลายข้อด้วยกัน บทความนี้จะพาไปดูว่าการเรียนภาษาจีนนั้นมีข้อดีหรือประโยชน์อะไรบ้าง ลองไปดูกัน

  1. ภาษาจีนเป็นภาษาที่ผู้คนใช้พูดกันมากที่สุดในโลก โดยทั่วโลกมีผู้ใช้ภาษาจีนในการติดต่อสื่อสารกันมากกว่าหนึ่งพันล้านคน เนื่องจากว่าเป็นภาษาหลักที่ใช้กันในประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก มีจำนวนมากถึงประมาณ 1,400 ล้านคน นับเป็นจำนวนกว่า 1 ใน 5 ของประชากรทั้งโลก นอกจากในประเทศจีนแล้ว ภาษาจีนยังถูกใช้เป็นภาษาทางการในประเทศอย่างสิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง มาเก๊า รวมถึงเป็นภาษาที่ใช้พูดกันอย่างแพร่หลายในประเทศอื่นๆ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ฯลฯ อีกด้วย
  2. จีนมีบทบาทเพิ่มขึ้นในโลกค่อนข้างมาก โดยเฉพาะบทบาททางด้านเศรษฐกิจ เรียกว่าจีนเป็นหนึ่งในประเทศสำคัญ ซึ่งถือได้ว่าเป็นประเทศมหาอำนาจหรือผู้นำด้านเศรษฐกิจรายใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก และมีแนวโน้มที่ตลาดของจีนจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นหากเราเรียนรู้ภาษาจีนจะถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากในการติดต่อทางธุรกิจ และการทำการค้า ช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ เช่น การนำเข้าส่งออกสินค้ากับต่างประเทศ การลงทุนกับต่างประเทศ เป็นต้น
  3. จีนมีอิทธิพลต่อด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย นักท่องเที่ยวชาวจีนถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีขนาดใหญ่และมีจำนวนมากสำหรับประเทศไทย ทำให้พ่อค้าแม่ค้าหรือผู้ที่ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนนั้นต้องการที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนโดยการเรียนภาษาจีนเพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารนั้นเพื่อเพิ่มข้อได้เปรียบของตน
  4. ทำความรู้จักเพื่อนคนต่างชาติ ผู้คนใหม่ๆ เช่น ในการไปเรียนแลกเปลี่ยนในต่างประเทศ หรือมีนักเรียนแลกเปลี่ยนจากต่างประเทศมาเรียนในประเทศไทย ก็สามารถที่จะใช้ภาษาจีนในการพูดคุยทำความรู้จักกับเพื่อนๆ ได้ หรืออาจจะเป็นการเดินทางไปท่องเที่ยวหรือทำงานในต่างประเทศ ก็สามารถใช้ทักษะภาษาจีนที่มีในการพูดคุยกับคนต่างชาติ เพื่อทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ เพิ่มความใกล้ชิดสนิทสนมได้ง่ายขึ้น เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความรู้ใหม่ ที่หาไม่ได้จากในประเทศ
  5. การท่องเที่ยว หากคุณมีความสามารถที่จะพูดคุยภาษาจีนได้ จะถือว่ามีประโยชน์อย่างมากในการไปท่องเที่ยวในจีน หรือประเทศอื่นๆ ที่มีการใช้ภาษาจีน โดยคุณสามารถไปเที่ยวได้ด้วยตัวเองไม่ต้องไปพึ่งการท่องเที่ยวแบบทัวร์ที่จะต้องไปตามจุดหมายหรือตามแพลนที่กำหนดไว้เท่านั้น ทำให้สามารถท่องเที่ยวอย่างอิสระไปพร้อมกับได้พูดคุยกับคนท้องถิ่นได้เอง เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ ได้ทำความรู้จักและค้นพบความเป็นจีนอย่างแท้จริงอย่างที่นักท่องเที่ยวทั่วไปไม่ค่อยจะได้พบกัน อีกทั้งการที่คุณพูดภาษาจีนได้จะเป็นการสร้างความประทับใจให้กับคนท้องถิ่นที่ใช้ภาษาจีน นั่นจะทำให้การท่องเที่ยวของคุณเป็นการเดินทางที่มีคุณค่าและเพิ่มความประทับใจขึ้นอย่างแน่นอน
  6. เปิดโลกในการเรียนรู้ ทั้งในด้านการศึกษา การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ วัฒนธรรมต่างๆ ภาษาก็เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการหาข้อมูลสิ่งที่น่าสนใจต่างๆ นอกเหนือไปจากการค้นคว้าด้วยภาษาไทยเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้อารยธรรมของจีนเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่และมีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานมาก การเรียนรู้ภาษาจีนและวัฒนธรรมจีนจะทำให้คุณได้พบสิ่งที่น่าสนใจ และได้ทราบถึงรากฐานของวัฒนธรรมต่างๆ ที่อาจเป็นต้นกำเนิดของหลายๆ อย่างในปัจจุบัน
  7. เพิ่มโอกาสในการทำงาน การเรียนรู้ภาษาที่สองภาษาที่สามนั้นแน่นอนว่าเป็นการเพิ่มโอกาสที่จะเติบโตและเพิ่มความก้าวหน้าในการทำงานอย่างดี โดยเฉพาะภาษาที่มีคนใช้กันมากๆ อย่างภาษาอังกฤษและภาษาจีน ในกิจการที่มีขนาดใหญ่หรือมีการติดต่อทำธุรกิจกับต่างประเทศ มักต้องการผู้ที่มีทักษะความสามารถในการสื่อสารหลายภาษา อย่างธุรกิจที่มีคู่ค้าหรือเป็นบริษัทของจีนที่มีฐานการผลิตในไทยก็จะยิ่งต้องการคนที่สามารถใช้ภาษาจีนได้ ดังนั้นข้อดีของการเรียนภาษาจีนเพื่อเป็นภาษาที่สองที่สามนั้นจะทำให้คุณเป็นที่ต้องการของนายจ้างมากมาย พร้อมทั้งเป็นตัวช่วยในการช่วยเพิ่มเงินเดือนและความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานของคุณได้อีกด้วย
  8. ช่วยพัฒนาสมองและพัฒนาศักยภาพของตนเอง การเรียนภาษาจีนเป็นการเพิ่มทักษะความสามารถของคุณ ที่จะเป็นสิ่งติดตัวที่ถือเป็นข้อได้เปรียบเมื่อต้องมีการเปรียบเทียบกับคนอื่น อาจจะเป็นในการเรียนต่อต่างประเทศ การสมัครงาน การไปทำงานต่างประเทศ การเลือกอาชีพงานก็จะมีตัวเลือกที่มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น อาจเป็นไกด์นำทาง ล่ามแปลภาษา ครูสอนภาษา พนักงานฝ่ายที่ต้องติดต่อกับต่างประเทศ หรือฝ่ายการนำเข้าส่งออก นักเขียน เจ้าของธุรกิจ ฯลฯ 
  9. ภาษาจีนมีหลักไวยากรณ์ที่ไม่ยากนัก มีความตรงไปตรงมา จึงทำให้สามารถเรียนรู้ได้ง่าย ไม่ซับซ้อนยุ่งยาก ทั้งนี้ภาษาจีนไม่มีเรื่องของการผันคำกริยาหรือการผันคำนามอย่างเช่น การผันคำกริยาตามรูปแบบโครงสร้างประโยคที่เป็น present, past, future หรือการเปลี่ยนคำสรรพนามตามเพศ คำนามที่เป็นเอกพจน์ พหูพจน์ ทำให้ไม่จำเป็นที่ต้องจดจำหลักการมากมาย  เพราะฉะนั้นการเรียนภาษาจีนนั้นไม่ได้ยากอย่างที่หลายคนคิด นอกจากนี้อักษรจีนมีรากศัพท์พัฒนามาจากอักษรภาพ โดยมีลักษณะคล้ายการวาดภาพ ทำให้การจำอักษรจีนเข้าใจง่ายขึ้น
  10. ช่องทางการเรียนภาษาจีนมีมากมายหลายช่องทาง ไม่ใช่เพียงแค่การต้องมาเปิดพจนานุกรมท่องคำศัพท์ หรือต้องเปิดเสียงจากเทปฟังเพียงอย่างเดียว ในยุคสมัยปัจจุบันมีแพลตฟอร์มต่างๆ ที่สามารถเรียนรู้ภาษาจีนได้ง่ายและสะดวกขึ้น ทั้งคลาสเรียนตัวต่อตัว หรือคลิปวิดีโอออนไลน์ ที่มีรูปแบบการสอนที่น่าสนใจ ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น หรือกระทั่งแอพพลิเคชันที่มีการใช้เกมลูกเล่นต่างๆ มาช่วยเพิ่มความน่าสนใจในการเรียนและทำให้เรียนได้อย่างสนุกสนานมากยิ่งขึ้น
ข้อดีของการเรียนภาษาจีนตั้งแต่เด็ก

ข้อดีของการเรียนภาษาจีนตั้งแต่เด็ก มีมากกว่าที่คิด แถมช่วยให้การใช้ชีวิตได้เปรียบ

