ปัจจุบันภาษาและการสื่อสารเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ในสังคมโลก การส่งเสริมให้ลูกได้เรียน Phonics เพื่อพัฒนาทักษะด้านการออกเสียงผ่านการถอดรหัสเสียง จะช่วยเสริมสร้างให้การออกเสียงเพื่อการสื่อสารมีความคล่องแคล่ว มั่นใจ และสามารถพูดคุยได้เหมือนกับเจ้าของภาษามากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยเสริมทักษะฟัง พูด อ่าน และเขียนได้เช่นกัน เรามาทำความรู้จักกันว่าการเรียน Phonics คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร มีรูปแบบและวิธีการเรียนการสอนแบบไหน พร้อมกับวิธีการเลือกสถาบันที่เหมาะกับลูกของเราในบทความนี้

การเรียน Phonics คืออะไร
การเรียน Phonics คือการเรียนรู้การเขียน หรือการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษจากการผสมเสียงของพยัญชนะ โดยผู้เรียนจะตัองทำความเข้าใจเสียงของแต่ละตัวอักษรก่อนที่จะนำมาผสมผสานเพื่ออ่านออกเสียง โดยการเรียน Phonics จะไม่ใช้การออกเสียงผสมคำแบบสมัยก่อนที่จะออกเสียงเรียกตามชื่อตัวอักษร แต่จะออกเสียงตามลักษณะเสียงที่เปล่งออกมา เช่น Cat ออกเสียงสะกดคือ C (เคอะ เป็นเสียงจากลำคอ) A (แอะ) T (เทอะ) เมื่อนำการออกเสียงของทั้งสามพยางค์นี้มารวมกัน ก็จะได้เป็นคำว่า Cat ตามการออกเสียงที่ถูกต้อง
ความสำคัญของการสอน Phonics
การเรียน Phonics เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ต่อการเรียนภาษาอังกฤษ ถึงแม้ว่าการเรียนการสอนอาจดูเหมือนว่าจะใช้เวลานานกว่าการเรียนในรูปแบบเดิมๆ แต่สิ่งที่เด็กๆ จะได้คือการอ่าน การเขียน และการออกเสียงคำที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากกว่าการเรียนแบบเดิมๆ เพราะการเรียน Phonics จะช่วยทำให้เด็กๆ เข้าใจถึงเสียงที่แท้จริงของตัวอักษร จนนำไปสู่การที่พวกเขาสามารถผสมคำเพื่ออ่านและเขียนได้เองในอนาคต

ประโยชน์ของการเรียน Phonics
Phonics เป็นการเรียนที่มีประโยชน์ต่อการเรียนภาษาในปัจจุบันมากมาย ไปดูกันว่าประโยชน์ของการเรียน Phonics นั้นมีอะไรบ้าง
1. จดจำตัวอักษรและเสียงได้เร็วขึ้น
การให้เด็กๆ ได้เริ่มเรียนภาษาจาก Phonics จะช่วยทำให้พวกเขาสามารถรับรู้ จดจำ แยกแยะ ตัวอักษรต่างๆ ได้ดี จนนำไปสู่ความสามารถในการฟัง เขียน ออกเสียง ตามมา ซึ่งจะช่วยทำให้ทั้งทักษะภาษาถูกพัฒนาไปสู่ความถูกต้อง แม่นยำ และคล่องแคล่วมากยิ่งขึ้น
2. ช่วยพัฒนาทักษะด้านการอ่าน
เนื่องจากการเรียน Phonics จะช่วยส่งเสริมให้สามารถจดจำตัวอักษรและเสียงได้เร็ว จึงทำให้ความสามารถในการอ่านได้รับการพัฒนาตามมา เนื่องจากเด็กๆ จะสามารถผสมคำจากตัวอักษรที่เห็นได้ไวขึ้น จนทำให้สามารถอ่านหนังวือได้อย่างคล่องแคล่วตามไปด้วยเช่นกัน
3. ช่วยให้ออกเสียงคำยากๆ ได้ดี
การเริ่มจดจำเสียงที่ถูกต้องของตัวอักษร จะช่วยทำให้อ่านออกเสียงคำต่างๆ ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น แม้คำศัพท์จะเป็นคำที่ยากและไม่คุ้นเคย แต่ด้วยการที่เริ่มต้นฝึกผสมเสียงจากการเรียน Phonics จะทำให้สามารถผสมคำและนำไปสู่การอ่านและการออกเสียงที่ถูกต้องได้
4. ช่วยพัฒนาทักษะด้านการสะกดคำ
