fbpx

วิธีเลือกโรงเรียนนานาชาติให้เหมาะกับลูก เพื่อพัฒนาการ และอนาคตที่ดี

สารบัญ
วิธีเลือกโรงเรียนนานาชาติให้เหมาะกับลูก เพื่อพัฒนาการ และอนาคตที่ดี

วิธีเลือกโรงเรียนนานาชาติให้เหมาะกับลูก เพื่อพัฒนาการ และอนาคตที่ดี

เมื่อถึงคราวที่ลูกน้อยต้องออกไปผจญโลกกว้าง หรือเข้าสู่รั้วในโรงเรียน เพื่อเป็นการปูพื้นฐานการศึกษาที่ดีในอนาคต โดยหลังจากที่ลูกเข้าเรียนแล้ว ชีวิตส่วนใหญ่ก็ต้องเปลี่ยนจากบ้านไปอยู่โรงเรียน การเลือกโรงเรียนให้ลูกจึงสำคัญต่ออนาคตลูกเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะเกี่ยวกับการศึกษาแล้ว ยังมีเรื่องของสังคมภายในโรงเรียนเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย ผู้ปกครองหลายท่านจึงมีแนวคิดในการเลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูก เพื่อหลักสูตรการสอนที่มีประสิทธิภาพมากกว่าโรงเรียนทั่วไป และสังคมที่ต่างออกไปเช่นกัน

บทความนี้จะพาไปดูว่าผู้ปกครองควรมีวิธีการเลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูกอย่างไรดี พร้อมแนะนำว่าโรงเรียนนานาชาติดีกว่าโรงเรียนทั่วไปอย่างไร ถ้าพร้อมแล้วก็ไปดูกันเลย

หลักสูตรโรงเรียนนานาชาติที่ได้รับความนิยม

หลักสูตรโรงเรียนนานาชาติที่ได้รับความนิยม

ก่อนที่จะเลือกโรงเรียนให้ลูก มาทำความรู้จักกับโรงเรียนนานาชาติกันก่อนดีกว่า โดยโรงเรียนนานาชาติ คือโรงเรียนที่มีการเรียนการสอนผ่านหลักสูตรต่างประเทศแบบ 100% และมีการปรับรายละเอียดเนื้อหาให้มีความแตกต่างจากโรงเรียนทั่วไป เพื่อตอบรับกับการสอนในแบบหลักสูตรต่างประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผู้ปกครองยุคใหม่จึงให้ความสนใจแนวคิดในการเลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูกมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่การเลือกโรงเรียนระดับชั้นอนุบาล ประถม รวมไปถึงมัธยม 

โดยหลักสูตรโรงเรียนนานาชาติที่เปิดสอนในประเทศไทย มีด้วยกัน 3 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรอเมริกา หลักสูตรอังกฤษ และหลักสูตร International Baccalaureate (IB) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

หลักสูตรอเมริกา

โรงเรียนนานาชาติ หลักสูตรอเมริกา คือหลักสูตรที่ยึดการสอนและบทเรียนตามกระทรวงศึกษาธิการของอเมริกา โดยมีหลักการสำคัญที่สุด คือการนึกถึงความต้องการของผู้เรียนเป็นหลัก และจะเน้นสร้างความรู้ผ่านกิจกรรมต่างๆ มากกว่าการนั่งเรียนตามตำรา โดยแบ่งระดับชั้นเป็น Kindergarden 1-3 ต่อด้วย Grade 1-12 ตามลำดับ เหมาะสำหรับผู้ปกครองที่ต้องการเลือกโรงเรียนที่เน้นกิจกรรมควบคู่กับการสอนให้ลูก

หลักสูตรอังกฤษ

โรงเรียนนานาชาติ หลักสูตรอังกฤษ คือหลักสูตรที่ยึดการสอนและบทเรียนตามกระทรวงศึกษาธิการของประเทศอังกฤษ หลักสูตรนี้จะเน้นไปที่การเรียนตามตำรามากกว่าการทำกิจกรรม รวมถึงเน้นการใช้ภาษาที่ถูกต้องมากกว่าหลักสูตรอเมริกาด้วย โดยแบ่งระดับชั้นเป็น Year 1 (เรียนอนุบาลเพียงหนึ่งปี) และ Year 2-13 ตามลำดับ เหมาะสำหรับผู้ปกครองที่ต้องการเลือกโรงเรียนที่เน้นการเรียนการสอนในตำรา รวมถึงเน้นการใช้ภาษาที่ถูกหลักให้ลูก