หลังจากที่ได้ทราบกันไปแล้วว่าข้อดีของการเรียนภาษาจีนนั้นมีอะไรบ้าง พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนก็มีความต้องการที่จะให้ลูกๆ ได้เรียนภาษาจีนกัน แต่อาจจะยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นยังไง บอกเลยว่าการเริ่มเรียนภาษาตั้งแต่เด็กนั้น จะส่งผลดีต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก ทั้งยังจะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตของลูกๆ มากกว่าที่คุณคิด โดยข้อดีของการเรียนภาษาจีนตั้งแต่เด็กนั้น มีดังนี้

  1. กระตุ้นพัฒนาการของสมอง ทั้งด้านการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ และการคิดวิเคราะห์ การประมวลผลข้อมูลต่างๆ
  2. เพิ่มทักษะในการแก้ไขปัญหา ในการเรียนภาษาจีนนั้นจะทำให้เด็กๆ ได้ฝึกการแยกแยะความแตกต่างของชุดตัวอักษร โทนเสียง สำเนียงการพูด
  3. ฝึกฝนทักษะด้านความจำ ใช้ในการจดจำคำศัพท์ใหม่ๆ และฝึกฝนสมองในส่วนของความจำได้มีการใช้งานอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้ในการจดจำชุดตัวอักษรต่างๆ ทำให้ความจำดีขึ้นนั่นเอง
  4. เสริมสร้างทัศนคติที่ดี ความรอบรู้ รวมถึงการปรับตัวเปิดใจกว้างในการรับสิ่งใหม่ๆ
  5. เพิ่มความสามารถในการสื่อสาร ทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน
  6. มีความมั่นใจในการพูดคุย สื่อสารภาษาต่างประเทศมากขึ้น
  7. เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ ของประเทศจีน
  8. การเรียนรู้ภาษาตั้งแต่อายุน้อยๆ จะได้ผลดีและมีประสิทธิภาพมากกว่าการมาเรียนในตอนที่อายุเยอะ การเรียนภาษาจีนตั้งแต่เด็กเป็นการวางรากฐานและปลูกฝังการใช้ภาษาที่ได้ผลดี
  9. เพิ่มโอกาสทางการเรียนในอนาคต เช่น อาจจะได้มีการไปศึกษาต่อในต่างประเทศ หรือได้ทุนในการเรียนต่อ หากมีพื้นฐานการใช้ภาษา ก็จะมีโอกาสที่จะได้ไปเรียนในสังคมหรือประเทศเจ้าของภาษา
อยากส่งลูกเรียนภาษาจีน เลือกโรงเรียนสอนภาษาจีนที่ไหนดี

อยากส่งลูกเรียนภาษาจีน เลือกโรงเรียนสอนภาษาจีนที่ไหนดี

สำหรับผู้ปกครองท่านไหนที่กำลังตามหาสถาบันสอนภาษาจีนสำหรับลูกๆ ของท่าน ขอแนะนำ

‘Speak Up Language Center’ สถาบันสอนภาษาสำหรับเด็ก ซึ่งเปิดสอนตั้งแต่เด็กเล็ก เด็กอนุบาล จนถึงเด็กประถม ที่อยู่ในช่วงอายุ 2.5 ถึง 12 ปี ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน 

  • โดยมีการประยุกต์ใช้การสอนแบบมอนเตสซอรี่ (Montessori) ที่เน้นความต้องการของเด็กเป็นสำคัญ โดยจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการเรียนรู้สำหรับเด็ก มีการแบ่งกลุ่มตามช่วงอายุ มีการให้อิสระ ให้คำปรึกษาและกระตุ้นให้เด็กคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง 
  • สอนโดยคุณครูมืออาชีพที่มีประสบการณ์และเทคนิคการสอนภาษาเด็กเล็ก 
  • สถาบันสอนภาษา Speak Up Language Center มีจุดมุ่งหมายในการสอนภาษาอังกฤษและจีน ให้เด็ก ๆ ทุกคนสามารถปลดปล่อยศักยภาพของตัวเองออกมาได้เต็มที่ รวมถึงมีกิจกรรมอื่น ๆ ที่ประยุกต์เข้ากับหลักสูตรการสอน ไม่ว่าจะเป็นการฝึกพูด อ่าน เขียน แม้กระทั่งร้องเพลงเป็นภาษานั้น ๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ 
  • นอกจากนี้ สถาบันเน้นการสอนที่ให้เด็กๆ ทุกคนได้สนุกและมีความสุขกับการเรียนภาษา ทั้งยังเรียนรู้การใช้ภาษาได้อย่างมั่นใจ และสามารถนำภาษาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง

สรุป

ข้อดีของการเรียนภาษาจีนนั้นมีประโยชน์และข้อดีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการในการติดต่อสื่อสาร เพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจ การลงทุน และการทำงาน เปิดโลกในการเรียนรู้วัฒนธรรมและอารยธรรมจีน รวมถึงประสบการณ์ในการท่องเที่ยว และยังช่วยพัฒนาทักษะความสามารถทางด้านภาษาของคุณ

การเริ่มเรียนรู้ภาษาจีนตั้งแต่เด็ก ๆ ยิ่งจะทำให้สามารถเรียนรู้ได้ดีและมีประสิทธิภาพมากกว่า อีกทั้งยังช่วยในการพัฒนาของสมองทั้งด้านความคิดสร้างสรรค์ ความจำ การคิดแก้ไขปัญหา เสริมสร้างทักษะการสื่อสาร และเป็นการวางรากฐานเพื่ออนาคตที่ดีให้กับลูก ๆ ของคุณ

สำหรับใครที่สนใจอยากให้ลูกหลานได้เรียนภาษาสามารถติดต่อ Speak Up Language Center ซึ่งเป็นสถาบันสอนภาษาสำหรับเด็กที่มีการแผนการเรียนการสอนและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ที่จะทำให้เด็ก ๆ ได้มีความสุขกับการเรียนภาษา ทั้งยังเรียนรู้การใช้ภาษาได้อย่างมั่นใจ และสามารถนำภาษาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง

ปกบทความ วิธีกระตุ้นให้ลูกพูด

ปลดล็อคปัญหาลูกพูดน้อย กับ 7 วิธีกระตุ้นให้ลูกพูดเก่งอย่างมีพัฒนาการ

วัยเด็กเป็นวัยที่กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว การเฝ้ามองพัฒนาการของลูกเป็นกิจวัตรที่คนเป็นพ่อแม่มักจะตื่นเต้นเสมอ เมื่อเห็นว่าลูกเริ่มที่จะตัวโตขึ้น เริ่มตั้งไข่ หรือเริ่มพูดได้ แต่ถ้าหากว่าลูกของเรามีพัฒนาการบางอย่างที่ช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน ก็อาจเริ่มทำให้พ่อแม่หลายคนเกิดความกังวลใจ

หนึ่งในปัญหาหนักอกหนักใจของพ่อแม่ ผู้ปกครองอันดับต้นๆ ที่ทำให้เกิดความกังวลใจเลยก็คือ ปัญหาลูกไม่ยอมพูด พูดน้อย หรือมีพัฒนาการเกี่ยวกับการพูดที่ช้ากว่าเด็กคนอื่น ซึ่งปัญหาด้านการพูดเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการวินิจฉัยจากกุมารแพทย์ว่ามีสาเหตุเกิดจากอะไร เพื่อได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ดังนั้น ในบทความนี้จะมาแนะนำวิธีกระตุ้นให้ให้ลูกพูด รวมถึงบอกสาเหตุ และวิธีแก้ปัญหาที่จะช่วยให้ลูกน้อยของคุณมีพัฒนาการด้านการพูดที่ดีขึ้น

เด็กจะเริ่มพูดได้ตอนไหน?

เด็กจะเริ่มพูดได้ตอนไหน?

พ่อแม่บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าพัฒนาการด้านการพูดของเด็กที่เหมาะสมกับวัยมีอะไรบ้าง หลายๆ ครั้งเรื่องการพูดช้า หรือพูดน้อยในเด็กถูกมองข้ามไป เพราะคิดว่าเขายังเด็กอยู่ เดี๋ยวก็พูดได้เอง หรือเด็กมีการพูดบ้าง แต่พูดน้อย สร้างประโยคไม่ได้ พอสื่อสารได้ แต่ไม่เหมาะสมกับวัยของเขา

เพื่อให้พัฒนาการเกี่ยวกับการพูดของลูกน้อยเป็นไปอย่างปกติ พ่อแม่ ผู้ปกครองจะต้องจับตามองเรื่องการพูดของลูกตั้งแต่วัยทารกกันเลย เพราะในแต่ละช่วงอายุของเด็กก็มีพัฒนาการด้านการพูดที่แตกต่างกันออกไป มาลองตรวจสอบกันดูดีกว่าว่า เด็กเริ่มพูดตอนไหน และลูกของคุณสามารถพูด หรือสื่อสารได้เหมาะสมกับวัยหรือเปล่า

  • วัยทารก (แรกเกิด – 1 ปี)

เด็กทารกตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 5 เดือนจะเริ่มมีการตอบสนองต่อเสียงพูดของพ่อแม่ และมีการโต้ตอบกลับด้วยเสียงอ้อแอ้ รวมทั้งสามารถเปล่งเสียงแสดงอารมณ์พอใจ หรือไม่พอใจได้ เช่น หัวเราะ ร้องไห้ ซึ่งการสื่อสารในวัยนี้ พ่อแม่จะต้องพยายามทำความเข้าใจ และแยกแยะให้ออกว่า ร้องไห้เพราะอะไร ง่วงนอน หิว ไม่สบายตัว หรือขับถ่าย เป็นต้น

เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 6 – 12 เดือน ทารกจะเริ่มเข้าใจคำสั้นๆ เวลาบอกว่าไม่ เริ่มออกเสียงเป็นคำที่ไม่มีความหมายซ้ำๆ เช่น บาบา (ba-ba) ดาดา (da-da) หรือมามา (ma-ma) มีการพยายามสื่อสารด้วยภาษากาย ทำตามคำสั่งง่ายๆ ได้ เริ่มเลียนเสียงการพูดของผู้ใหญ่ และเริ่มพูดคำแรก ซึ่งเป็นโมเมนต์สำคัญที่พ่อแม่เฝ้ารอเลยล่ะ

  • วัยเตาะแตะ (1 – 3 ปี)

เมื่ออายุ 12 – 17 เดือน เด็กจะเริ่มใช้คำที่มีความหมายมากขึ้น เรียกพ่อ หรือแม่ และตอบคำถามง่ายๆ ได้ อีกทั้งยังมีการใช้คำ 2 – 3 คำเพื่อเรียกสิ่งต่างๆ พยายามเลียนเสียงคำง่ายๆ ในช่วงนี้การออกเสียงอาจจะยังไม่ชัด เมื่ออายุถึง 18 – 23 เดือน จะเริ่มมีคลังคำศัพท์ที่มากขึ้น เรียกชื่ออาหารที่ทานเป็นประจำได้ เลียนเสียงสัตว์ และเริ่มผสมคำเป็นวลีสั้นๆ เช่น หิวนม กินข้าว เป็นต้น เมื่ออายุครบ 2-3 ปี สามารถใช้คำคุณศัพท์เพื่ออธิบายคำต่างๆ ได้ ตอบคำถามง่ายๆ และเข้าใจคำสั่งที่ยากขึ้นได้ ที่สำคัญการพูดมีความชัดเจนขึ้น สื่อสารรู้เรื่องมากขึ้น และพูดเป็นประโยคที่ยาวขึ้น

  • เด็กเล็ก (3 – 5 ปี)

เมื่อเข้าสู่วัยเด็กเล็กช่วง 3 – 4 ปี เด็กจะเริ่มมีการสื่อสารเพื่อแสดงอารมณ์ความรู้สึกมากขึ้นกว่าเดิม แทนที่จะพูดถึงสิ่งต่างๆ รอบตัวอย่างเดียว การออกเสียงก็มีความชัดเจนขึ้น บุคคลที่ไม่ใช่พ่อแม่ หรือคนใกล้ชิดก็สามารถเข้าใจในสิ่งที่เด็กสื่อสารได้ เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 4 – 5 ปี เด็กๆ จะเริ่มเข้าใจคำถามที่ยากและซับซ้อนมากขึ้น รวมถึงมีการใช้ประโยคที่มีความยาว 8 คำ หรือมากกว่านั้นได้ รวมถึงเริ่มมีส่วนร่วมในการสนทนา

อาการของปัญหาด้านการพูด

อาการแบบไหนที่บอกว่าลูกของเรากำลังมีปัญหาด้านการพูด

พ่อแม่บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าอาการที่บ่งบอกว่ามีปัญหาด้านการพูดมีลักษณะเป็นอย่างไร และลูกของเรามีพัฒนาการด้านการพูดปกติหรือเปล่า บางทีการเปรียบเทียบลูกกับเด็กคนอื่นๆ วัยเดียว กันอาจจะไม่ได้คำตอบที่แน่ชัด เพราะเด็กแต่ละคนมีพัฒนาการที่ต่างกันออกไป เพื่อให้ได้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เรามาทำความเข้าใจกันดีกว่าว่า อาการใดบ้างที่ควรจับตามองเป็นพิเศษ เพราะอาการเหล่านี้รู้เร็ว สามารถแก้ไขได้ง่ายกว่าการปล่อยไว้ ซึ่งอาจจะนำมาซึ่งปัญหาใหญ่ที่แก้ยาก แถมยังส่งผลต่อการใช้ชีวิตของเด็กในอนาคตได้

  • พูดติดอ่าง พูดไม่ชัด
  • การใช้เสียงผิดปกติ
  • อายุ 2 ขวบแล้ว แต่ยังไม่สามารถพูดได้
  • ไม่สามารถใช้ประโยคสั้นๆ ในการสื่อสารเมื่อมีอายุ 3 ขวบขึ้นไป
  • เมื่อมีอายุได้ 4-5 ปี ไม่สามารถพูดคุยบอกเล่าเรื่องราวง่ายๆ

บางครั้งปัญหาด้านการพูดอาจเกี่ยวเนื่องกับอาการออทิสติก ซึ่งจะมีอาการแตกต่างจากปัญหาพูดช้า (Speech Delay) อยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นปัญหาไม่สบตา ปัญหาด้านการเข้าสังคม การสื่อสาร เรียกแล้วไม่รับปากแม้จะได้ยินปกติ ไม่ค่อยเลียนแบบเสียง อารมณ์ หรือท่าทาง เป็นต้น

สาเหตุที่ลูกไม่ยอมพูด หรือลูกพูดช้าเกิดจากอะไร

สาเหตุที่ลูกไม่ยอมพูดหรือพูดช้าเกิดจากอะไร?

สาเหตุที่บ่งบอกว่าลูกมีปัญหาการพูดสามารถเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ ดังนั้นการแก้ไขปัญหาลูกพูดช้า ไม่ยอมพูด ไม่กล้าพูด พ่อแม่จึงต้องหาสาเหตุให้เจอว่าเกิดขึ้นจากอะไรกันแน่ที่ทำการพูดของลูกไม่พัฒนาไปตามธรรมชาติและวัยของเขาอย่างเหมาะสม บางรายสามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ในครรภ์จากการตรวจดูโครโมโซม หากความผิดปกติด้านการพูดเกิดจากสาเหตุของโรคพันธุกรรม

  • ความผิดปกติทางการพูด

หากลูกมีอายุ 3 ขวบแล้วแต่ยังไม่สามารถสื่อสารโดยใช้คำได้ ถึงแม้ว่าจะสามารถเข้าใจและสื่อสารแบบอวัจนภาษาได้ หรือสามารถพูดได้แค่คำสั้นๆ แต่มาประกอบเป็นวลีหรือประโยคง่ายๆ ไม่ได้ อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าลูกของคุณมีความผิดปกติทางด้านการพูด ในบางกรณีมีสาเหตุมาจากปัญหาด้านสมองที่ทำให้การเรียนรู้ผิดปกติ ซึ่งสาเหตุมาจากการคลอดก่อนกำหนด

  • ความผิดปกติของการได้ยิน

ถ้าลูกยังพูดไม่ได้ บางครั้งปัญหานี้ก็เกิดจากการได้ยินที่บกพร่อง ซึ่งส่งผลให้เด็กไม่สามารพูดออกมาเป็นคำได้ วิธีสังเกตง่ายๆ ว่าลูกของคุณมีการได้ยินที่ปกติหรือไม่ พ่อแม่สามารถทดสอบได้โดยการสังเกตว่าลูกมีการตอบสนองเมื่อกล่าวชื่อสิ่งของหรือไม่ หรือตอบสนองต่อท่าทางเท่านั้น

  • ขาดการกระตุ้น

การเรียนรู้ที่จะพูดจำเป็นต้องมีทั้งผู้ส่งสาร และผู้รับสาร โดยมีการโต้ตอบกัน เด็กบางคนขาดการกระตุ้นโดยการพูดคุยกับพ่อแม่ แต่อยู่กับเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ทั้งวันอาจทำให้เด็กพูดไม่รู้เรื่อง ไม่สามารถพูดคุยโต้ตอบได้แบบปกติ โดยปัจจัยที่ส่งผล คือ การปล่อยปะละเลย การทารุณกรรม และขาดการกระตุ้นให้ลูกพูด

  • ความผิดปกติทางสมอง

ความผิดปกติทางสมองเป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อบางอย่างที่ส่งผลต่อการพูด เช่น ภาวะสมองพิการ (Cerebral Palsy) โรคกล้ามเนื้อเสื่อม (Muscular Dystrophy)
การบาดเจ็บทางสมอง (Traumatic brain Injury)

  • ภาวะบกพร่องทางสติปัญญา (Intellectual Disability)

ภาวะบกพร่องทางสติปัญญาส่งผลต่อการพูดของเด็กที่ช้าลง เพราะเด็กที่มีภาวะนี้จะมีปัญหาด้านทักษะการเข้าสังคมและทักษะภาษาที่ช้า ไม่สมกับวัยของพวกเขา

วิธีที่ช่วยกระตุ้นให้ลูกพูด

วิธีไหนที่ช่วยกระตุ้นให้ลูกพูดเก่งขึ้น

เมื่อรู้แล้วว่าลูกของเรามีความผิดปกติด้านการพูด และมาจากสาเหตุอะไร ขั้นตอนต่อไป คือต้องกระตุ้นการพูดของลูก เด็กที่มีปัญหาไม่ยอมพูด หรือพูดไม่ได้ พ่อแม่ หรือผู้ปกครองสามารถหากิจกรรมที่กระตุ้นให้ลูกพูดได้ โดยต้องใช้ความพยายาม อดทน ใจเย็น และกระตุ้นให้ลูกพูดอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อหาวิธีกระตุ้นให้ลูกพูด และแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสมมากที่สุด หลายๆ ครั้ง สาเหตุที่ทำให้เด็กพูดช้ามาจากความผิดปกติของร่างกาย หรือมีภาวะออทิสติก ก็สามารถทำการรักษากับคุณหมออย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการกระตุ้นการพูดของลูกที่บ้านตามคำแนะนำของแพทย์ได้เลย