แน่นอนว่าหากรู้ว่าตัวอักษรแต่ละตัวมีเสียงอย่างไร ก็จะทำให้การเขียนและการสะกดคำเป็นเรื่องง่ายมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเด็กๆ จะสามารถเข้าใจในเสียงและกฎของภาษาอังกฤษ จนสามารถแยกเสียงของคำแต่ละคำออกมาได้ดี เมื่อถึงคราวที่ต้องนำไปเขียนและสะกดคำ ก็จะทำให้สามารถเลือกตัวอักษรตามเสียงแต่ละเสียงมาสะกดคำได้อย่างถูกต้อง
5. พัฒนาคลังศัพท์และการเรียนรู้ภาษา
ทักษะการอ่านที่คล่องแคล่วจากการเรียน Phonics จะช่วยเสริมทักษะการอ่านได้เป็นอย่างดี ทำให้เด็กๆ สามารถจดจำคำศัพท์ได้มากขึ้น และสามารถอ่านคำศัพท์จากสิ่งต่างๆ รอบตัวได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยให้สามารถอ่านและทำความเข้าใจเนื้อหาโดยรวมของสิ่งที่อ่านได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
6. ช่วยให้เรียนรู้โครงสร้างพยางค์ของคำ
การเรียน Phonics จะช่วยให้การทำความเข้าใจพยางค์ของแต่ละคำเป็นเรื่องที่ง่ายมากยิ่งขึ้น จะช่วยทำให้รู้ว่าพยัญชนะแต่ละตัว เมื่อนำไปประกอบกับสระแล้วจะได้เสียงแบบใดบ้าง หรือการวางพยัญชนะและสระสามารถวางแบบใดได้บ้างในการสะกดคำ
7. ช่วยฝึกความอดทนและฝึกสมาธิ
การฝึกอ่านบ่อยๆ จะช่วยให้เด็กๆ มีสมาธิจดจ่อกับการอ่านตรงหน้ามากยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อการทำกิจกรรมหรือการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในอนาคตด้วยเช่นกัน
8. ช่วยเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ในหลากหลายวิชา
เมื่อเด็กๆ สามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะการอ่านได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว ก็จะทำให้พวกเขาสามารถหาความรู้จากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ ได้มากยิ่งขึ้น ความรู้รอบตัวที่นอกเหนือจากบทเรียนก็จะได้รับการเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น ส่งผลต่อการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในวิชาต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
9. ช่วยให้เรียนรู้หลักการต่างๆ ในภาษาได้ง่าย
นอกจากการที่จะได้เรียนรู้เรื่องของหน่วยเสียงในภาษาแล้ว ยังจะได้เรียนรู้ถึงหลักเกณฑ์ของภาษาด้วยเช่นกัน เนื่องจากหลักและกฎเกณฑ์ของภาษาที่ได้เรียนรู้นั้น จะช่วยให้รู้ว่าการออกเสียงแบบใดถูกต้องตามหลักการออกเสียงของภาษานั้นๆ

เทคนิคการสอน Phonics อย่างไรให้สนุก
การเรียนรู้พื้นฐานเรื่อง Phonics มีส่วนช่วยในการพัฒนาทักษะภาษาของเด็กๆ ได้ แต่การเรียนรู้ควรมาพร้อมกับความสนุก เพื่อให้การเรียน Phonics ไม่น่าเบื่อจนเกินไป เรามาดูกันว่าเทคนิคการสอน Phonics ควรทำอย่างไรบ้างเพื่อทำให้เด็กๆ สนุกกับการเรียนพร้อมกับการได้พัฒนาทักษะของตนเองได้อย่างเต็มที่
1. การสอนถอดรหัสเสียง
การถอดรหัสเสียง เริ่มต้นจากการเรียนรู้ว่าตัวอักษรแต่ละตัวจะต้องออกเสียงแบบใด โดยผู้เรียนจะต้องฟังและลองออกเสียงตามด้วยตนเอง เพื่อเป็นการฟังฝนทักษะในการฟังและเลียนแบบเสียงที่ถูกต้อง โดยเมื่อฝึกฝนได้แล้วผู้เรียนจะสามารถบอกได้ว่าตัวอักษรใดแทนการออกเสียงแบบใด ซึ่งเทคนิคนี้เรียกว่า Decode หรือ การถอดรหัสเสียง
2. การสอนประสมเสียง
เมื่อเรียนรู้ว่าตัวอักษรแต่ละตัวออกเสียงอย่างไรแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการนำเสียงที่เรียนรู้มาผสมกันให้เป็นคำ เพื่อให้สามารถอ่านออกเสียงคำศัพท์นั้นๆ ได้
3. การสอนถอดรหัสเสียง CVC, CCVC, และ CVCC
