ในโลกที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอน ทักษะ Resilience จึงกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อพัฒนาการของเด็กมากยิ่งขึ้น เพราะ Resilience Skills คือทักษะความยืดหยุ่นทางจิตใจ ซึ่งเป็นความสามารถในการปรับตัวและฟื้นตัวจากความยากลำบาก ความเครียด หรือการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด
บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจว่า ทำไมการมี Resilience Skills จึงจำเป็นต่อเด็ก ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดทักษะนี้มีอะไรบ้าง และจะสามารถสร้างทักษะนี้ให้กับเด็กอย่างไร

ความจำเป็นของ Resilience Skills ที่มีต่อเด็กเล็ก
Resilience Skills คือ ความยืดหยุ่นทางจิตใจเป็นทักษะที่ช่วยให้เด็กสามารถรับมือกับความเครียด ความทุกข์ยาก และการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะนี้ช่วยเสริมสร้างความสามารถในการควบคุมอารมณ์ สร้างมิตรภาพ และแก้ปัญหาได้อย่างมีสติ ซึ่งเด็กที่มีความยืดหยุ่นจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพจิตดีและพร้อมเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ในชีวิต

3 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเสริม Resilience Skills
การส่งเสริมให้เด็กมี Resilience Skills รวมถึงแนวทางในการพัฒนาให้เด็กมีความยืดหยุ่น และแข็งแกร่งทางจิตใจ นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญต่างๆ ดังนี้
1. คนในครอบครัว
พื้นฐานของการดูแลเด็กส่วนใหญ่มักมาจากครอบครัว จึงเป็นปัจจัยสำคัญแรกที่มีอิทธิพลต่อการสร้าง Resilience Skills เพราะการสร้างความสัมพันธ์ที่อบอุ่น และเต็มไปด้วยความรัก จะช่วยให้เด็กมีพื้นฐานที่มั่นคงและรู้สึกปลอดภัย โดยพ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ในการแสดงให้เห็นถึงวิธีการรับมือกับความเครียดอย่างมีสติ
นอกจากนี้ เมื่อเด็กๆ มีปัญหา ผู้ใหญ่ควรเป็นผู้ที่ส่งเสริมการแก้ปัญหาและช่วยสร้าง Resilience Attitude โดยการให้โอกาสกับเด็กได้แก้ไขปัญหาและเรียนรู้จากประสบการณ์จริงด้วยตนเองก่อน แทนที่จะรีบเข้ามาแก้ไขปัญหาให้ทุกครั้ง
2. นิสัยส่วนตัวของเด็ก
เด็กแต่ละคนจะมีลักษณะนิสัยที่บ่มเพาะให้เกิดความเป็นตัวเองที่ไม่เหมือนกัน แต่นิสัยบางอย่างก็สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม และปรับตัวได้เมื่อพบกับสถานการณ์ที่ต่างกันไป สิ่งนี้จึงช่วยเสริมทักษะ Resilience ได้อย่างดี ซึ่งเด็กที่สามารถควบคุมและจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้ จะสามารถฟื้นตัวจากความผิดหวังได้เร็วกว่า เพราะเด็กที่มีนิสัยดังกล่าว จะเรียนรู้ความอดทนได้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความลำบาก และสามารถจัดการกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ดี รวมถึงเด็กที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองก็จะไม่กลัวที่จะต้องเจอกับความท้าทายที่เข้ามาในชีวิต
3. สิ่งแวดล้อมรอบตัว
เมื่อเด็กต้องออกไปพบเจอกับโลกภายนอก ไม่ว่าจะเป็นสังคมที่โรงเรียนหรือบุคคลอื่น สิ่งแวดล้อมรอบตัวจึงเป็นอีกส่วนที่ส่งผลต่อ Resilience Attitude ของเด็กๆ อย่างการมีความสัมพันธ์ที่ดีในสังคมทั้งจากเพื่อนหรือคนรอบข้าง จะยิ่งช่วยให้เด็กมีกำลังใจ และแรงสนับสนุน กล้าที่จะทำร่วมกิจกรรมต่างๆ ทำให้เด็กเรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่นและพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาได้ โดยเฉพาะโรงเรียนที่สนับสนุนการให้โอกาสเด็กในการแก้ปัญหาด้วยตนเอง จะช่วยส่งเสริม Resilience Skills ได้ดียิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากเด็กทำผิดพลาดแต่มีครูที่ให้การสนับสนุน และชื่นชมความพยายามของเด็ก ก็จะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นใจให้เด็กสามารถปรับตัวจากสิ่งที่เคยทำผิดพลาดได้