โดยในหัวข้อนี้จะมาแนะนำทริคกระตุ้นให้ลูกพูดที่ใครๆ ก็สามารถทำได้ ไม่ว่าจะป้องกันไว้ก่อน หรือกระตุ้นเพื่อให้ลูกพูดได้เป็นปกติเหมาะสมกับวัยของเขา

  • พยายามไม่จับผิด

บางครั้งเมื่อลูกต้องการสื่อสารกับเรา ก็ไม่ควรที่จะพยายามคอยจับผิดหรือตัดสินเขา เพราะจะทำให้เด็กขาดความมั่นใจ หรือไม่กล้าที่จะพูดได้ ซึ่งพ่อแม่ควรจะเป็นผู้ฟังที่ดี อย่าให้ลูกรู้สึกว่าไม่อยากพูดคุยด้วย ถ้าเห็นว่าลูกไม่สามารถสื่อสารความรู้สึกนึกคิดออกมาได้ดีเท่าที่ควร ก็ควรใช้ความเข้าใจในการพูดคุย

  • ให้ลูกได้ตอบคำถามเอง

เมื่อมีคนพยายามพูดคุยและถามคำถามกับลูกของคุณ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ญาติๆ หรือคนรู้จัก ต้องปล่อยให้เขาได้ตอบคำถาม และพูดคุยกับคนเหล่านี้เอง โดยไม่ต้องไปตอบแทน ผู้ปกครองบางคนเห็นว่าลูกขี้อาย ก็เลยตอบคำถามแทนลูก แต่วิธีนี้เป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง และพ่อแม่ หรือผู้ปกครองควรสนับสนุนให้ลูกได้กล้าพูด และกล้าตอบคำถามมากขึ้น

  • ให้ลูกได้เลือก

วิธีนี้คือการถามคำถามง่ายๆ ว่าต้องการอะไร โดยการให้ทางเลือก เช่น อยากดื่มนมช็อกโกแลต หรือนมสตรอว์เบอร์รี เป็นต้น ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้เด็กกล้าพูด กล้าเลือก และกล้าแสดงความต้องการของตัวเองออกมา

  • ไม่นิยามและเปรียบเทียบ

การที่เราไปนิยามว่าลูกของตนเองเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือไปเปรียบเทียบกับลูกคนอื่นๆ หรือพี่น้องของพวกเขาเอง เพราะเป็นการกระทำที่ลดความมั่นใจของพวกเขา ดังนั้น จึงควรสนับสนุนพวกเขาด้วยการชื่นชมจะดีกว่า

  • หาเวลาพูดคุย

เมื่อมีเวลาว่างควรชวนลูกพูดคุยเรื่องราวที่พวกเขาสนใจ ถามไถ่ และเป็นผู้ฟังที่ดี ที่สำคัญอย่าลืมลองถามคำถามปลายเปิดให้ลูกรู้สึกว่าการสนทนาน่าสนใจมและทุกคนมีส่วนร่วม รวมถึงใช้คำพูดที่ทำให้เขาอยากเล่าสิ่งต่างๆ ให้ฟัง

กิจกรรมที่ช่วยพัฒนาและกระตุ้นการพูดของลูก

แนะนำ 5 กิจกรรมที่ช่วยพัฒนาและกระตุ้นการพูดของลูกน้อยได้ดีขึ้น

การทำกิจกรรมร่วมกันนอกจากจะเป็นวิธีกระตุ้นให้ลูกพูด และเป็นการสานสัมพันธ์ที่ดีภายในครอบครัวแล้ว ยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการของลูกในด้านการพูดได้ หากเลือกกิจกรรมที่มีความเหมาะสม และกระตุ้นให้เกิดพัฒนาการด้านการพูดที่สมวัย มาดูกันว่า มีกิจกรรมอะไรบ้างที่น่าสนใจ ที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อให้ลูกน้อยมีพัฒนาการที่ดี

  1. เกมคำศัพท์

วิธีนี้เป็นการชวนลูกเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มคลังคำศัพท์ของพวกเขาให้มากขึ้น ซึ่งเกมคำศัพท์สามารถชวนลูกเล่นได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม อาจเป็นการชี้ไปยังสิ่งของต่างๆ รอบตัว และถามว่าสิ่งนั้นคืออะไร สิ่งนี้เรียกว่าอะไร หรือใช้บัตรคำที่เป็นรูปภาพก็ได้ สามารถสอนภาษาที่ 2 หรือ 3 ควบคู่กับภาษาแม่ จะช่วยให้เด็กมีทักษะภาษาที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น

  1. อ่านนิทาน

การอ่านนิทานเป็นกิจกรรมที่ทุกบ้านควรส่งเสริม เพราะนอกจากจะกระตุ้นจินตนาการแล้ว ยังช่วยให้ลูกๆ ได้เรียนรู้คำศัพท์ผ่านภาพ และเสียงเพิ่มเติมด้วย โดยพ่อแม่อาจลองชวนตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องราวที่อ่าน และลองให้พวกเขาเล่าเรื่องราวผ่านจินตนาการของตัวเอง วิธีนี้ช่วยให้เด็กได้พัฒนาทักษะการสื่อสารได้มากขึ้นอีกด้วย

  1. ร้องเพลง

ไม่มีเด็กคนไหนที่ไม่ชอบการร้องเพลง พ่อแม่สามารถชวนเด็กๆ ร้องเพลงที่พวกเขาชื่นชอบได้ วิธีจะช่วยให้จำคำศัพท์ได้รวดเร็ว ฝึกการพูดการเปล่งเสียงให้คล่องแคล่ว และยังทำให้เด็กกล้าพูด กล้าแสดงออกอีกด้วย

  1. สอนนับเลข

กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่แสนง่าย แต่ได้ผลดี คุณสามารถสอนให้เด็กๆ รู้จักกับตัวเลข โดยการชวนเล่นเกมนับเลข อาจจะนับนิ้วมือ นับขั้นบันได นับจำนวนตัวต่อของเล่น เป็นต้น นอกจากจะเป็นการกระตุ้นให้พูดได้แล้ว ยังช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้เรื่องการนับเลขอีกด้วย

  1. เรียนรู้คำพ้อง

กิจกรรมเรียนรู้คำพ้องจะช่วยขยายคลังคำศัพท์ของเด็กๆ ได้ดี คำพ้องเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับเด็กๆ ให้พวกเขาได้ลองนึกคำศัพท์ที่พ้องรูป พ้องเสียง แล้วให้ความหมายที่ถูกต้อง ซึ่งพ่อแม่สามารถเพิ่มเติมเรื่องคำศัพท์และให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่พวกเขา ดังนั้น การทำกิจกรรมจะช่วยให้เด็กๆ มีทักษะการฟัง และการคิดที่ดีขึ้นได้แบบก้าวกระโดด

สรุป

ปัญหาลูกพูดน้อย ไม่กล้าพูด เป็นปัญหาที่พ่อแม่หลายคนกำลังเผชิญ เพราะว่าวัยเด็กเป็นวัยที่สดใส ช่างพูด ขยันถามคำถาม แต่หากลูกของเรากลับเงียบ ไม่ยอมพูดก็คงหนักใจไม่น้อย แต่ปัญหาเหล่านี้ก็สามารถแก้ได้ หากพ่อแม่ใส่ใจ และคอยติดตามดูพัฒนาการด้านการพูดของลูกน้อยอย่างใกล้ชิด พร้อมใช้วิธีกระตุ้นให้ลูกพูด เช่น ชวนลูกมาทำกิจกรรมสนุกๆ ที่ช่วยส่งเสริมและกระตุ้นให้ลูกพูดเก่ง เพียงแค่นี้ลูกของคุณก็สามารถมีพัฒนาการที่สมวัยได้ พร้อมออกไปเผชิญโลกกว้างได้อย่างมั่นใจ

10 วิธีรับมือกับปัญหาลูกไม่อยากไปโรงเรียน

หนูไม่ได้ขี้เกียจ!! ลองใช้ 10 วิธีนี้ รับมือกับปัญหาลูกไม่อยากไปโรงเรียน

เมื่อภาคเรียนใหม่มาถึง ผู้ปกครองหลายๆ คนอาจต้องเตรียมพร้อมรับมือกับศึกหนักจากลูกน้อยที่งอแง ร้องไห้ ไม่อยากไปโรงเรียน ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ 


ในบทความนี้ Speakup Language จะมาแนะนำให้คุณผู้ปกครองที่กำลังกังวลกับอาการที่ลูกน้อยไม่ยอมไปโรงเรียนได้ทราบว่า สาเหตุที่ลูกไม่อยากไปโรงเรียนมีอะไรบ้าง และควรรับมือ หรือแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างไร

