Jolly Phonics เทคนิคฝึกภาษาให้ลูกอย่างเป็นธรรมชาติ ที่จำง่ายได้ผลดี
Jolly Phonics การเรียนการสอนรูปแบบใหม่ที่ช่วยพัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษของเด็ก ๆ ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม ฝึกให้ลูกของคุณสามารถใช้ภาษาได้อย่างเป็นธรรมชาติ เฉกเช่นเจ้าของภาษา เน้นการสอนที่สนุกสนาน มีกิจกรรมที่หลากหลาย ไม่ฝืนความคิดของเด็ก ซึ่งตรงนี้เป็นตัวช่วยกระตุ้นความอยากเรียนรู้ของเด็กและกระตุ้นความจำได้เป็นอย่างดี
ผลลัพธ์ในการเรียนภาษาผ่านโปรแกรม Jolly Phonics ช่วยให้เด็กสามารถเรียนภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและเก่งเร็วขึ้น ทำให้การเรียนในรูปแบบนี้ ถูกใช้เป็นเครื่องมือในหลักสูตรแกนกลางของ
สหราชอาณาจักร และกว่า 150 ประเทศทั่วโลกก็ได้นำ Jolly Phonics ไปใช้ในการสอนภาษาแก่เด็กเช่นเดียวกัน
มารู้จัก Jolly Phonics กันก่อนว่าคืออะไร?
Jolly Phonics คือ รูปแบบการการเรียนการสอนที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางด้านภาษาของเด็กได้อย่างเป็นธรรมชาติ ที่การเรียนแบบเดิม ๆ ไม่สามารถตอบโจทย์ได้ เพราะ Jolly Phonics ใช้เครื่องมืออย่าง Synthetic Phonics (การสังเคราะห์การออกเสียง) ที่เป็นกุญแจดอกสำคัญของการเรียนภาษาเข้ามาปรับใช้ในการสอนภาษาให้กับเด็ก เพราะการสอนแบบนี้เด็ก ๆ จะเรียนรู้เสียงจากตัวอักษรแต่ละตัว โดยเริ่มจากการผสมเสียงและค่อย ๆ อ่านคำศัพท์ได้ตามลำดับ เรียกได้ว่าเป็นกระบวนการที่ส่งเสริม “การเรียนรู้” ไม่ใช่การ “เรียน” (ที่เน้นการท่องจำเพื่อเอาไปสอบ) แบบที่เคยเป็นมา
การเรียนภาษาด้วย Jolly Phonics ยังได้นำเอาการสอนแบบพหุสัมผัส (Multisensory) มาใช้ เพื่อกระตุ้นให้สมองของเด็ก ๆ เกิดการพัฒนาในหลายส่วน บวกกับการนำการเรียนรู้จากเสียง โดยการมองเห็นมาใช้ ทั้งยังมีกิจกรรมสนุก ๆ การร้องเพลง การแสดงท่าทางมาใช้ในเรียนรู้เสียงจากตัวอักษร รวมถึงมีแบบฝึกหัด Jolly Phonics ให้ได้ทำ ทำให้การเรียนไม่น่าเบื่อ และยังมีประสิทธิภาพอีกด้วย
เรียนภาษาด้วย Jolly Phonics ดีกว่ายังไง
ผู้ปกครองหลายคนอาจสงสัยว่า Jolly Phonics ดีไหม ต่างจากการเรียนภาษาอย่างที่เคย ๆ เรียนมาอย่างไร แล้วเหมาะไหมที่จะให้ลูกของคุณเรียนภาษาด้วยวิธีนี้ อย่างที่ได้อธิบายไปแล้วข้างต้นว่า Jolly Phonics เป็นการเรียนที่เด็กๆ จะได้เรียนรู้เสียงจากพยัญชนะแทนการเรียนแบบที่เราคุ้นเคยก็คือการเรียนตัวอักษร A B C ไปก่อน ค่อยมาเรียนเรื่องเสียง แถมยังเรียนรู้ผ่านกิจกรรมสนุกๆ อย่างการร้องเพลงและแสดงท่าทางประกอบเสริมความจำและความเข้าใจ
