fbpx

การสอนแบบมอนเตสซอรี่คืออะไร? 5 หลักสูตรที่กระตุ้นพัฒนาการเด็ก

สารบัญ
what-is-montessori-banner

การสอนแบบมอนเตสซอรี่คืออะไร? 5 หลักสูตรที่กระตุ้นพัฒนาการเด็ก

เด็กทุกคนที่เกิดมาจำเป็นที่จะต้องได้รับความรู้อย่างเหมาะสมและการยอมรับจากสังคม จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวเพื่อให้เกิดทักษะในชีวิต การสอนแบบมอนเตสซอรี่ (Montessori Education) นับเป็นอีกหนึ่งแนวการสอนที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ทฤษฎีมอนเตสซอรี่มีดีอย่างไร ไปติดตามกัน

การสอนแบบทั่วไปเป็นอย่างไร?

what-is-montessori-1

ด้วยการเรียนการสอนแบบทั่วไปที่เราและหลายคนคุ้นเคย จะเป็นการเน้นให้เด็กๆ นั่งเรียนในห้องเรียนเป็นส่วนใหญ่ โดยเป็นการเรียนแบบสอนและท่องจำ ซึ่งกลายเป็นว่าหากเด็กต้องการจะจดจำเนื้อหานั้นๆ ให้ได้ เด็กต้องขวนขวายหาวิธีจำเอง หากเด็กคนไหนจำได้ สามารถทำข้อสอบได้ถูกต้อง คือการสอบผ่าน

ส่วนเด็กคนไหนที่จำไม่ได้แม่นนัก ก็อาจจะสอบไม่ผ่านได้ และที่สำคัญ การประเมินวัดผลจะเป็นการสอบ โดยนำคะแนนที่ได้มาเปรียบเทีบบตามเกณฑ์วัดออกมาเป็นเกรด

การวัดผลด้วยวิธีการดังกล่าวจะทำให้เกิดการเปรียบเทียบกันไปโดยปริยาย สุดท้ายเด็กที่ได้คะแนนน้อยจะเกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ และท้อถอยต่อการเรียนได้ ทั้งที่จริงแล้วเด็กคนนั้นๆ อาจมีความถนัดในวิชาอื่น เพียงแต่ไม่ได้รับการสนับสนุนศักยภาพและการกระตุ้นพัฒนาการอย่างถูกต้องและเหมาะสม

การสอนแบบมอนเตสซอรี่ คืออะไร? แตกต่างจากการสอนแบบทั่วไปยังไง?

what-is-montessori-2

การสอนแบบมอนเตสซอรี่ (Montessori Education) คือ รูปแบบการสอนที่เป็นการนำความรู้ไปให้เด็ก โดยไม่ใช่ด้วยวิธีการบอกให้อ่านหรือท่องจำ แต่เป็นการปลูกฝังให้เด็กได้เรียนรู้และเติบโตไปตามธรรมชาติที่เขาเป็น ให้เด็กได้เรียนรู้อย่างอิสระ และเลือกกิจกรรมที่เขาสนใจเองได้ ผ่านสิ่งแวดล้อมที่ครูจัดให้อย่างมีเป้าหมาย ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และมือ ไม่เน้นการท่องจำ แต่จะมีครูที่คอยให้คำแนะนำและสาธิตการใช้อุปกรณ์การเรียนในครั้งแรก จนเด็กเกิดความเข้าใจและคุ้นชิน จากนั้นเด็กก็จะเริ่มเรียนรู้ด้วยตัวเอง ส่งผลให้เด็กมีสมาธิมากขึ้น เข้าใจมากขึ้น และสามารถจดจำสิ่งต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

5 จุดมุ่งหมายของการสอนแบบมอนเตสซอรี่

1. เด็กควรได้รับการยอมรับ

เนื่องจากเด็กแต่ละคนความแตกต่างกัน มีความสามารถ มีความถนัดในแต่ละด้านที่ต่างกัน ดังนั้น เด็กทุกคนควรที่จะได้รับการยอมรับและนับถือในความสามารถที่เด็กถนัด ที่สำคัญ ควรจัดการศึกษาและสภาพแวดล้อมตามความสามารถหรือความต้องการตามธรรมชาติของเด็ก โดยต้องมีการพัฒนาการสอนให้มีความสัมพันธ์กับพัฒนาการด้านความต้องการของเด็กแต่ละช่วงวัยด้วย