มารู้จัก School Refusal ภาวะที่เด็กไม่อยากไปโรงเรียนกันก่อน

มารู้จัก School Refusal ภาวะที่เด็กไม่อยากไปโรงเรียนกันก่อน

ภาวะไม่ยอมไปโรงเรียน (School Refusal) คือ การที่เด็กไม่อยากไปโรงเรียน หรือต่อต้านการไปโรงเรียน โดยทั่วไปไม่นับว่าเป็นอาการของความผิดปกติที่ถูกระบุไว้อย่างชัดเจนในทางการแพทย์ แต่ภาวะดังกล่าวนิยมใช้เพื่อจำกัดความถึงปัญหาสภาวะทางอารมณ์และจิตใจ ซึ่งมักกระตุ้นให้เด็กๆ แสดงพฤติกรรมเอาแต่ใจออกมา เช่น งอแง ร้องไห้ หรือมีอารมณ์รุนแรง นอกจากนี้ อาจมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ หรือเกิดความเครียดที่ทำให้เจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ อยู่เสมอ จนทำให้หลายครั้ง ผู้ปกครองต้องจำยอมให้หยุดโรงเรียนอยู่บ้าน

ทำไมจู่ๆ โรงเรียนจึงกลายเป็นฝันร้ายสำหรับลูกน้อย

ทำไมจู่ๆ โรงเรียนจึงกลายเป็นฝันร้ายสำหรับลูกน้อย

เด็กหลายคนอาจงอแงไม่ยอมไปโรงเรียน เนื่องมาจากวุฒิภาวะตามช่วงวัย หรืออาจเป็นเพราะเด็กๆ ติดคุณพ่อคุณแม่มากจนไม่อยากไปโรงเรียน ตลอดจนทำไปเพราะต้องการความสนใจ แต่ก็ไม่ใช่กับเด็กทุกคนเสมอไป เพราะบางทีการที่ลูกน้อยร้องไห้ งอแง หรือแสดงออกรุนแรงนั้น ก็อาจมาจากสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้โรงเรียนเปรียบเสมือนฝันร้ายของเด็กๆ ที่คุณผู้ปกครองไม่ควรมองข้าม ได้แก่

ถูกปลูกฝังให้กลัวโรงเรียนโดยไม่ตั้งใจ

หลายครั้ง การที่เด็กไม่กล้าทำ หรือไ่ม่อยากทำอะไร ล้วนมีสาเหตุมาจากการห้ามปราม หรือขู่เล่นๆ ของผู้ปกครอง เช่น “ถ้าดื้อจะให้คุณครูตีเลยนะ” ซึ่งอาจทำให้เด็กกลัวจนไม่กล้าไปโรงเรียน

กลัวคุณครู

คุณครูบางคนอาจมีลักษณะ หรือท่าทีการแสดงออกที่เด็กไม่คุ้นชิน เช่น คนที่บ้านอาจคุยด้วยเสียงไม่ดังมาก เมื่ออยู่โรงเรียนแล้วคุณครูพูดเสียงดังเพื่อให้เด็กทั้งห้องได้ยินอย่างทั่วถึง ก็อาจทำให้ลูกตกใจ ไม่ชอบ หรือกลัว คิดว่าคุณครูดุได้

ถูกเพื่อนแกล้งหรือโดนล้อ

การที่ไปโรงเรียนแล้วโดนเพื่อนแกล้ง หรือโดนเพื่อนล้อ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เด็กไม่ยอมไปโรงเรียน เพราะรู้สึกไม่ปลอดภัย หากรุนแรงอาจทำให้เด็กวิตกกังวล และถ้าไม่หมั่นสังเกตลูกน้อยบ่อยๆ ก็อาจร้ายแรงกว่านั้นได้

ไม่มีเพื่อน

เมื่อไปโรงเรียนที่เต็มไปด้วยเด็กคนอื่นๆ แต่กลับไม่มีเพื่อนเล่นด้วย ทำให้ต้องเล่นคนเดียวในขณะที่เด็กคนอื่นๆ เล่นสนุกด้วยกันเป็นกลุ่ม ก็ส่งผลให้เด็กอาจขาดความมั่นใจ หรือรู้สึกไม่ได้รับการยอมรับ หากปล่อยไว้ อาจทำให้เป็นปัญหาระยะยาวในอนาคตได้

สภาพแวดล้อมที่โรงเรียนไม่เอื้อ หรือส่งเสริมการเรียนรู้และการแสดงออก

เด็กๆ อาจรู้สึกอ่อนไหว หรือถูกกดดันได้ง่ายเป็นพิเศษเมื่อต้องทำตามคำสั่งแทนที่จะได้เล่น หรือทำอะไรแบบที่สบายใจ หรือเมื่ออยู่ในห้องเรียนไม่ได้รับความเอาใจใส่และการส่งเสริมเท่าที่ควร เด็กๆ อาจพาลไม่อยากไปเรียน ไปจนถึงขาดความมั่นใจในการเรียนรู้ได้

เลือกกิน

ผู้ปกครองหลายคนอาจคิดไม่ถึงว่าแค่เรื่องอาหารการกินจะทำให้เด็กงอแงไม่ยอมไปโรงเรียน แต่สำหรับเด็กโดยเฉพาะเด็กเล็กแล้วนั้น การกินถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ยิ่งถ้าเลือกกิน หรือกินยาก แล้วอาหารที่โรงเรียนไม่ถูกปาก ก็จะพาลไม่อยากไปเรียนได้ง่ายๆ

ลองใช้วิธีเหล่านี้รับมือ “ลูกไม่อยากไปโรงเรียน” แล้วลูกๆ จะรักการไปโรงเรียนมากขึ้น

ลองใช้วิธีเหล่านี้รับมือ “ลูกไม่อยากไปโรงเรียน” แล้วลูกๆ จะรักการไปโรงเรียนมากขึ้น

เพียงคุณผู้ปกครองพยายามทำความเข้าใจ ไปพร้อมกับการปรับเปลี่ยนความคิดและความเข้าใจของเด็กๆ เสียใหม่ การไปโรงเรียนก็จะไม่ใช่เรื่องน่าปวดหัวอย่างเคย จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

เด็กๆ ต้องพักผ่อนมากเพียงพอ

สิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ที่ต้องดูแลให้ดี คือ การจัดเวลาให้เด็กนอนพักผ่อนอย่างเพียงพอและชัดเจน เพื่อให้พร้อมรับเช้าวันใหม่ที่ต้องไปเรียน แต่ไม่ควรใช้วิธีบังคับหักดิบ เพราะนั่นอาจยิ่งกระตุ้นให้ลูกไม่อยากไปโรงเรียนมากกว่าเดิมได้ 

ทางที่ดี ควรมีการทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้รู้ว่าถึงเวลาที่ควรเข้านอนได้แล้วให้เป็นกิจวัตร เช่น การอ่านนิทาน หรือร้องเพลงกล่อม เพื่อให้เด็กๆ เข้านอนอย่างสบายๆ และไม่รู้สึกติดค้างเมื่อตื่นขึ้นมา

ปูพื้นความเข้าใจ โรงเรียนไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

ผู้ปกครองควรเป็นอีกเสียงที่สนับสนุนการไปโรงเรียนให้เด็กๆ ได้รับรู้ สามารถทำได้โดยการเล่าเรื่องสนุกๆ วัยเด็กของตัวเองให้ลูกฟัง ว่าไปโรงเรียนทำอะไรได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็น ได้เล่นกับเพื่อน เล่นของเล่นหลากหลาย อ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมอื่นๆ ซึ่งเป็นการสอนให้เด็กคุ้นชิน และเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์คล้ายๆ กันที่พวกเขาอาจเจอเมื่อต้องไปโรงเรียน

สอนลูกเรื่องการกินและการใช้ชีวิตที่โรงเรียน

ผู้ปกครองหลายๆ คนอาจเข้าใจผิด คิดว่าส่งลูกไปโรงเรียนก็พอ เดี๋ยวที่เหลือให้คุณครูสอน แต่ในความเป็นจริงนั้น ครอบครัวส่งอิทธิพลอย่างมากในการแสดงออก ตลอดจนความคิดความอ่านของเด็กๆ 

เรื่องเล็กๆ อย่างการกินก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ในภายหลัง ถ้าเด็กไม่ได้รับการฝึกฝนให้กินอย่างถูกต้อง หรือการรอคอย การทำตามคำสั่งด้วยตัวเองก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีเวลาอยู่กับลูกก็ควรให้ความสำคัญและฝึกฝนในเรื่องนี้ เพื่อให้เด็กปรับตัวได้เร็วเมื่อต้องไปโรงเรียน

อยู่เป็นเพื่อนลูกในเวลาที่เหมาะสม

การไปโรงเรียนโดยเฉพาะครั้งแรก ย่อมเป็นธรรมดาที่จะทำให้เด็กรู้สึกตระหนก แปลกที่แปลกทาง และหวาดกลัว คุณพ่อคุณแม่ควรอยู่กับลูกสักระยะหนึ่ง เพื่อพาลูกสำรวจพื้นที่โดยรอบโรงเรียนหากสามารถทำได้ เช่น พาลูกไปดูสนามเด็กเล่น พาไปส่งที่ห้องเรียน 