การเรียนภาษาอังกฤษด้วย Jolly Phonics เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ว่า ภาษาอังกฤษมีตัวอักษรทั้งหมด 26 ตัวและมีเสียง 42 เสียง ซึ่งพวกเขาก็จะได้เรียนเสียงในภาษาอังกฤษทั้งหมดก่อน ซึ่งเป็นเทคนิคที่เป็นธรรมชาติ จะเห็นได้ว่าก่อนที่เด็กจะพูดได้ เด็กจะได้ยินพ่อแม่พูด พร้อมแสดงท่าทาง เกิดการเลียนเสียงและท่าทางจากพ่อแม่ จนเกิดความเข้าใจและสื่อสารได้ในที่สุด จะเห็นได้ว่าการเรียนแบบเดิมจะเน้นท่อง A B C เป็นหลัก แล้วจึงค่อยมาสอนการออกเสียงและการผสมคำ ซึ่งเป็นการเรียนที่ฝืนธรรมชาติ ทำให้เด็ก ๆ หลายคนเรียนภาษาอังกฤษไม่ประสบความสำเร็จหรือเห็นผลในการเรียนรู้ช้า
จุดเด่นของ Jolly Phonics ที่ทำให้แตกต่างจากการเรียนแบบอื่น คือการเรียนการสอนที่ไม่น่าเบื่อ นักเรียนได้มีส่วนร่วมมากขึ้น เป็นการเรียนที่มองเห็นภาพ ซึ่งสามารถช่วยในการจำเป็นอย่างดี เช่น การออกเสียง /p/ ก็จะมีเพลงที่เป็นจังหวะ พร้อมกับดึงเอาคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่มีการเชื่อมโยงกับเสียงนั้น ๆ เสียงจากตัวอักษร P ก็จะสอนคำว่า Puff ซึ่งคือการเป่า เด็ก ๆ ก็จะได้ร้องเพลงและทำเสียงเป่าไปด้วย ทำให้เกิดความเข้าใจและสามารถจดจำวิธีการออกเสียงได้แบบไม่มีวันลืม
Jolly Phonic เหมาะสำหรับเด็กอายุเท่าไหร่?
การเรียนด้วยเทคนิค Jolly Phonics สามารถเริ่มเรียนได้ตั้งแต่ช่วงเตรียมอนุบาลไปจนถึงระดับประถมศึกษา ซึ่งในช่วงแรกจะเป็นการเรียนร้องเพลง ออกเสียงประกอบท่าทางต่าง ๆ และเมื่อโตขึ้นจึงค่อย ๆ พัฒนาความยากขึ้นตามลำดับ เช่น การประสมคำ การสร้างประโยค ไวยากรณ์ต่าง ๆ เป็นต้น ถ้าเป็นไปได้ช่วงที่ควรเน้นเรียนคือช่วง 0-7 ขวบ เพราะเป็นวัยที่กำลังจำได้เก่ง ซึมซับง่าย ซึ่งจะทำให้การเรียนได้ผลสัมฤทธิ์ที่ดีที่สุด
หลักการสอนของ Jolly Phonics
การเรียนภาษาอังกฤษโดยใช้หลักการสอน Jolly Phonics เป็นวิธีการสอนที่ให้ประสิทธิผลที่เป็นที่น่าพึงพอใจ มีเทคนิคการสอนที่สนุกสนาน เพลิดเพลิน กระตุ้นเด็ก ๆ ให้เกิดความอยากรู้ อยากเรียน ช่วยส่งเสริมการอ่านการเขียนให้กับเด็กตั้งแต่วัยแรกเริ่มกันเลย ทั้งยังมีงานวิจัยออกมาเพื่อเปรียบเทียบกับเด็กที่เรียนโดยใช้ Jolly Phonics กับการเรียนภาษาอังกฤษแบบทั่วไป พบว่าพัฒนาการของเด็กก้าวกระโดดนำหน้าเด็กที่เรียนด้วยวิธีเดิม ๆ
มาดูกันว่าหลักการสอน Jolly Phonics มีลักษณะอย่างไร ทำไมถึงเป็นหลักสูตรการสอนที่ประสบความสำเร็จ จนโรงเรียนและสถาบันสอนภาษาหลายแห่งทั่วโลกต้องนำการสอนแบบนี้ไปใช้