2. เปิดความคิด ในการยอมรับสิ่งใหม่ๆ

ด้วยหลักการมอนเตสซอรี่มีความเชื่อว่า มนุษย์เราเป็นผู้ให้การศึกษาและสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง และเปรียบเทียบจิตของเด็กเป็นเหมือนกับฟองน้ำที่สามารถซึมซับข้อมูลต่างๆ จากสภาพแวดล้อมรอบตัว ดังนั้น การเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้และหาคำตอบด้วยตัวเอง ผ่านการลงมือทำจริงในกิจกรรมต่างๆ จะมีส่วนช่วยให้จิตใจของเด็กสามารถเข้าถึงและซึมซับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมได้

3. ค้นหาตัวเองด้วยการเรียนรู้ผ่านกิจกรรม

เพราะช่วงเวลาหลักของชีวิตจะอยู่ในช่วงแรกเกิด 1 – 6 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดสำหรับการเรียนรู้ของเด็กในระยะแรก เพื่อการพัฒนาที่ดีทั้งด้านสติปัญญาและจิตใจ เด็กจะมีความสนใจใฝ่รู้ ครูจึงควรใส่ใจและสังเกตว่าเด็กมีความสนใจด้านใดเป็นพิเศษ และควรได้มีอิสระในการเลือกกิจกรรมที่เขาสนใจ

4. การเตรียมสิ่งแวดล้อม ที่เหมาะสมในการเรียนรู้

มอนเตสซอรี่ เชื่อว่าเด็กจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดภายใต้สภาพแวดล้อมที่จัดให้อย่างมีรูปแบบ มีขั้นตอน และมีเป้าหมาย เด็กจะเรียนรู้ได้อย่างมีอิสระจากการควบคุมของผู้ใหญ่ เขาจะได้ทำกิจกรรมต่างๆ ตามข้อสงสัย และความคิดของตนเองบ้าง ที่สำคัญ ด้วยหลักการมอนเตสซอรี่นั้นสนับสนุนให้มีการจัดห้องเรียนแบบเปิด (Open Classroom) เพื่อที่เด็กๆ จะสามารถเลือกกิจกรรมได้อย่างอิสระ

5. กระตุ้นการเรียนรู้ด้วยตัวเอง

เด็กสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองอย่างมีอิสระ ซึ่งความเป็นอิสระนี้ยังส่งผลให้ได้เรียนรู้เรื่องระเบียบวินัยและการทำงานต่างๆ โดยการเปิดโอกาสให้ตัวเด็กได้เริ่มมองเห็นถึงข้อบกพร่อง ยอมรับข้อผิดพลาด และลองหาทางแก้ไข กระบวนการเหล่านี้จะทำให้เด็กเกิดพัฒนาการทางด้านอารมณ์ การแก้ไขปัญหา และความภาคภูมิใจในตนเองอีกด้วย

หลักสูตรการสอนแบบมอนเตสซอรี่ เน้นการเรียนส่วนใดบ้าง?

what-is-montessori-3

ด้วยพัฒนาการของเด็กวัย 3-6 ปี จะเป็นวัยที่ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ซึ่งเด็กจะเข้าสู่กระบวนการการพัฒนาตัวตนและบุคลิกภาพของตนเอง การใช้หลักสูตรมอนเตสซอรี่เข้ามาช่วย จะส่งผลให้เด็กๆ มีประสบการณ์ เกิดความเข้าใจ และซึมซับความรู้ได้ดี เป็นการช่วยสร้างตัวตนของเด็กอย่างสมบูรณ์ ซึ่งมีหลักในการเรียนการสอน โดยแบ่งออกได้เป็น 5 หัวข้อ ดังนี้

Practical Life - การใช้ชีวิตผ่านสิ่งแดล้อม

what-is-montessori-4

จะเป็นกิจกรรมที่เน้นการดูแลผู้อื่น การดูแลตัวเอง รวมถึงการดูแลสภาพแวดล้อม ผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การล้างจาน การจัดโต๊ะอาหาร เป็นต้น ซึ่งจะมีการสอดแทรกมารยาทในการเข้าสังคมเข้าไปด้วย เหล่านี้จะส่งผลดีต่อเด็กๆ ได้ทั้งในแง่ของพัฒนาการกล้ามเนื้อมือที่ต้องทำงานให้สัมพันธ์กับสายตา รวมถึงการเคลื่อนไหวของร่างกาย ที่สำคัญ ยังเป็นการฝึกสมาธิ ความมุ่งมั่น และการมีระเบียบวินัยให้เด็กอีกด้วย

Sensorial - ประสาทสัมผัสทั้ง 5

what-is-montessori-5

เด็กในวัยนี้จะเรียนรู้ได้ดีจากประสาทสัมผัสมากกว่าการคิดวิเคราะห์ด้วยสมอง อุปกรณ์แต่ละชิ้นถูกคิดค้นขึ้นมาโดยอ้างอิงจากหลักวิทยาศาสตร์ที่แสดงถึงคุณสมบัติ เช่น ขนาด พื้นผิว รูปทรง รวมถึงนำ้หนัก เป็นต้น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยให้เด็กเรียนรู้และจดจำได้ง่ายยิ่งขึ้น

Language - ภาษาต่างประเทศ

what-is-montessori-6

เด็กที่มีอายุ 3 ปีขึ้นไป เขาจะมีพัฒนาการทางภาษามากขึ้นเรื่อยๆ จากสิ่งต่างๆ รอบตัว เปลี่ยนการเรียนรู้จากประสาทสัมผัสมาเป็นเรียนรู้จากการอ่าน การได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับศิลปะ ประวัติศาสตร์ และดนตรี ก็จะส่งผลให้เด็กรักสิ่งต่างๆ รอบตัวด้วย

Mathematics - คณิตศาสตร์

what-is-montessori-7

คณิตศาสตร์จะเป็นสิ่งที่ทำให้เด็กเข้าใจหลักการของตัวเลข เริ่มจากอุปกรณ์ที่เด็กสามารถหยิบจับได้จริง สิ่งนี้เองจะทำให้เด็กเรียนรู้จากประสาทสัมผัสจนเกิดความเข้าใจที่เป็นนามธรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการต่อยอดเพื่อเรียนพีชคณิตและเรขาคณิตได้ในอนาคต

Culture วัฒนธรรม

what-is-montessori-8

การเรียนรู้กิจกรรจทางวัฒนธรรมไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ สัตววิทยา หรือพฤกษศาสตร์ ผ่านอุปกรณ์ทางการเรียนอย่างลูกโลกหรือจิ๊กซอว์แผนที่ เหล่านี้จะทำให้เด็กได้เรียนรู้และเข้าใจวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไปของแต่ละชนชาติได้

หลักการประเมินวัดผล

การประเมินวัดผลในหลักสูตรมอนเตสซอรี่ จะมีการวัดผลอย่างต่อเนื่องแบบ “Formative Asessment” โดยจะมีการสังเกตและจัดบันทึกพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคน ซึ่งในระดับชั้นประถมอาจใช้เครื่องมือวัดผลอื่นๆ เพิ่มเติม ได้แก่ one-on-one-conference ซึ่งครูจะมีหัวข้อในการวัดประเมิน ดังนี้

  • เด็กมักเลือกเล่นของเล่นอย่างไร
  • เด็กรู้จักที่จะพลิกแพลงของเล่นหรือไม่ อย่างไร
  • เด็กได้มีการขอความช่วยเหลือจากใครบ้างหรือไม่
  • เด็กเข้าแทรกแซงการเล่นของเพื่อนไหม
  • ให้เด็กได้อธิบายเรื่องการมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) กับเพื่อนๆ
  • เด็กจะอยู่นิ่งหรือจะมีสมาธิจดจ่อต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานแค่ไหน

ข้อดีของการเรียนแบบมอนเตสซอรี่

การสอนแบบมอนเตสซอรี่ เน้นการสอนให้เด็กเติบโตได้อย่างมีอิสระ และเป็นธรรมชาติ ซึ่งมีข้อดีต่อตัวเด็กเอง ดังนี้

what-is-montessori-9
  • เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน – เนื่องจากการเรียนรู้อย่างอิสระนี้จะเป็นการรวมกันระหว่างเด็กในหลายช่วงวัย เมื่อเด็กหลายๆ คนมาอยู่รวมกัน จะส่งผลให้เด็กแต่ละคนมีการปรับตัวและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
  • เอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน – ด้วยความที่เด็กหลายช่วงวัยมาเรียนรวมกัน เด็กที่โตกว่าจะให้ความช่วยเหลือ ดูแล พร้อมทั้งมีการสาธิตการเรียนรู้ให้กับเด็กที่อ่อนกว่า เกิดเป็นความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน
  • ไม่มีการเปรียบเทียบ – เนื่องจากเด็กมีความสนใจแตกต่างกันไปคนละด้าน เด็กจึงทำงานชิ้นนั้นๆ เสร็จได้ด้วยตัวเองเพราะต่างคนต่างเรียนรู้ จึงทำให้ไม่มีการเปรียบเทียบหรือแข่งขันกับเด็กคนอื่นๆ
  • สนุกกับการเรียน – เด็กบางคนเรียนรู้ได้เร็วกว่า ทำงานเสร็จได้เร็วกว่า ก็จะได้เรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนมากขึ้นไปอีกระดับขั้นด้วยความรวดเร็ว ไม่ต้องรอเพื่อนคนอื่นๆ เด็กจึงไม่เกิดการเบื่อหน่ายต่อการเรียน
  • มีสมาธิมากขึ้น – เมื่อเด็กมีอิสระในการเลือกที่จะเรียนรู้สิ่งที่ตนเองสนใจ เด็กจะมีจิตใจที่จดจ่อ ต่อการทดลอง และการหาคำตอบที่ตนเองอยากรู้ ส่งผลให้เด็กมีสมาธิมากขึ้นไปโดยปริยาย
  • มีบุคลิกภาพที่ดี – เด็กจะกล้าตัดสินใจด้วยตัวเอง มีความคิดพลิกแพลง รู้จักการแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง มีความรับผิดชอบ รู้จักการปรับตัวให้เข้ากับสังคม มีทัศนคติเชิงบวก รวมถึงมีวุฒิภาวะที่เหมาะสมกับช่วงวัย

สรุป การเรียนแบบมอนเตสซอรี่

เด็กจะมีความฉลาดทางสติปัญญาและเติบโตได้ทางจิตใจนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสมและถูกทางจากผู้ปกครอง การสอนแบบมอนเตสซอรี่จึงเน้นไปที่ตัวเด็กเป็นหลัก ให้เด็กได้เลือกเรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยตนเองอย่างมีอิสระ ด้วยการเล่นผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 เมื่อเด็กมีความสุขกับการเรียนรู้ก็จะทำสิ่งนั้นๆ ออกมาได้ดี โดยในท้ายที่สุดแล้วเด็กจะได้รับการยอมรับและเขาจะเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง มีความสุขกับการเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นรากฐานต่อการสร้างพัฒนาการที่ดีในขั้นต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้วยพัฒนาการของเด็กในวัย 2 ปี ขึ้นไป ทั่วไปแล้วจะมีความอยากเรียนรู้อยู่มาก และเป็นวัยที่ช่างจดช่างจำ การกระตุ้นพัฒนาการ หรือการเสริมความรู้ให้ลูกผ่านการเรียนการสอนที่เป็นอิสระ ปล่อยให้ลูกได้ค้นหาตัวเอง เป็นสิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรให้การสนับสนุน SpeakUp Language Center สถาบันสอนภาษา สำหรับเด็กเล็ก อายุตั้งแต่ 2.5 – 12 ปี พร้อมแล้วที่จะเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของลูกน้อยของคุณพ่อคุณแม่ โดยเปิดสอนทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีนสำหรับเด็ก ผ่านการสอนแบบมอนเตสซอรี่ กับครูผู้มีความเชี่ยวชาญด้านนี้โดย