แต่หากไม่สามารถทำได้ ในวันแรกควรแนะนำเด็กไว้กับคุณครูประจำชั้น บุคคลที่เกี่ยวข้อง หรืออาจหาเพื่อนให้ลูก และปล่อยให้ได้ทำความรู้จักกันเอง เพื่อให้เด็กปรับตัวหรือคุ้นเคยกับโรงเรียนได้ง่ายขึ้น และเป็นการเว้นระยะเล็กน้อย เพื่อไม่ให้ลูกงอแง หรือติดเราจนเกินไป

ไม่โกหกเด็ก

ข้อห้ามที่สำคัญมากๆ คือ อย่า “หลอก” ลูกไปโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็น การอ้างหรือยกสิ่งต่างๆ ขึ้นมาล่อ แล้วไม่ทำตามสัญญา แต่ให้คุยกับลูกด้วยความจริง เพราะไม่เช่นนั้นอาจทำให้การไปโรงเรียนครั้งต่อๆ ไปยากยิ่งขึ้น เช่น ถ้าไปโรงเรียน เดี๋ยวตอนเย็นกลับมาจะพาไปกินไอศกรีม แต่ไม่พาไปจริง หรือ เมื่อลูกถามว่าจะมารับเมื่อไหร่ อย่าบอกแค่เพียงว่า “เดี๋ยวแม่มารับ” ให้ลองปรับเปลี่ยนเป็นตารางเวลาที่เด็กจะสามารถจำได้ เช่น “เดี๋ยวตื่นลูกตื่นจากนอนกลางวัน แปรงฟัน กินนม แม่ก็มารับแล้ว” หรือหากเป็นเด็กโตหน่อย อาจบอกให้ลูกรู้เวลาที่แน่ชัดด้วยได้ เพื่อสอนให้เด็กเรียนรู้ที่จะรอคอย และวางแผนสิ่งที่จะทำในวันนั้นๆ ที่โรงเรียน เป็นต้น

 

สิ่งสำคัญ คือ ไม่ควรปล่อยให้ลูกรอนาน หากมีธุระที่ทำให้ช้ากว่าที่ตกลงกันไว้ ผู้ปกครองควรแจ้งคุณครูให้ทราบ เพื่อที่คุณครูจะได้คุยกับเด็ก หรือหากิจกรรมให้ทำระหว่างรอ

ให้เด็กๆ เล่าเรื่อง

วิธีที่ง่าย และสามารถทำได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุดอีกวิธีหนึ่ง คือ การคุยกับเด็กบ่อยๆ เปิดโอกาสให้ลูกน้อยได้เล่าว่าในแต่ละวันที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง ผู้ปกครองอาจเตรียมคำถามหรือเรื่องราวเพื่อชวนคุย อาจเป็นระหว่างทางที่รับลูกกลับบ้าน หรือระหว่างทานข้าวร่วมกัน ให้เขารู้สึกว่ามีคนรับฟัง

 

และหากสังเกตว่ามีเรื่องอะไรก็ตามที่เหมือนจะเป็นปัญหา เช่น เพื่อนแกล้ง คุณครูเสียงดัง ฯลฯ จะได้หาวิธีการรับมือต่อไปได้ถูกต้อง

หมั่นเติมพลังบวกกับลูกเสมอๆ

การเติมพลังบวกให้ลูกสามารถทำได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะผ่านทางคำพูดชมเชยเมื่อลูกทำได้ดี เช่น ”วันนี้เก่งมากเลย สามารถใส่รองเท้านักเรียนเองได้แล้ว” หรือสามารถถ่ายทอดออกมาผ่านการกระทำ ไม่ว่าจะเป็น การกอด หอม อุ้ม หรือพาไปทานของอร่อย พาไปเที่ยวเล่น 

หากเด็กๆ กำลังเผชิญกับปัญหาบางอย่าง ผู้ปกครองควรให้กำลังใจ และพลิกคำเชิงลบทั้งหมดให้เป็นคำเชิงบวก  เช่น เรียนไม่เข้าใจ ให้คุยกับลูกว่า “วันนี้ยังไม่เข้าใจไม่เป็นไรนะ ไว้ลองกันอีกที” ทำกิจกรรมในห้องได้ไม่ดีนัก ให้สอนลูกว่า “ครั้งต่อไปต้องทำได้ดีขึ้นแน่ เพราะมีประสบการณ์แล้ว”

และหากสังเกตว่ามีเรื่องอะไรก็ตามที่เหมือนจะเป็นปัญหา เช่น เพื่อนแกล้ง คุณครูเสียงดัง ฯลฯ จะได้หาวิธีการรับมือต่อไปได้ถูกต้อง

5 กิจกรรมเพิ่มความสนุกในห้องเรียน

อยากให้เด็กรักการไปโรงเรียน ต้องทำห้องเรียนให้สนุก กับ 5 กิจกรรมเพิ่มความสนุกในห้องเรียน

เมื่อเตรียมความพร้อมลูกๆ เรียบร้อย สิ่งสุดท้ายที่จะช่วยให้ลูกไ่ม่งอแง และแก้ปัญหาลูกไม่อยากไปโรงเรียนในครั้งต่อๆ ไป คือ การช่วยให้พวกเขาเห็นว่าการเรียนสนุก เพราะเด็กหลายคนอาจไม่ชอบใจที่ต้องถูกบังคับให้เรียน ผู้ปกครองสามารถปรับเปลี่ยนความคิดของลูกๆ ได้โดยการฝึกให้ลูกเรียนผ่านการทำกิจกรรมกับลูก ดังนี้

1. กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์

ศิลปะมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การวาดรูป ระบายสี การปั้นแป้งโด ทั้งตามคำสั่ง หรือตามจินตนาการของเด็ก ตลอดจนทำงาน DIY ต่างๆ เช่น ตัดกระดาษทำเป็นหน้ากาก หรือตัวละครต่างๆ แล้วนำมาประกอบการเล่าเรื่อง หรือเล่านิทาน ก็จะช่วยฝึกสกิลการเรียนรู้ไปพร้อมกับฝึกกล้ามเนื้อ และความคิดสร้างสรรค์ เพื่อให้เด็กๆ พร้อมที่จะทำกิจกรรมในห้องเรียนจริงได้ด้วย

2. เกมส์ฝึกความจำ

ไม่ว่าจะเป็นการเล่นทายคำศัพท์จาก Flash Card ที่เป็นรูปภาพ หรือ ยากขึ้นมาหน่อยอย่างการเล่น Spelling Bee หรือเกมส์สะกดคำ จะช่วยให้ลูกมีส่วนร่วมในห้องเรียนได้มากขึ้น มีความกล้าที่จะตอบคำถาม หรือริเริ่มทำกิจกรรมต่างๆ ได้ง่ายกว่า เพราะเมื่อเด็กๆ คุ้นเคยกับการทำตามเงื่อนไขจากการสอนของผู้ปกครองแล้ว เด็กๆ ก็จะจำได้และมีความมั่นใจเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์จริงในห้องเรียนนั่นเอง

3. ฝึกการอ่านกับบทบาทสมมติ

การสอนลูกอ่านหนังสือเริ่มง่ายๆ จากการอ่านนิทานให้ฟังก่อนนอน แล้วเด็กๆ จะมีการซึมซับนิสัยรักการอ่าน และหากคุณพ่อคุณแม่มีการปรับให้ลูกๆ ได้มีโอกาสแสดงเป็นตัวละครเอง หรือร่วมเล่าเรื่องด้วย ก็จะสามารถฝึกความคิดสร้างสรรค์และความกล้าแสดงออกที่จะทำให้เด็กๆ มีความสุขเมื่อต้องทำกิจกรรมที่โรงเรียนด้วย

4. กิจกรรมกลางแจ้งต้องไม่ขาด

อย่าสอนลูกอยู่แต่ในบ้านเพียงอย่างเดียว แต่ควรให้ลูกได้ออกมารับแดด ขยับร่างกายอย่างเต็มที่ผ่านการออกกำลังกาย  หรือเล่นเครื่องเล่นตามสนามเด็กเล่นบ้าง เพราะจะช่วยให้เด็กๆ ได้ทดลองทำกิจกรรมที่ท้าทาย ฝึกความกล้า และเสริมสร้างกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้เด็กคุ้นชินกับกิจกรรมที่โรงเรียนได้ง่ายขึ้น อาการงอแงหรือความเบื่อหน่าย ไม่ชอบไปโรงเรียนก็จะลดน้อยลง

5. ไม่ปล่อยให้ลูกเรียนรู้คนเดียว

เด็กอาจปรับตัวได้ยากหากพ่อแม่ไม่ปล่อยให้ลูกออกนอกบริเวณที่คุ้นชิน ควรพาลูกออกไปทำกิจกรรมข้างนอกบ้าง เพื่อเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ และขยายสังคมให้ลูก เช่น การพาลูกไปทำ Work Shop ต่างๆ หรือหาพื้นที่ให้ลูกได้ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ วัยเดียวกัน อย่างคลาสดนตรี คลาสเต้น คลาสเรียนภาษา ฯลฯ เพื่อให้พวกเขาพัฒนาทักษะการเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับทักษะการอยู่ร่วมกันกับเพื่อนคนอื่นๆ โดยไม่ต้องพึ่งพาพ่อแม่ตลอดเวลา

สรุป

เมื่อลูกร้องไห้หรืองอแงไม่อยากไปโรงเรียน สิ่งแรกที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำคือค้นหาสาเหตุ และเตรียมลูกๆ ให้พร้อมตามคำแนะนำที่เราได้ให้ไว้ ทั้งนี้อย่ามัวแต่หาทางแก้ไขจากปัจจัยอื่น แต่ควรปล่อยให้เด็กเรียนรู้ที่จะพัฒนาระบบความคิด ความรู้สึก และการแสดงออกของตัวเองด้วย