หลักสูตร International Baccalaureate (IB)

โรงเรียนนานาชาติ หลักสูตร International Baccalaureate (IB) คือหลักสูตรที่เน้นความเป็นสากล มีหลักการสอนที่มุ่งเน้นการเรียนรู้ตามช่วงวัยของตัวเด็กเอง แบ่งหลักสูตรเป็น Early Years และ Middle Years และต่อด้วย IB Diploma เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับเด็กก่อนเข้าสู่มหาวิทยาลัย โดยจะมีการสอน 6 วิชาหลักเหมือนกับหลักสูตรโรงเรียนทั่วไป และยังมีการเขียน Essay รวมทั้งเน้นกิจกรรมช่วยเหลือสังคมเพิ่มเติมอีกด้วย เหมาะสำหรับผู้ปกครองที่ต้องการเลือกโรงเรียนที่เน้นการเรียนการสอนแบบไทยในหลักสูตรสากล พร้อมทักเพิ่มพูนทักษะการเขียน และการเข้าสังคมให้ลูก

9 วิธีการเลือกโรงเรียนนานาชาติให้เหมาะสมกับลูก

9 วิธีการเลือกโรงเรียนนานาชาติให้เหมาะสมกับลูก

เมื่อได้ทำความรู้จักกับทั้ง 3 หลักสูตรหลักของโรงเรียนนานาชาติกันไปแล้ว ผู้ปกครองหลายท่านคงพอตัดสินใจได้บ้างว่าอยากส่งลูกไปเรียนโรงเรียนที่มีหลักสูตรแบบใด แต่ก่อนอื่น มาดู 9 วิธีการเลือกโรงเรียนนานาชาติให้เหมาะกับลูก เพื่อเป็นการประกอบการตัดสินใจ เพิ่มเหตุผลที่เลือกโรงเรียนให้ลูกที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้น

1. ความสนใจของลูก

หลักการเลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูก ประการแรกคือการสังเกตความสนใจของตัวลูกๆ ก่อนว่ามีความสนใจในด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษหรือไม่ หรือมีจุดเด่นด้านการเรียนรู้แบบใด เพราะเด็กบางคนชอบที่จะเรียนรู้ผ่านกิจกรรม บางคนชอบที่จะเรียนรู้ผ่านตำรา หรือบางคนทำได้ดีทั้งสองแบบ จากนั้นค่อยเลือกโรงเรียนนานาชาติที่มีหลักสูตรที่คิดว่าเด็กถนัดมากที่สุด เพื่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสม สร้างความสนใจในการเรียนรู้ให้กับตัวเด็กมากที่สุดนั่นเอง

2. หลักสูตร

อีกหนึ่งเหตุผลที่ใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูกคือหลักสูตรการเรียนการสอน ที่นอกจากจะดูว่าเข้ากับตัวเด็กได้แล้ว ก็ควรดูว่ามหาวิทยาลัยหลากหลายแห่งยอมรับหลักสูตรเหล่านั้นหรือไม่ เพื่อเป็นการปูทางสู่การเข้ามหาวิทยาลัยของตัวลูกๆ นั่นเอง เช่น การเลือกหลักสูตรการสอนแบบมอนเตสซอรี่ (Montessori)  ที่มหาวิทยาลัยทั้งหลายทั่วโลกต่างยอมรับ เป็นการสอนที่เน้นการเรียนรู้ผ่านความสนใจเฉพาะตัวของเด็กเอง ช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ เสริมสร้างความรู้ ควบคู่กับการปลูกฝังความรับผิดชอบให้กับเด็กได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

3. มาตรฐานสถานศึกษา

ควรพิจารณาเลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูกที่มีมาตรฐานสถานศึกษาที่เหมาะสมรอบด้าน ตั้งแต่บุคลากรในโรงเรียนอย่างครูผู้สอน ครูผู้ช่วย ไปจนถึงภารโรง รปภ. และแม่บ้าน โดยมาตรฐานสถานศึกษาสามารถดูได้จากวัน Open House และคำรีวิวต่างๆ ทั้งในเพจของโรงเรียน รวมถึงคำบอกเล่าปากต่อปากจากกลุ่มผู้ปกครองด้วย