การถอดรหัสเสียงแบบนี้ คือการถอดรหัสเสียงตามการเรียงกันของตัวอักษรที่เรียงตัวเพื่อประสมกันเป็นคำ โดย CVC คือ พยัญชนะ สระ พยัญชนะ หรือ CCVC คือ พยัญชนะ พยัญชนะ สระ พยัญชนะ และ CVCC คือ พยัญชนะ สระ พยัญชนะ พยัญชนะ ซึ่งหากฝึกถอดรหัสเสียงและเรียนรู้การประสมเสียงแล้วการถอดรหัสเพื่ออ่านออกมาเป็นคำจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
4. การสอนทักษะการอ่าน
การสอนทักษะการอ่าน อาจทำได้โดยการนำตัวอักษร 2 ตัวมารวมกันเพื่อก่อให้เกิดเสียงใหม่ หรือการแยกตัวอักษรที่ออกเสียงเหมือนกันออกจากกันด้วยพยัญชนะ หรือการฝึกการออกเสียงอื่นๆ ซึ่งการฝึกแบบนี้จะช่วยทำให้คุ้นเคยกับเสียงของตัวอักษรจนสามารถอ่านได้คล่องมากยิ่งขึ้น
5. การสอนทักษะการสะกดคำ
การสอนทักษะการสะกดคำ เป็นการนำเอาทักษะก่อนหน้านั้นที่ได้ฝึกฝนไปมารวมกัน เพื่อทำให้ผู้เรียนสามารถฝึกเขียนและสะกดคำได้ด้วยตนเอง โดยการเริ่มต้นฝึกสะกดคำ ควรเริ่มต้นจำคำที่มีการอ่านที่ไม่ซับซ้อนมากนัก และค่อยพัฒนาไปเรื่อยๆ จนถึงคำศัพท์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เพื่อทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ไปทีละขั้นตอนซึ่งเป็นเทคนิคการพัฒนาทักษะการเรียนรู้อย่างยั่งยืน

ส่งลูกเรียน Phonics ที่ไหนดี ต้องดูอะไรบ้าง
การสร้างพื้นฐานในการเรียนภาษาเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะทักษะการพูดที่จะฝึกอย่างไรให้ลูกๆ สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีเหมือนกับเจ้าของภาษา แน่นอนว่าการเลือกสถาบันสอนภาษาจึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างยิ่ง ซึ่งสถาบันควรมีลักษณะการสอนที่ช่วยส่งเสริมและพัฒนาทักษะการพูดได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการสอนตั้งแต่ให้เรียนรู้กับเสียงของแต่ละตัวอักษร การฝึกฟังและถอดรหัสเสียง การประสมเสียง ไปจนถึงขั้นที่ผู้เรียนสามารถสร้างคำศัพท์หรือสะกดคำด้วยตนเองได้จากการฟัง โดยหลักพิจารณาที่สำคัญมีดังนี้
1. สถาบันมีการกำหนดแผนการสอนที่ชัดเจน
การเรียนการสอน Phonics ควรมีการกำหนดขอบเขตและระดับของการเรียนที่ชัดเจน โดยมีการวางแผนว่าควรเริ่มต้นอย่างไร ในแต่ละครั้งที่เรียนควรเพิ่มการเรียนรู้หรือฝึกฝนทักษะอะไรต่อไป และวางแผนไปถึงขั้นสุดท้ายของการเรียน ซึ่งในแต่ละช่วงของการเรียนรู้ก็ควรมีเป้าหมายว่าแต่ละครั้งที่ได้เรียนนั้น ผู้เรียนจะได้ทักษะอะไรเพิ่มเติมบ้าง เพื่อที่ผู้เรียนจะสามารถอ่านและสะกดคำได้ด้วยตนเองได้ และเพื่อที่ผู้ปกครองเองจะได้ทราบและมองเห็นถึงการพัฒนาของลูกๆ ได้อย่างชัดเจน
2. เลือกระบบการสอน Phonics ที่เชื่อถือได้
ระบบการสอนแบบ Phonics เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ เพื่อการพัฒนาทักษะทางภาษาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการสอน Phonics ควรเป็นการสอนที่จะต้องทำให้ผู้เรียนสามารถแยกแยะถึงเสียงของตัวอักษรได้อย่างคล่องแคล่ว จนสามารถทำให้ผู้เรียนถอดรหัสเสียง เพื่อให้ท้ายที่สุดสามารถนำมาเขียนหรือพูดได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ การเรียน Phonics ครูผู้สอนควรใส่ใจและมีการพูดคุยกับผู้เรียนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูทักษะและการพัฒนาของผู้เรียน อีกทั้งการสอน Phonics ที่ดีไม่ควรเป็นการสอนแบบท่องจำ แต่ควรทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และเข้าใจได้ด้วยตนเอง ซึ่งระบบการเรียนการสอน Phonics แบบนี้จะก่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด
3. เลือกโปรแกรมการสอน Phonics ที่มีความต่อเนื่อง
การสอน Phonics นั้นเป็นสิ่งที่จะต้องใช้เวลาในการอธิบาย ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาในการค่อยๆ ฝึกฝนทีละขั้นทีละตอนตามลำดับ โดยการสอน Phonics จึงควรทำให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนทักษะใหม่ๆ อยู่เสมอ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องนำทักษะเก่าที่ได้เรียนมาฝึกฝนร่วมกันด้วย เพื่อก่อให้เกิดเป็นผลลัพธ์ตามวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ ซึ่งแน่นอนว่าการจะทำให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองตามวัตถุประสงค์ของการเรียน Phonicsการฝึกฝนและความสม่ำเสมอจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง
4. โปรแกรมการสอน Phonics ต้องมีความยืดหยุ่น
ความยืดหยุ่นของผู้สอนเองก็เป็นสิ่งที่ควรมี เนื่องจากผู้เรียนแต่ละคนมีทักษะในการเรียนรู้ และระดับของการพัฒนาที่แตกต่างกัน ถึงแม้ว่าระบบแบบแผนการสอน Phonics จะมีการจัดลำดับอย่างชัดเจน แต่ใช่ว่าผู้เรียนทุกคนจะสามารถฝึกฝนและพัฒนาได้ตามแผนที่วางไว้ ดังนั้น ผู้สอนควรใส่ใจในรายละเอียดและสังเกตพัฒนาการของผู้เรียนอยู่เสมอๆ เพื่อทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และมีทักษะที่ดีติดตัวจนสามารถพัฒนาตนเองต่อไปได้ในอนาคต
5. เลือกเรียนกับครู หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถ
การเลือกเรียน Phonics ควรเลือกเรียนกับครู ผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้สอนที่มีทักษะที่ดี ต้องรู้ว่ารายละเอียดและจุดสำคัญของการเรียน Phonics คืออะไร เพื่อที่จะช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ พัฒนา ต่อยอดได้เป็นอย่างดี และมีประสิทธิภาพ
สรุป
การเรียน Phonics อาจกล่าวได้ว่าเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการเรียนภาษาอังกฤษ เพราะช่วยทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และเข้าใจเสียงของแต่ละตัวอักษร เพื่อให้สามารถนำเอามาประสมและสร้างให้เกิดเป็นคำได้ อีกทั้งการเรียน Phonics ยังช่วยทำให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาและต่อยอดไปสู่ทักษะอื่นๆ ทางภาษาได้ ไม่ว่าจะเป็นทักษะการพูด อ่าน หรือเขียน ดังนั้น เราจึงควรเลือกสถาบันที่สามารถดูแลและสร้างพื้นฐานที่ดีและแข็งแรงให้กับลูกๆ ของเราผ่านการเลือกผู้เชี่ยวชาญและสถาบันที่มีคุณภาพ
โดย SpeakUp Language Center เป็นสถาบันที่น่าเชื่อถือ มีระบบและแผนการเรียนที่มีคุณภาพ ที่สอนโดยคุณครูผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถในการสอนเด็กเล็กโดยเฉพาะ อีกทั้งยังมีโปรแกรมการเรียนการสอนมากมายที่จะช่วยส่งเสริมและพัฒนาทักษะภาษาทางด้านอื่นๆ ด้วย เช่น ทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน รับรองได้เลยว่าหากส่งลูกๆ มาเรียนที่นี่จะได้พื้นฐานที่แน่น และทักษะทางด้านภาษาติดตัวไปใช้ในอนาคตได้แน่นอน