และหากคุณพ่อคุณแม่ท่านใดสนใจอยากให้ลูกได้พัฒนาทักษะทางภาษาควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีในห้องเรียน ทาง SpeakUp Language Center เป็นสถาบันสอนภาษา ที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ เรียนรู้ผ่านการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ ซึ่งสามารถช่วยให้ลูกของคุณได้ค้นหาตัวเองได้อย่างเป็นอิสระกับครูผู้เชี่ยวชาญ

ปกบทความ ลูกไม่กล้าแสดงออก

ทำยังไง เมื่อลูกไม่กล้าแสดงออก แก้ก่อนสายทำลูกกลายเป็นคนเงียบ

ในการเลี้ยงดูลูกน้อยให้มีพัฒนาการสมวัย จะช่วยให้ลูกเติบโตเป็นคนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ มีความเฉลียวฉลาด และคิดบวก มองโลกในแง่ดี อย่างไรก็ตาม คุณพ่อและคุณแม่ในอีกหลายๆ ครอบครัวก็อาจจะเกิดความวิตกกังวลใจเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกได้เหมือนกันหากพบว่าลูกเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าแสดงออก ซึ่งอาจทำให้เกิดผลเสียอื่นๆ ตามมาได้ ดังนั้น ในบทความนี้จะมาอธิบายและให้ข้อมูลถึงสาเหตุที่ทำให้ลูกไม่กล้าแสดงออกว่าเพราะอะไร จะมีผลเสียไหม พร้อมเทคนิคที่ช่วยให้ลูกกล้าแสดงออกยิ่งขึ้นมาให้คุณพ่อและคุณแม่ได้ลองทำตามกันดู

สาเหตุที่ทำให้ลูกไม่กล้าแสดงออก

สาเหตุที่ทำให้ลูกไม่กล้าแสดงออก

การที่ลูกไม่กล้าแสดงออกหรือเป็นคนขี้อายเป็นเรื่องที่ปกติอย่างยิ่ง ซึ่งสาเหตุดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย โดยในบทความนี้จะนำเสนอถึง 5 สาเหตุหลักๆ ที่พบได้บ่อย จะมีอะไรบ้างนั้น มาดูสาเหตุที่เด็กไม่กล้าแสดงออกไปพร้อมๆ กันเลย

ลูกขาดความมั่นใจ

การที่ลูกขาดความมั่นใจถือเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ลูกไม่กล้าแสดงออกได้ ซึ่งอาจเกิดจากคุณพ่อหรือคุณแม่ที่ไม่เชื่อมั่นในตัวลูกว่าจะสามารถทำสิ่งนั้นได้ ส่งผลให้ลูกน้อยรู้สึกกดดันและเชื่อว่าตัวเองทำไม่ได้ จนลูกน้อยกลายเป็นคนที่ขาดความมั่นใจ และไม่กล้าแสงออก

ลูกรู้สึกกดดันมากเกินไป

หลายๆ ครั้งที่คุณพ่อและคุณแม่ตั้งความหวังในเรื่องใดเรื่องหนึ่งไว้กับลูกสูงเกินไป อาจทำให้ลูกน้อยรู้สึกกดดัน และมีความวิตกกังวลในการทำสิ่งต่างๆ ได้ เช่น การถูกห้ามทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือการที่ลูกน้อยควรทำตามสิ่งต่างๆ ที่คุณพ่อและคุณแม่เห็นชอบว่าดีโดยไม่ได้ถามความสมัครใจกับตัวเด็กเอง จะส่งผลให้เด็กรู้สึกเครียดและกังวลจนลูกไม่กล้าแสดงออกในสิ่งที่คิด

ลูกขาดทักษะในการเข้าสังคม

การเข้าสังคมนับเป็นอีกหนึ่งทักษะที่สำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น เนื่องด้วยการเข้าสังคมจะทำให้เด็กได้มีการสื่อสาร หรือปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ส่งผลให้เกิดความสามารถอื่นๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร หรือการรับรู้ รวมไปถึงช่วยในการทำความเข้าใจถึงอารมณ์และความรู้สึกของคนอื่นได้ด้วย ดังนั้นแล้ว หากเด็กคนไหนที่ขาดทักษะในการเข้าสังคมไป อาจทำให้เด็กไม่สามารถปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับคนอื่นได้ ขาดความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่างๆ และส่งผลให้ลูกไม่กล้าแสดงออกในท้ายที่สุด

ลูกกลัวความล้มเหลว

เมื่อลูกน้อยทำความผิด แทนที่คุณพ่อและคุณแม่จะสั่งสอนหรืออบรมให้ความรู้ หากแต่ใช้วิธีการดุด่า หรือทำโทษแทน นอกจากจะทำให้เด็กเกิดความกลัว หรือรู้สึกไม่ปลอดภัยแล้ว ก็อาจทำให้ตัวของเด็กเองรู้สึกล้มเหลว และไม่กล้าพูด กล้าคิด หรือกล้าแสดงออกได้

พ่อแม่เป็นห่วงลูกมากเกินไป

เป็นธรรมชาติของคนเป็นพ่อและแม่เมื่อลูกได้รับอันตรายหรือเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น คุณพ่อและคุณแม่ก็จะเข้ามาปกป้องดูแล แต่หากคุณพ่อและคุณแม่ห่วงใยจนกระทั่งมากเกินพอดี เช่น การที่คุณพ่อและคุณแม่เป็นผู้ตัดสินใจแทนเด็กทุกอย่าง หรือการสั่งห้ามไม่ให้ลูกน้อยทำในสิ่งต่างๆ เพราะเชื่อมั่นว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด อาจทำให้เด็กรู้สึกกดดัน ไม่กล้าตัดสินใจ หรือกล้าแสดงออกมานั่นเอง

ผลกระทบเมื่อลูกไม่กล้าแสดงออก

เมื่อลูกไม่กล้าแสดงออกนานๆ จะส่งผลกระทบอะไรต่อการใช้ชีวิตประจำวันบ้าง

หลังจากที่รู้สาเหตุเด็กไม่กล้าแสดงออกกันไปแล้ว ลองมาดูถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นว่าเมื่อลูกไม่กล้าแสดงออกนานไป จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

  • การเข้าสังคม : อย่างที่กล่าวไปในตอนต้นว่าการที่ลูกไม่กล้าแสดงออก ส่วนหนึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการขาดทักษะเข้าสังคม จึงทำให้เมื่อลูกเติบโตและต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่น อาจส่งผลให้ลูกน้อยของคุณพ่อและคุณแม่ไม่สามารถปรับตัวร่วมกับผู้อื่นได้ หรือแม้แต่การสื่อสาร รวมถึงไม่กล้าแสดงออกในสิ่งต่างๆ เมื่ออยู่กับเพื่อน เป็นต้น
  • สุขภาพจิต : การที่ลูกน้อยไม่กล้าแสดงออก เนื่องจากกลัวความผิดพลาด หรือกลัวที่จะไม่ได้รับการยอมรับ อาจทำให้เด็กรู้สึกเครียด กดดัน ขี้ระแวงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะส่งผลเสียอื่นๆ อย่างต่อเนื่องอีกด้วย เช่น ด้านพัฒนาการ หรือการเรียนรู้ รวมถึงพฤติกรรม และการแสดงออกของเด็ก
  • พฤติกรรม : จากการที่ลูกน้อยขี้อาย หรือไม่กล้าแสดงออก อาจส่งผลให้นอกจากสุขภาพจิตเด็กจะเสียแล้ว ยังรวมไปถึงพฤติกรรมการแสดงออกอีกด้วย เช่น เด็กมีปัญหาเรื่องการใช้พฤติกรรมรุนแรง มีอารมณ์ฉุนเฉียว โกรธง่าย เป็นต้น
  • พัฒนาการ : พัฒนาการเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งต่อตัวเด็ก เพราะจะมีผลต่อตัวเด็กเมื่อเติบโตขึ้นตามวัย ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการด้านร่างกาย ด้านสติปัญญา หรือด้านอารมณ์และจิตใจ ดังนั้น หากลูกมีพฤติกรรมไม่กล้าแสดงออก อาจส่งผลให้พัฒนาการดังกล่าวช้ากว่าเด็กคนอื่นได้
เทคนิคที่ช่วยให้ลูกกล้าแสดงออก

รวม 10 เทคนิคที่พ่อแม่สามารถนำไปช่วยลูกให้กล้าแสดงออกมากขึ้น

คุณพ่อและคุณแม่คงจะเข้าใจภาพรวมของสาเหตุและปัญหาลูกไม่กล้าแสดงออกกันมากขึ้นแล้วว่ามีผลเสียอะไรบ้าง ดังนั้น เพื่อที่จะช่วยให้ลูกน้อยกล้าพูด กล้าคิด และกล้าแสดงออกมากขึ้น ในบทความนี้ได้รวบรวม 10 เทคนิคสำคัญที่ช่วยฝึกลูกให้กล้าแสดงออกมากขึ้น ดังต่อไปนี้

1. ให้เวลากับลูก

การได้ใช้เวลากับลูกก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยฝึกลูกให้กล้าแสดงออกได้ เพราะเด็กยังเป็นวัยที่ต้องการความรักและความใส่ใจมากๆ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จะต้องใช้เวลาอยู่กับลูก พูดคุยกับลูกเยอะๆ เพื่อให้ลูกน้อยมีพัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจที่ดี พร้อมที่จะเรียนรู้และรับมือกับสิ่งใหม่ๆ ในต่อจากนี้ได้

2. ลงโทษลูกให้ถูกวิธี

บางครั้งลูกน้อยของคุณอาจทำผิดแต่ไม่รู้ถึงข้อผิดพลาด ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของคนเป็นพ่อและแม่ที่จะต้องอบรมสั่งสอนและให้ความรู้ที่ถูกต้องกับเด็กๆ เหล่านี้ เพื่อที่จะได้เกิดความรู้ความเข้าใจว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด ซึ่งคุณพ่อและคุณแม่สามารถใช้วิธีต่างๆ ในการอบรมสั่งสอนได้ตามความเหมาะสม เช่น การอธิบายให้ลูกเห็นภาพและเข้าใจ หรืออาศัยการตักเตือนให้เด็กเกิดความตระหนักรู้ในสิ่งที่ตนทำ

3. ให้รางวัลลูก

เมื่อลูกน้อยทำผิด คุณพ่อและคุณแม่ก็จะอาศัยวิธีการอบรมสั่งสอน หรือการทำโทษอย่างเหมาะสม ในทางตรงกันข้าม เมื่อลูกทำในสิ่งที่ดี หรือสิ่งที่ถูกต้อง ก็เป็นหน้าที่ของพ่อและแม่เช่นกันที่จะให้รางวัลกับลูก เพื่อที่จะให้ลูกเข้าใจว่าสิ่งนี้ดี และมีความมั่นใจในตัวเอง กล้าคิด กล้าทำ และกล้าแสดงออกในสิ่งนั้นๆ ต่อไป

4. ปล่อยลูกได้ทำในสิ่งที่ชอบ

วัยเด็กเป็นวัยแห่งการฝัน เด็กหลายคนมีความถนัดและความชอบที่แตกต่างกัน หากคุณพ่อและคุณแม่พบว่าลูกมีความชอบในสิ่งไหน ควรให้การสนับสนุนในสิ่งนั้นๆ เพราะนอกจากจะทำให้เด็กมีความสุขเนื่องจากได้ทำในสิ่งที่ชอบแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเสริมพัฒนาการเด็กได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

5. ให้กำลังใจลูก

หลายครั้งที่ลูกไม่กล้าแสดงออก ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่มั่นใจว่าทำสิ่งนั้นถูกต้องหรือไม่ ดังนั้นแล้ว คุณพ่อและคุณแม่จะต้องให้กำลังใจลูก ชื่นชมลูกเพื่อให้เกิดความมั่นใจ และกล้าที่จะแสดงออกในสิ่งนั้นต่อไป

6. พาลูกไปทำกิจกรรมใหม่ๆ

นอกจากจะใช้เวลากับลูกแล้ว การพาลูกไปทำกิจกรรมใหม่ๆ ร่วมกันก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยฝึกลูกให้กล้าแสดงออกได้มากขึ้นอีกด้วย อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างทักษะใหม่ๆ ที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต รวมถึงสร้างความสุขและความทรงจำที่ดีให้กับลูกน้อยอีกด้วย

7. ให้ลูกได้มีเวลาส่วนตัว

การเลี้ยงลูกที่ดี ไม่ใช่แค่การใช้เวลากับลูกเยอะๆ เพียงอย่างเดียว แต่การให้ลูกได้มีเวลาส่วนตัว ยังมีส่วนช่วยให้ลูกน้อยของคุณพ่อและคุณแม่ได้พักผ่อนและมีเวลาเป็นของตัวเอง ส่งผลให้เด็กมีสภาพอารมณ์และจิตใจที่ดี มองโลกในแง่ดี ช่วยส่งเสริมให้กล้าพูด กล้าคิด และกล้าแสดงออกมากขึ้น

8. สอนให้ลูกแนะนำตัว

เมื่อเราต้องพบเจอกับคนใหม่ๆ หรือต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม การแนะนำตัวเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งจะช่วยให้เรากล้าพูดกล้าแสดงออก ทั้งยังเป็นที่รู้จักของผู้อื่น รวมไปถึงเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างตัวลูกน้อยเองกับบุคคลอื่นอีกด้วย

9. สร้างสถานการณ์จำลองให้ลูก

สำหรับลูกที่มีนิสัยขี้อาย ไม่กล้าแสดงออก คุณพ่อและคุณแม่อาจเริ่มจากวิธีการง่ายๆ อย่างการสร้างสถานการณ์จำลองขึ้น เพื่อให้ลูกน้อยได้เรียนรู้และฝึกทักษะที่จำเป็นต่างๆ เช่น ทักษะการสื่อสาร หรือทักษะการแก้ไขปัญหา ซึ่งสถานการณ์จำลองเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในตัวเด็กให้กลายเป็นคนที่กล้าแสดงออกมากขึ้น

10. ให้ลูกได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง

การปล่อยให้ลูกน้อยได้มีโอกาสเรียนรู้ด้วยตัวเองก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ช่วยฝึกลูกให้กล้าแสดงออกได้เช่นกัน เพราะเมื่อเด็กได้ลองใช้ชีวิตและเจอสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริง จะทำให้เด็กเหล่านี้เกิดการเรียนรู้และได้รับประสบการณ์ที่สำคัญของชีวิตจนกลายเป็นคนที่เติบโตอย่างเข้มแข็งและกล้าที่จะแสดงออกมากขึ้น

กิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมให้ลูกกล้าแสดงออก

กิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมให้ลูกกล้าแสดงออก เสริมความมั่นใจ ลดความขี้อาย

นอกเหนือจาก 10 วิธีที่จะช่วยฝึกลูกให้กล้าแสดงออกมากขึ้นแล้ว คุณพ่อและคุณแม่ยังสามารถนำกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมให้ลูกกล้าแสดงออก พร้อมเสริมความมั่นใจ และความขี้อายได้มากขึ้นผ่านกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ได้ เช่น

  • กิจกรรมนำเสนอหรือพรีเซนต์ : เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ลูกน้อยได้กล้าแสดงออกผ่านการนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ซึ่งอาจใช้การแสดงบทบาท หรือการแสดงออกต่างๆ รวมถึงการสื่อสารพูดคุย ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะด้านภาษาอีกด้วย นอกจากนี้ สำหรับคุณพ่อคุณแม่คนไหนที่อยากเพิ่มความมั่นใจ กล้าพูด กล้าแสดงออกให้กับลูกน้อย พร้อมเรียนรู้ภาษาไปในตัว ที่ Speak Up Language Center ยังมีเทคนิคการสอนดีๆ สำหรับเด็กเล็ก 2.5-12 ปี ที่ช่วยให้เด็กสนุกสนานและเข้าใจง่ายอีกด้วย
  • กิจกรรมกีฬา : นอกจากจะได้ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีแล้ว ลูกน้อยยังมีโอกาสเล่นกีฬาเป็นทีมกับคนอื่น และสามารถเรียนรู้การอยู่ร่วมกันตลอดจนทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันกับผู้อื่นได้ด้วย
  • กิจกรรมอะไรเอ่ย : เป็นกิจกรรมแนวคำถามคำตอบที่จะให้ลูกน้อยของคุณเป็นฝ่ายตั้งคำถามหรือบอกคำตอบ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจะช่วยให้เด็กได้ใช้เวลาพูดคุยกับคนอื่นมากขึ้น พร้อมเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญาอีกด้วย
  • กิจกรรมศิลปะ : เปิดโอกาสให้ลูกน้อยได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ด้วยการวาดรูปหรือทำกิจกรรมศิลปะต่างๆ เพื่อให้เด็กได้สนุกสนานและแสดงออกถึงความมั่นใจผ่านภาพวาด
  • กิจกรรมอ่านหนังสือที่ห้องสมุด : สร้างนิสัยรักการอ่านพร้อมฝึกลูกให้เป็นคนที่ฉลาดด้วยการพาลูกไปร้านหนังสือ หรือห้องสมุด เพื่อเลือกอ่านหนังสือที่ชื่นชอบ เพื่อให้กลายเป็นคนที่มีไหวพริบดี กล้าพูด และกล้าแสดงออก

สรุป

การที่ลูกไม่กล้าแสดงออกมีสาเหตุเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความไม่มั่นใจในตัวเอง รู้สึกกดดัน หรือกลัวความล้มเหลว ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการของลูกในหลายๆ ด้าน เช่น พัฒนาการด้านจิตใจ หรืออารมณ์ เป็นต้น ดังนั้น คุณพ่อและคุณแม่จึงต้องให้ความรัก ความใส่ใจ และใช้เวลากับลูกมากขึ้น เพื่อที่จะได้เฝ้ามองและติดตามการเติบโตของลูก โดยคุณพ่อและคุณแม่สามารถนำเทคนิคหรือกิจกรรมต่างๆ ไปใช้ในการฝึกลูกให้กล้าแสดงออกมากขึ้น เพื่อให้ลูกมีพัฒนาการการเติบโตที่ดี เหมาะสมกับวัย