4. ครูผู้สอน

ไม่ใช่เพียงหลักสูตรการสอนที่นำมาประกอบการพิจารณาเลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูกเท่านั้น คุณภาพและความสามารถของครูผู้สอนเองก็มีส่วนสำคัญในการประกอบการพิจารณาเช่นเดียวกัน ควรดูว่าครูผู้สอนเป็นเจ้าของภาษามาสอนเองหรือไม่ เพื่อให้เด็กได้ฝึกการใช้ภาษาได้อย่างถูกต้อง และอย่างลืมตรวจสอบด้วยว่าคุณครูเหล่านั้นมีใบประกอบวิชาชีพครูจริงไหม เพราะไม่ใช่ว่าเจ้าของภาษาทุกคนจะเหมาะกับการสอนภาษา และนอกจากภาษาแล้ว ต้องดูด้วยว่าคุณครูเหล่านั้นมีความรู้เฉพาะทางด้านวิชาที่จะสอนหรือไม่ เพื่อมั่นใจได้ว่าลูกๆ จะได้ความรู้ที่แท้จริงกลับมา พร้อมที่จะเรียนต่อในระดับชั้นต่อๆ ไปในอนาคตได้

5. สภาพแวดล้อม

การมองหาโรงเรียนนานาชาติที่มีความปลอดภัย ความรัดกุม มีเจ้าหน้าที่ประจำบริเวณเข้าออกในจุดต่างๆ สิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงอุปกรณ์ประกอบการเรียนการสอนที่ครบครัน มีพื้นที่ให้เด็กได้เล่นตามวัย เพราะโรงเรียนไม่ใช่สถานที่ที่จะเข้าไปเรียนเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการเข้าไปใช้ชีวิตที่นั่นด้วย เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งส่วนของชีวิตเด็กๆ เลยก็ว่าได้ ดังนั้น จึงควรเลือกสภาพแวดล้อมของโรงเรียนที่ดีที่สุด

6. ค่าเทอม

หากวางแผนเลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูกได้เรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล ประถม มัธยม อีกหนึ่งข้อที่ควรคำนึงคือค่าเทอม ควรเลือกโรงเรียนที่มีค่าเทอมเหมาะสม ผู้ปกครองสามารถจ่ายไหว และจ่ายได้ในทุกปี ระวังไม่ให้การเงินสะดุดจนต้องให้ลูกออกมาเรียนโรงเรียนธรรมดากลางคันเด็ดขาด เพราะตัวเด็กจะปรับตัวได้ยาก ทั้งการเรียนการสอน หลักสูตร สังคม ภาษา สภาพแวดล้อมที่ต่างไปจากเดิม อาจจะทำให้ผลการเรียนของเด็กตก และไม่อยากไปโรงเรียนเลยก็ได้

7. ตำแหน่งที่ตั้ง

ควรเลือกโรงเรียนนานาชาติใกล้บ้านให้ลูก ไม่ควรเลือกโรงเรียนที่อยู่ห่างจากบ้านมากเกินไปจนต้องเดินทาง 1-2 ชั่วโมงเพื่อไปโรงเรียนในทุกๆ วัน เพราะวัยเด็กนอกจากการเรียนจะสำคัญแล้ว สุขภาพก็สำคัญไม่แพ้กัน ควรมีเวลาให้ลูกได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ และคลายเครียดทั้งก่อน-หลังไปโรงเรียนอย่างเหมาะสม

8. สิ่งอำนวยความสะดวก

เลือกโรงเรียนนานาชาติที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันให้ลูก มีห้องเรียนที่เหมาะสมกับแต่ละวิชาต่างๆ เช่น วิชาคอมพิวเตอร์ก็ควรมีห้องคอมโดยเฉพาะ และมียิมสำหรับการเล่นกีฬาเพื่อพัฒนาสมรรถนะร่างกายให้โตตามวัน รวมถึงโรงอาหารที่สะอาด ห้องสมุดที่ไม่ปล่อยทิ้งร้าง มีการนำหนังสือใหม่ๆ เข้ามาให้เด็กๆ ได้อ่านอยู่ตลอด และที่สำคัญคือต้องมีห้องพยาบาลสำหรับกรณีฉุกเฉินไว้ด้วย เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้จะเป็นตัวชี้วัดว่าการใช้ชีวิต และการเรียนรู้ในโรงเรียนจะราบรื่นไปได้ด้วยดี

9. กิจกรรมนอกหลักสูตร

นอกจากการเรียนรู้ในห้องเรียนแล้ว  การเรียนรู้นอกห้องเรียนเองก็สำคัญไม่แพ้กัน กิจกรรมนอกหลักสูตรจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับการเลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูก หลักสูตรควรมีกิจกรรมนอกห้องเรียนอยู่เป็นประจำ เพื่อส่งเสริมทักษะการสื่อสาร ทักษะการเข้าสังคม และทักษะอื่นๆ ที่การเรียนในตำราไม่สามารถให้ได้

ข้อดีของการเรียนโรงเรียนนานาชาติ

ข้อดีของการเรียนโรงเรียนนานาชาติ

เลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูกดีอย่างไร? ทำไมผู้ปกครองยุคใหม่ต้องมองหาโรงเรียนนานาชาติเป็นอันดับต้นๆ ให้กับลูก มาดูข้อดีของการเรียนโรงเรียนนานาชาติ ที่หาไม่ได้จากโรงเรียนทั่วไป ดังนี้

ได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่าง

โรงเรียนนานาชาติไม่ได้มีแค่นักเรียนคนไทยที่อยากเรียนภาษากับชาวต่างชาติในหลักสูตรต่างชาติเท่านั้น แต่ยังมีเด็กๆ ชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยในประเทศไทยด้วยเช่นกัน การเลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูกได้เข้าไปเรียนจึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะให้ลูกได้เปิดโลก และเรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่าง รวมถึงการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น ปลูกฝังและพัฒนาทักษะการเข้าสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มีสังคมที่กว้างขวางขึ้น

เปิดสังคมของลูกๆ ให้กว้างมากยิ่งขึ้นได้โดยการเลือกโรงเรียนนานาชาติ เพราะเป็นจุดศูนย์รวมเด็กจากสังคมที่หลากหลาย การได้ใช้ชีวิตไปด้วยกัน โตไปด้วยกัน เรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกัน เป็นการช่วยปลูกฝังทัศนคติและการมองโลกที่กว้างมากยิ่งขึ้น ทำให้ลูกๆ โตมาเป็นผู้ใหญ่ที่อยู่กับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม

ได้เรียนรู้ภาษาอย่างมีประสิทธิภาพ

การเรียนรู้ภาษาที่มีประสิทธิภาพที่สุด คือการนำเอาภาษาเหล่านั้นมาใช้ในชีวิตประจำวัน และโรงเรียนนานาชาติก็เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้นำภาษาอังกฤษมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ ทั้งในการใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียน และการใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอนนั่นเอง

กล้าแสดงออก มีความคิดสร้างสรรค์

โรงเรียนนานาชาติมีเทคนิคการสอนเฉพาะที่ดึงศักยภาพของตัวเด็กออกมาได้อย่างเต็มที่ในทุกด้าน ทั้งฟัง พูด อ่าน และเขียน ผ่านการจำลองสถานการณ์ต่างๆ มากมาย รวมถึงการเรียนรู้ร่วมกับเพื่อนๆ ที่มีความหลากหลายทั้งในด้านภาษาและวัฒนธรรม ทำให้เด็กกล้าคิดกล้าทำ ไม่ตัดสินคนอื่นได้เป็นอย่างดี

หลักสูตรได้รับการยอมรับทั่วโลก

อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าโรงเรียนนานาชาติมีหลักสูตรที่หลากหลาย และทั้ง 3 หลักสูตรนั้นเป็นหลักสูตรสากล ได้รับการยอมรับทั่วโลก เปิดโอกาสในการเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย และการทำงานในบริษัทต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศได้

สรุป

หลักสูตรการสอนของโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยที่เป็นที่นิยม มีด้วยกันหลักๆ มี 3 สูตร ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรอเมริกา หลักสูตรอังกฤษ และหลักสูตร International Baccalaureate (IB) โดยทั้ง 3 หลักสูตรก็จะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป โดยการเลือกส่งลูกให้เข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติเป็นการเปิดโลกให้ลูกได้เป็นอย่างดี ทั้งในแง่ของหลักสูตรที่เป็นสากล การเรียนรู้ทางภาษาอย่างมีประสิทธิภาพ การเรียนรู้วัฒนธรรมต่างๆ ที่หลากหลาย เรียนรู้ที่จะอยู่กับสังคมที่กว้างใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ปกครองควรเลือกโรงเรียนนานาชาติให้ลูกผ่านข้อพิจารณาต่างๆ ที่ได้ให้ไปในบทความนี้นอกจากนี้ เตรียมความพร้อมให้ลูก ก่อนเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติ ด้วย Speak Up Language Center ที่นี่มีการสอนภาษาอังกฤษและภาษาจีนที่เหมาะกับเด็กเล็ก 2.5 – 12 ปี พร้อมด้วยการสอนแบบมอนเตสซอรี่ (Montessori) ตามแบบฉบับของหลักสูตรการสอนในโรงเรียนนานาชาติ