การเรียนรู้ด้วยเสียงของตัวอักษร
การเรียนรู้ด้วยเสียงของตัวอักษร (Learning the letter sounds) โดยเริ่มแรกเด็ก ๆ จะได้เรียนรู้เรื่องเสียงทั้ง 42 เสียงในภาษาอังกฤษก่อน โดยจะแบ่งกลุ่มการออกเสียงออกเป็น 7 กลุ่ม ทั้งแบบ 1 เสียง 1 พยัญชนะ และ 1 เสียง 2 พยัญชนะ โดยไม่เรียงตามตัวอักษร A-Z และกลุ่มการออกเสียงทั้ง 7 มีดังนี้
- s, a, t, p, i, n
- c k, e, h, r, m, d
- g, o, u, l, f, b
- ai, j, oa, ie, ee, or
- z, w, ng, v, oo (สั้น), OO (ยาว)
- y, x, ch, sh, th (voiced), th (unvoiced)
- qu, ou, oi, ue, er, ar
การสอนจะเริ่มจากกลุ่มแรกก่อน เพราะเป็นกลุ่มที่ออกเสียงง่ายสำหรับเด็กเล็กที่ยังออกเสียงได้ไม่ชัด ก็สามารถออกเสียงได้ โดยจะทำให้เด็กเรียนรู้แบบสอดคล้องไปตามพัฒนาการของเขาด้วย และในกลุ่มแรกนั้นก็สามารถผสมคำที่มีความหมายรวมกันแล้วได้ถึง 30 คำอีกด้วย
การเรียนรู้ด้วยการเขียนของตัวอักษร
การเรียนรู้ด้วยการเขียนของตัวอักษร (Learning letter formation) เป็นอีกสเต็ปที่สำคัญ เมื่อเรียนรู้เรื่องการออกเสียงกันไปบ้างแล้ว ก็จะเริ่มมีการฝึกเขียนควบคู่กันไปด้วย ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจในเรื่องการออกเสียงและการเขียนให้ไปในแนวทางเดียวกัน เด็กจะจำได้เป็นอย่างดี ทำให้การเรียนภาษาเต็มไปด้วยประสิทธิภาพและพัฒนาต่อไปได้อย่างรวดเร็ว
การผสมเสียง
การผสมเสียง (Blending) จะเริ่มเรียนเมื่อเด็ก ๆ รู้จักเสียงจากอักษรบ้างแล้ว 2-3 คำ ซึ่งพวกเขาจะเริ่มทำการผสมเสียงเพื่ออ่านและเขียนคำใหม่ ๆ ได้
การแยกหน่วยเสียงย่อย
การแยกหน่วยเสียงย่อย (Segmenting) จะเริ่มเรียนเมื่อเด็ก ๆ เริ่มอ่านคำศัพท์ต่าง ๆ ได้แล้ว ซึ่งต้องเริ่มเรียนรู้ควบคู่กันไปกับการผสมเสียง (Blending) เด็กจะต้องทำการแยกแยะ และสามารถบ่งบอกได้ว่าองค์ประกอบด้านโฟนิกส์ใดที่ทำให้การออกเสียงคำเหล่านั้นเป็นเช่นนั้น การเรียนทั้งสองอย่างนี้ควบคู่กันไป จะทำให้พวกเขาคุ้นเคยกับการประกอบคำเข้าด้วยกัน และสามารถแยกเสียงย่อยภายในคำได้
คำศัพท์อื่นที่อยู่นอกเหนือจากการผสมเสียง
คำศัพท์อื่นที่อยู่นอกเหนือจากการผสมเสียง (Tricky words) เป็นคำที่อาจชวนให้สับสนว่าออกเสียงแบบไหนกันนะ เพราะไม่ได้ออกเสียงตามหลักโฟนิกส์ ถือเป็นอีกด่านหนึ่งที่ท้าทายสำหรับเด็ก ๆ เลยทีเดียว ในช่วงนี้พวกเขาจะได้เรียนรู้ Tricky words ที่มักจะพบเจอได้บ่อยๆ ยิ่งถ้าเด็กๆ ได้รู้จักคำศัพท์เหล่านี้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้พวกเขาเก่ง และมีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วขึ้นอีกเยอะ
ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อพัฒนาการที่ก้าวหน้า
ไม่ว่าหลักสูตรจะดีแค่ไหน แต่ถ้าขาดการฝึกฝนก็จะทำให้การเรียนไม่ต่อเนื่อง และได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร เด็กๆ จึงต้องเรียนรู้และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งหลักสูตรการเรียนภาษาอังกฤษด้วย Jolly Phonics เป็นหลักสูตรที่ถูกวิจัยและพัฒนาให้เป็นหลักสูตรที่เหมาะสมในการสอนเด็กมากที่สุด เป็นการเรียนที่เด็กๆ จะได้ความสนุก มีส่วนร่วมในการแสดงออก จดจำเรื่องที่เรียนได้แบบง่ายๆ เสริมสร้างการพัฒนาทางด้านภาษาให้ก้าวหน้ากว่าการเรียนหลักสูตรเดิม จนกลายเป็นหลักสูตรแกนกลางในสหราชอาณาจักรและได้รับความสนใจจากประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
SpeakUp เป็นสถาบันสอนภาษาที่มีการเรียนการสอนภาษาที่มีการเรียนการสอนแบบ Jolly Phonics ให้กับเด็กตั้งแต่อายุ 2.5 – 12 ปี รวมทั้งมีการประยุกต์ใช้การสอนแบบมอนเตสซอรี่ (Montessori) โดยคุณครูมืออาชีพที่มีประสบการณ์และเทคนิคการสอนภาษาเด็กเล็ก ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ภาษาด้วยความสนุกสนาน มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การเรียนรู้ ให้เด็กๆ ใช้ภาษาได้อย่างถูกต้อง และมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม
สรุป
Jolly Phonics คือ รูปแบบการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่สอนให้เด็กๆ เรียนรู้การอ่าน เขียนภาษาโดยเริ่มจากการเรียนรู้เสียงของอักษร เพื่อการออกเสียง ผสมคำ และสะกดคำอย่างถูกต้อง แบ่งระดับจากง่ายไปยาก ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ที่การเรียนภาษาแบบเดิมทำไม่ได้ โดยสิ่งสำคัญที่สุดและขาดไม่ได้เลยก็คือ ผู้ปกครองควรส่งเสริมให้เด็กๆ หมั่นฝึกฝนในสิ่งที่เรียนมาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การเรียนได้รับผลลัพธ์สูงสุดนั่นเอง
หมวดหมู่
- Blog (52)
- Uncategorized (1)
โพสต์ล่าสุด
- เลี้ยงลูกแบบ BLW ฝึกให้ลูกน้อยจับอาหารกินด้วยตัวเอง ทำได้อย่างไร
- Leadership คืออะไร และเทคนิคเลี้ยงลูกอย่างไรให้มีทักษะการเป็นผู้นำ
- ศิลปะการตัดกระดาษจีน กิจกรรมฝึกฝนสมาธิง่ายๆ พร้อมเรียนรู้วัฒนธรรม
- รวม 100 ประโยคกล่าวคำชื่นชมภาษาอังกฤษ ไว้ชื่นชมคนแบบไม่ซ้ำกัน
- รู้จักทฤษฎี Constructivism สอนเด็กให้กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก