Table of Contents

Homeschool คืออะไร? การสอนแบบใหม่ ที่กำลังได้รับความนิยมในพ่อแม่รุ่นใหม่

Table of Contents

การเรียนในรูปแบบ โฮมสคูล หรือ Homeschooling ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง และ มีเเนวโน้มที่จะเป็นทางเลือกในการศึกษาของเด็กในอนาคตมากขึ้น ซึ่งปัจจัยหลักของการเรียนแบบโอมสคูลของคุณพ่อคุณแม่ก็คือ การได้ส่งเสริม และ ค้นหาศักยภาพของลูกในช่วงวัยเด็กได้อย่างเต็มทีที่สุด 

โฮมสคูลคือการเรียนการสอนที่เกิดขึ้นที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการเรียนการสอนถูกออกแบบโดยผู้ปกครอง ตามรูปแบบของแต่ละครอบครัว สาเหตุที่คุณพ่อคุณแม่บางคนเลือกที่จะทำโฮมสคูล และไม่ส่งลูกไปโรงเรียนเอกชน หรือ โรงเรียนรัฐนั้นเพราะมีความคิดเห็นว่าการเรียนแบบดั้งเดิมที่โรงเรียน เป็นโครงสร้างของการศึกษาที่ไม่ตอบโจทย์ต่อผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร

โฮมสคูลเป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน เราจะมาทำความเข้าใจข้อดี และ ข้อเสียของการเรียนแบบโฮมสคูล รวมถึงขั้นตอนวิธีการเข้าระบบการเรียนโฮมสคูลต้องทำอย่างไรบ้าง

4 ข้อดี-ข้อเสีย ของการเรียนแบบ Homeschool ในยุคปัจจุบัน

4 ข้อดีของการเรียนแบบโฮมสคูล สำหรับพ่อแม่รุ่นใหม่

  1. ความยืดหยุ่นในการจัดตารางสอน โฮมสคูลมีหลากหลายข้อที่น่าสนใจ สิ่งแรกที่น่าดึงดูดคือ Flexibility ความยืดหยุ่นในเนื้อหาการเรียน ซึ่งการเรียนแบบในโรงเรียน จะถูกจัดตารางสอนแต่ละวิชาไว้แล้วโดยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตามความสามารถของนักเรียนแต่ละคนได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าลูกเก่ง คณิต แล้วสามารถทำโจทย์ได้เสร็จก่อนเวลาเรียน 1 ชม ลูกจะไม่สามารถเปลี่ยนไปเรียนวิชาอื่นๆที่สนใจต่อได้ที่โรงเรียน แตกต่างจากการเรียน แบบโฮมสคูล ซึ่งสามารถลดเวลาบางวิชา และ เพิ่มเวลาอีกวิชาได้ตามศักยภาพ และ พัฒนาการของเด็ก
  2. การค้นหาพรสวรรค์ เด็กๆทุกคนมีความสามารถและพรสวรรค์ที่แตกต่างกัน การที่เด็กสามารถค้นหาความถนัดและความชอบได้งั้น ต้องผ่านการลองทำกิจกรรมหลายๆด้านทั้ง indoor และ outdoor ไม่ว่าจะเป็น ศิลปะ ดนตรี ภาษา กีฬา เป็นต้น ซึ่งการเรียนแบบโฮมสคูลได้เปิดโอกาสให้คุณพ่อคุณแม่สามารถค้นหา พรสวรรค์ของลูกได้ว่า ชอบ หรือ เก่งด้านไหนเป็นพิเศษจากการลองเรียนวิชาใหม่ๆ หรือ ออกไปทำกิจกรรมนอกสถานที่ได้อย่างอิสระตามช่วงวัย
  3. การลงมือปฏิบัติ  การเรียนที่ได้ลงมือปฏิบัติจริงนั้น เป็นการเรียนได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งตรงข้ามกับการเรียนแบบโรงเรียนที่เน้น การเรียนแบบทฤษฎีจากหนังสือเป็นหลักใหญ่ เกิดจากจำนวนเด็กในห้องเรียนที่มีมากถึง 20-30 คนต่อห้อง ทำให้การเรียนถูกออกแบบมาให้นักเรียนนั่งอยู่ประจำที่เพื่อความเป็นระเบียบเเละควบคุมง่าย ตัวอย่างเช่น วิชาวิทยาศาสตร์ ‘เรื่องการเติบโตของผีเสื้อ’ เด็กโฮมสคูลจะสามารถนั่งรถออกไปสวนสาธารณะใกล้บ้านเพื่อสังเกตผีเสื้อจริงที่อยู่ตามดอกไม้ หรือ สิ่งมีชีวิตอื่นๆรอบตัว มากไปกว่านั้นในระหว่างทางเด็กๆยังได้ออกมาขยับร่างกายเดิน หรือ วิ่งทำให้สมองตื่นตัวพร้อมที่จะทำงานอย่างเต็มที่
  4. การออกเเบบแผนการสอนได้เอง การที่คุณพ่อคุณแม่ได้ออกแบบการสอนอย่างอสิระนั้น สามารถสอดแทรกวิชา หรือ ทักษะหลายๆอย่างที่โรงเรียนไม่มีสอนในหลักสูตร แต่ครอบครัวเล็งเห็นถึงความสำหรับ และ ประโยชน์ในอนาคตที่ลูกควรได้รับตั้งแต่วัยเด็ก ตัวอย่างเช่น
  • การเงิน (Finance) การสอนเด็กเกี่ยวกับ “เงิน” อาจฟังอยู่ยากเกินไปสำหรับเด็ก แต่แท้จริงแล้วการสอนสามารถปรับเปลี่ยนมาในรูปแบบของเกม Monopoly หรือ เกมเศรษฐี ซึ่งสามารถเริ่มจากการเรียนแบบง่ายๆ เช่นการชื้อ ขาย ยิม คืน เป็นต้น ทำให้เด็กๆเพลิดเพลินและเรียนรู้อย่างไม่รู้สึกกดดัน
  • กีฬายุคใหม่ (Sports) ในปัจจุบันมีกีฬารูปแบบใหม่ๆที่นิยมในประเทศไทยเกิดขึ้นมากมาย เช่น Skateboard, Surf skate, E-scooter (จักรยานไฟฟ้าล้อเดียว) เป็นต้น ซึ่งทำให้เด็กๆโฮมสคูลได้มีโอกาสลองทำกิจกรรมกีฬาใหม่ๆที่หลากหลาย เพื่อค้นหาสิ่งที่ชอบ และ ชำนาญ มากยิ่งขึ้น
  • ภาษาต่างประเทศ (Language art) ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในยุคนี้การได้หลายภาษานั้นได้เปรียบกว่า และ มีความโดดเด่นมากกว่าคนอื่น การเรียนภาษาที่ 2 หรือ 3 ก็สามารถเริ่มเรียนได้ตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งยังส่งผลดีในการช่วยด้านพัฒนาการและการเจริญเติบโตของสมอง การเรียนแบบโฮมสคูลสามารถจัดสรรตารางเวลาเรียนเสริมภาษาได้อย่างต่อเนื่อง เพราะการเรียนภาษานั้นต้องถูกฝึกฝน และ ฝึกใช้งานอยู่เป็นประจำ จึงจะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน
  • ประวัติศาสตร์ และ วัฒนธรรม (History / Culture) การเรียนประวัติศาสตร์ และ วัฒนธรรม ในรูปแบบโฮมสคูล สามารถทำให้เด็กๆได้เจอประสบการณ์ที่ดี และ น่าตื่นเต้น โดยการพาไปพิพิธภัณฑ์ต่างๆ คุณพ่อคุณแม่สามารถทำการสอนแบบ Project-Base Learning โดยให้ลูกเก็บภาพ เก็บข้อมลูจากสิ่งที่ได้พบเจอ และ นำมาทำเป็นสรุปการเรียนรู้ในสมุดหรือบอร์ดตามจินตนาการ

4 ข้อเสีย ของการเรียนแบบ Homeschool สำหรับพ่อแม่รุ่นใหม่

  1. ค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าปกติ การเรียนที่ครอบครัวต้องจัดหาสื่อการสอนเองทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น กระดาน สื่อการสอน หนังสือ อุปกรณ์งานศิลปะต่างๆ รวมถึงกิจกรรมนอกสถานที่ นั้นมีราคาค่อยข้างสูง และ ไม่สามารถหมุดเวียนการใช้งานเหมือนที่โรงเรียนได้ ทำให้พ่อแม่ต้องค่อยจัดหาซื้ออุปกรณ์ใหม่ๆเข้ามาประกอบการสอนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดึงดูดตามสนใจในการนำเสนอการสอนเรื่องใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าปกติ
  2. การทุ่มเทเวลา การเรียนแบบโฮมสคูลต้องมี คุณพ่อ หรือ คุณแม่ คนใดคนหนึ่งทุ่มเทเวลาทั้งหมด หรือ สามารถดูแลได้ Full time ซึ่งไม่สามารถทำงานประจำได้ ทำให้การหารายรับของครอบครัวจะถูกตัดไปเช่นกัน หากผู้ปกครองไม่มีเวลาเพื่อจัดสรรเวลาเรียนรู้ให้เป็นระบบเป็นกิจวัตรประจำวันได้ อาจส่งผลเสียด้านความต่อเนื่อง และ ระเบียบวินัยของลูกในใช้ชีวิตประจำวัน
  3. ขาดการเข้าสังคม แน่นอนว่าการเรียนที่โรงเรียนเด็กจะสามารถพบปะผู้คนในหนึ่งวันได้หลากหลายมากกว่า ซึ่งทำให้เด็กไม่กลัวคนหน้าใหม่ มีความกล้าแสดงออก กล้าแสดงความคิดเห็น และ ปรับตัวในสภาพแวดล้อมใหม่ได้ง่ายกว่า
  4. ขาดความมั่นใจ การเรียนแบบโฮมสคูลลูกจะรู้สึกไม่มั่นใจในการทำสิ่งต่างๆได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้อยู่ด้วย ลูกจะรู้สึกไม่กล้า หรือ ลองทำสิ่งนั้นด้วยตัวเองถ้าไม่ได้ถูกฝึกการเข้าสังคม ออกไปทำกิจกรรมสาธาณะ กิจกรรมอาสา อย่างสม่ำเสมอ

Homeschool ในประเทศไทย เริ่มต้นอย่างไร? ต้องยื่นเอกสารอะไรบ้าง?

เมื่อครอบครัวตัดสินใจที่จะเลือกการเรียนแบบโฮมสคูล สิ่งแรกที่ต้องทำคือการศึกษาหาข้อมูลวิธีการสมัครเข้าระบบการศึกษาแบบโฮมสคูล ผู้ปกครองไม่ควรทำโฮมสคูลแบบไม่เข้าระบบเพราะคิดว่าลูกยังเด็กและยังอยู่แค่ระดับชั้นอนุบาล ขั้นตอนการสมัครโฮมสคูลไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด ในทางกลับกันการเข้าระบบนั้นมีผลดีสำหรับใช้เทียบวุฒิการศึกษาต่อในอนาคตได้

 วิธีการเริ่มต้นหาก คุณพ่อคุณแม่ ต้องการเรียนในรูปแบบโฮมสคูลนั้น ต้องเริ่มจากการแจ้งเขตให้ทราบก่อนนั้นเอง การเรียนแบบโฮมสคูลที่มีการรองรับจากกระทรวงศึกษาสามารถเริ่มได้ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล ถึง ระดับมัธยม โดยต้องไปยื่นคำขออนุญาตจัดการสอนแบบโฮมสคูล ที่สำนักงานเขตตามทะเบียนบ้านของครอบครัว  คู่มือการสมัคร และ ใบยื่นคำขออนุญาต ตามนี้ 

ดาวน์โหลดเอกสาร โฮมสคูล

หลังจากที่ได้ยื่นแบบฟอร์มขออนุญาต ทางครอบครัวต้องจัดทำแผนการสอนในแต่ละวันออกมา แบ่งการสอนเเต่ละวิชาตามช่วงเวลา และ แผนการประเมินผลการเรียนของลูกให้ตรงตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด

Homeschool มีรูปแบบหลักการใดบ้าง? 4 รูปแบบหลักของ Homeschool ในประเทศไทย

การเรียนแบบโฮมสคูลสามารถจัดสรรออกมาได้ 4 รูปแบบหลักๆ ซึ่งแต่ละรู้แบบการเรียนมีข้อดี-เสียที่แตกต่างกันออกไป

1. โฮมสคูลแบบที่คุณพ่อคุณแม่ออกแบบการเรียนเอง โดยจัดการสอนให้ตรงกับความสนใจของลูกโดยเฉพาะ ซึ่งมีความยืดหยุนสูง สามารถปรับตารางสอนตามความเหมาะสม แต่คุณพ่อคุณแม่ต้องทุ่มเทเวลา และ จัดหาอุปกรณ์ทั้งหมดด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอ

2. โฮมสคูลแบบกลุ่มที่คุณพ่อคุณแม่หลายๆครอบครัวช่วยกันออกแบบการสอน เป็นการรวมกลุ่มของเด็กๆที่เรียนในรูปแบบโฮมสคูลเหมือนกัน กลุ่มละ 5-6 คน ซึ่งการสอนจะถูกแบ่งความรับผิดชอบให้คุณพ่อคุณแม่ของแต่ละครอบครัว เลือกวิชาที่จะสอนตามความถนัดของผู้ปกครองแต่ละคน การเรียนแบบกลุ่มสามารถประหยัดค่าใช้จ่าย และ ลดเวลาการจัดเตรียมการสอนของผู้ปกครอง แต่อาจมีความวุ่นวายในการสื่อสาร และ รวมตัวของแต่ละบ้านให้สามารถเรียนได้พร้อมๆกัน

3.โฮมสคูลแบบที่คุณพ่อคุณแม่พาลูกไปเรียน ตามสถาบัน หรือ ศูนย์การเรียนรู้ต่างๆ ซึ่งมีนักเรียนจำนวนไม่มากต่อห้องเรียน เพื่อเสริมสร้างวิชาที่คุณพ่อคุณแม่อาจจะไม่ถนัด และ เป็นการฝึกการเข้าสังคมของลูก อาทิเช่น สถาบันสอนภาษาต่างประเทศ, ศูนย์สอนศิลปะ , สอนร้องเพลง หรือ การแสดง เป็นต้น ซึ่งตารางเวลาเรียนอาจจะถูกกำหนดจากทางสถาบันและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

4.โฮมสคูลแบบที่คุณพ่อคุณแม่จัดหาคลาสเรียนออนไลน์ที่เป็นหลักสูตรในไทย หรือ หลักสูตรต่างประเทศ โดยปกติเป็นการเรียนที่เหมาะสมกับเด็กมัธยมต้นขึ้นไป ซึ่งสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และ รับผิดชอบต่อการทำการบ้าน หรือ แบบฝึกหัดได้ บางหลักสูตรสามารถนำไปเทียบวุฒิเพื่อเรียนต่อในไทย หรือ ต่างประเทศได้ อาทิเช่น การเรียน GED ซึ่งเทียบเท่ากับการเรียนระดับชั้นมัธยม

ไอเดียการจัดตารางเรียน หลักสูตร ในรูปแบบ Homeschool ระดับอนุบาล

การจัดตารางเวลาเรียนโฮมสคูลของเด็กเล็กหรือเด็กอนุบาลนั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องคำนึงถึง กิจวัตรประจำวันของลูก พัฒนาการ และ ศักยภาพทางด้างร่างกาย จิตใจ รวมทั้งความสนใจของลูกเป็นหลัก ไม่ควรที่จะกดดัน เร่งรัดมากเกินไป หรือ เปรียบเทียบกับเด็กคนอื่นๆ

ไอเดียการจัดตารางสอนนั้นเป็นแนวทางช่วย คุณพ่อคุณแม่ เริ่มต้นการทดลองแบ่งเวลาเรียนแต่ละวิชา โดยใช้วิธีที่เรียกว่า Block Schedule การแบ่งการสอนเเต่ละวิชาตามช่วงเวลาของแต่ละวัน โดยปกติเด็กอนุบาลจะไม่สามารถทำกิจกรรมหนึ่งกิจกรรมได้นาน ตามสมาธิในช่วงวัย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามาถปรับเพิ่มหรือลดเวลากิจกรรมตามศักยภาพ และ ช่วงอายุได้ตามความเหมาะสม ผู้ปกครองสามารถดาวห์โหลด ตาราง Block Schedule เปล่า เพื่อใช้ในการแบ่งเวลาเรียนได้  (แนบลิ้งค์  pdf )

แนะนำหนังสือเรียนภาษาอังกฤษ สำหรับเด็กโฮมสคูล ระดับชั้นอนุบาล

หนังสือต่างประเทศที่อยากแนะนำสำหรับวิชาภาษาอังกฤษ ในวัยอนุบาลและประถมที่เหมาะสมและน่าสนใจคือ Jolly Phonics ซึ่งเป็นการปูพื้นฐานการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษทั้งหมด 42 เสียงแบ่งออกมาในรูปแบบหนังสือ ทั้งหมด 7 เล่ม

หนังสือต่างประเทศที่อยากแนะนำสำหรับวิชาภาษาอังกฤษ ในวัยอนุบาลและประถมที่เหมาะสมและน่าสนใจคือ Jolly Phonics ซึ่งเป็นการปูพื้นฐานการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษทั้งหมด 42 เสียงแบ่งออกมาในรูปแบบหนังสือ ทั้งหมด 7 เล่ม

Finger Phonics เล่มที่ 1 ประกอบด้วย 6 ตัวอักษร 6 เสียงเริ่มต้น s a t i p n ซึ่งตัวอักษรเหล่านี้สามารถผสมคำง่ายๆ เช่น  s a t / p i n / n a p เป็นต้น ในหนังสือจะมีนิทานประกอบแต่ละตัวอักษร และ จุดสัมผัสรอยปะที่เด็กๆ สามารถใช้นิ้วลากตามรอยเพื่อฝึกเขียนตัวอักษร  ทำให้เข้าใจง่ายและเข้าถึงเด็กเล็กได้ดี สอนวิธีการเขียนตัวอักษรจากบนลงล้าง จากซ้ายไปขวา ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาการเขียนกลับหัวของเด็กๆหลายคนได้เป็นอย่างดี

นอกจากหนังสือเรียน และ แบบฝึกหัดแล้วยังมีสื่ออุปกรณ์ที่ คุณพ่อคุณแม่ สามารถใช้ประกอบการสอนในรูปแบบโฮมสคูลได้เพิ่มเติม เช่น การ์ดตัวอักษร การ์ดคำศัพท์ ตุ๊กตาตามตัวละครในหนังสือ โปสเตอร์ และ เพลงประกอบการออกเสียงแต่ละตัวอักษร 

สรุปตัวอักษรทั้ง 7 เล่ม รวม 42 เสียง ได้ดังนี้

Homeschool ควบคู่กับการเรียนแบบ Montessori เพื่อค้นหาพรสวรรค์ของลูก

การทำโฮมสคูลเป็นการวางแผนระยะยาวสำหรับการศึกษาของลูก ฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องคำนึงถึงหลักการสอนที่เข้าถึงง่าย และ เห็นผลได้ชัดเจน ในวัยเด็กการสอนแบบที่ให้ลูกมีส่วนได้แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ ตัดสินใจ และ ลงมือทำด้วยตัวเอง หรือ การเรียนแบบมอนเตสเซอรี่ (Montessori) มีส่วนช่วยลูกค้นหาความชอบ หรือ พรสวรรค์ โดยคุณพ่อคุณแม่ สามารถจัดสภาพแวดล้อมการสอน ให้เด็กๆได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ซึ่งไม่เน้นการเรียนแบบท่องจำ แต่เป็นการเรียนรู้ผ่านการเล่น โดยมีคุณพ่อคุณแม่คอยให้คำแนะนำอย่างสม่ำเสมอ

ในปัจจุบัน มีสถาบัน และ ศูนย์การเรียนรู้มากมายที่นำการสอนแบบมอนเตสเซอรี่ มาประยุกต์ใช้ ให้คุณพ่อคุณแม่ได้เป็นทางเลือกในการช่วยสอนมากขึ้น อาทิ เช่น การสอนภาษาอังกฤษ ภาษาจีน แบบมอนเตสเซอรี่ เป็นต้น ซึ่งผู้ปกครองควรเลือกสถาบัน หรือ ศูนย์การเรียนรู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการสอนเด็กเล็กและ จัดกลุ่มให้เหมาะสมกับช่วงวัยของเด็ก

หากการเรียน Homeschool ไม่ตอบโจทย์สำหรับครอบครัว วิธีกลับมาเรียนโรงเรียนแบบปกติทำอย่างไร

คุณพ่อคุณแม่สามารถเลิกทำโฮมสคูลได้ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ผู้ปกครองไม่ต้องกังวล และรู้สึกเสียดายเวลาทำโฮมสคูลที่ผ่านมา เพราะครอบครัวได้มีประสบการณ์ในช่วงเวลาดีๆด้วยกัน ครอบครัวได้ทำกิจกรรม และ เรียนรู้ ลูกได้ค้นหาตัวเอง ผู้ปกครองได้ประสบการณ์ความคิดใหม่ๆ ไปด้วยกัน ซึ่งวิธีการเลิกโฮมสคูลก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร ไม่ต่างกับวิธีการสมัครเข้าระบบโฮมสคูล

เพียงเเค่ไปยื่นใบลาออกจากการเรียนโฮมสคูลที่เขตตามทะเบียนบ้าน โดยการนำแผนการเรียนรู้  และ ใบประเมินผลพัฒนาการของลูก เพื่อแสดงการยื่นยันร่องรอยการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น

ยื่นที่โรงเรียนเอกชน หรือ โรงเรียนรัฐบาล เพื่อเปรียบวุฒิการศึกษาต่อในโรงเรียน และ ทางโรงเรียนจะมีสัมภาษณ์ผู้ปกครอง และ นักเรียนเพื่อให้แน่ใจว่า นักเรียนมีพื้นฐานที่เพียงพอสำหรับการกลับเข้าสู้ระบบในระดับชั้นที่เหมาะสม แน่นอนว่านอกจากเรื่องการเตรียมเอกสารแล้ว ลูกต้องเปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน และปรับตัวอีกครั้งเพื่อเข้าสังคมและเข้าระบบการเรียนที่โรงเรียน

บทสรุป การเรียนรูปแบบ Homeschool

ทั้งนี้การศึกษาในรูปแบบโรงเรียนปกติ และ แบบโฮมสคูลต่างมีข้อดี และ ข้อเสียที่แตกต่างกัน ผู้ปกครองต้องศึกษาหาข้อมูล และ สังเกตลูกว่าเหมาะกับการเรียนรู้ในรูปแบบไหน ในกรณีที่เลือกรูปแบบโฮมสคูล ผู้ปกครองควรเลือกจดเทียบเข้าระบบ และ วางแผนการสอนให้ถูกต้องเหมาะสมกับช่วงวัย

ในการเลือกรูปแบบการสอนสำหรับโฮมสคูลนั้นก็สำคัญเช่นกัน ควรเลือกหาสถาบัน หรือ ศูนย์การเรียนรู้ที่มีความเชี่ยวชาญ และ มีแนวการสอนที่ส่งเสริมการค้นหาตัวตนของเด็กๆ ซึ่ง SpeakUp Language Center เป็นหนึ่งในสถาบันที่ตอบโจทย์ สถาบันเราให้บริการ การสอนภาษาอังกฤษ สำหรับเด็ก และการสอนภาษาจีนสำหรับเด็ก สำหรับการเรียนควบคู่กับการทำโฮมสคูล โดยประยุกค์การสอนแบบมอนเตสเซอรี่ (Montessori) กับการเรียนภาษาอังกฤษ และ ภาษาจีน ซึ่งได้ออกแบบสภาพแวดล้อมการสอน ให้เด็กๆได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 โดยไม่เน้นการเรียนแบบท่องจำ แต่เป็นการเรียนรู้ผ่านการเล่น พร้อมได้ฝึกทักษะการสนทนาไปพร้อมๆกัน

Jirayu Studio

Jirayu Studio

Web Developer

Lorem Ipsum is simply dummy text of the printing and typesetting industry. Lorem Ipsum has been the industry's standard dummy text ever since the 1500s, when an unknown printer took a galley of type and scrambled it to make a type specimen book.