9 วิธีการส่งเสริมให้เด็กมี Resilience Skills
แนวทางต่างๆ ที่ช่วยส่งเสริม Resilience Skills เพื่อให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ และสามารถเผชิญกับความท้าทายได้อย่างมั่นคง มีดังนี้
1. สอนให้ควบคุมอารมณ์
การที่เด็กสามารถจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้ จะช่วยให้สามารถเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก และฟื้นตัวจากความล้มเหลวได้อย่างรวดเร็ว โดยพ่อแม่ผู้ปกครองควรพูดคุยกับเด็กเกี่ยวกับอารมณ์และความรู้สึก หากเด็กมีอารมณ์โกรธ หรือเครียดก็สามารถสอนการจัดการอารมณ์ให้เด็กได้ฝึกการตั้งสติ หายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ด้วยตัวเองได้
2. สังเกตพฤติกรรมของคนใกล้ตัว
เราสามารถฝึกให้เด็กสังเกตผู้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ตัว ทั้งการพูดคุย พฤติกรรมต่างๆ เพราะการเห็นคนใกล้ตัวที่สามารถแสดงออกถึงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาและมีวิธีการจัดการกับความรู้สึกเหล่านั้นเป็นอย่างดี จะยิ่งช่วยให้เด็กเรียนรู้วิธีการจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้
3. ให้เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง
การเรียนรู้จากประสบการณ์จริงจะช่วยให้เด็กสามารถสะท้อนความคิด และอารมณ์ของตนเองได้ดีขึ้น เช่น เมื่อต้องเผชิญกับความท้าทาย หรือความล้มเหลว การคิดย้อนไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและวิเคราะห์สิ่งที่ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นั้นๆ จะช่วยเสริมสร้างทักษะ Resilience ไว้จัดการกับสถานการณ์คล้ายกันในอนาคต โดยการตั้งเป้าหมายที่มีความสมเหตุสมผล และวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อสร้างความมั่นใจ และสามารถจัดการกับความท้าทายอื่นๆ ได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ ประสบการณ์จริงยังช่วยพัฒนาทักษะในการแก้ปัญหา และการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะทำให้ได้พบเจอกับปัญหาจริง และสามารถหาวิธีที่เหมาะสมในการจัดการกับปัญหานั้นๆ
4. พาเด็กทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อค้นหาตัวเอง
การพาเด็กทำกิจกรรมต่างๆ หรือให้โอกาสกับเด็กได้ลองทำกิจกรรมที่หลากหลาย ช่วยให้เด็กเข้าใจสิ่งที่ชอบ และความถนัด ถือเป็นการส่งเสริม Resilience Skills ที่ดี อย่างการแข่งขันกีฬาอาจช่วยให้เด็กเรียนรู้การควบคุมความกดดัน และความผิดหวังจากความแพ้ หรือการเรียนเล่นดนตรีจะช่วยให้เด็กเรียนรู้ถึงความสำคัญของความอดทน และความพยายามจนกว่าจะสามารถเล่นดนตรีได้ หากเป็นกิจกรรมแบบกลุ่มก็จะช่วยให้เรียนรู้ทักษะการทำงานร่วมกัน
นอกจากนี้ การให้เด็กได้มีโอกาสเข้าร่วมในกิจกรรมที่หลากหลายและท้าทาย จะช่วยเพิ่มความสามารถในการรับมือกับความท้าทาย เสริมสร้างความมั่นใจในตัวเอง รวมถึงยังได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะในการฟื้นตัวผ่านประสบการณ์จริง
5. สอนให้ผูกมิตร และมีความเห็นอกเห็นใจคนรอบข้าง
การส่งเสริม Resilience Skills โดยการสอนเด็กให้เรียนรู้วิธีการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ เริ่มจากให้เด็กพูดคุยและฟังผู้อื่นอย่างตั้งใจ จะช่วยให้เด็กสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างได้ หรือการพูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกและการตั้งคำถามว่า “ถ้าเราเป็นเขาจะรู้สึกอย่างไร” การเรียนรู้ที่จะมองโลกจากมุมมองของผู้อื่นจะช่วยเสริมสร้างความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น
รวมถึงการสอนให้เด็กอยู่เคียงข้างเพื่อนหรือคนในครอบครัวในช่วงเวลาที่ยากลำบาก โดยให้เด็กช่วยสนับสนุนและให้กำลังใจเมื่อต้องการความช่วยเหลือ ในทางกลับกัน หากเด็กๆ ต้องการกำลังใจจากใครสักคน การมีความสัมพันธ์ที่ดีจะทำให้มีคนคอยรับฟังเช่นกัน
6. สอนให้เด็กมีการวางแผนในกิจวัตรประจำวัน
การสอนให้เด็กมีการวางแผนในกิจวัตรประจำวัน คือ การสอนให้เด็กเรียนรู้ที่จะมองไปข้างหน้า ซึ่งเป็นส่วนช่วยในการเสริมสร้างทักษะ Resilience ได้ เป็นการสอนให้เด็กเรียนรู้การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและสามารถทำได้จริง เช่น การกำหนดเป้าหมายเป็นประจำวันหรือสัปดาห์ การทำให้เด็กเข้าใจเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้มีความมุ่งมั่น และรู้ว่าต้องทำอะไรในแต่ละวัน รวมถึงการสอนให้รู้จักการจัดระเบียบเวลา เช่น การทำตารางกิจกรรมประจำวัน หรือการใช้ปฏิทินเพื่อวางแผนกิจกรรม การเรียนรู้ที่จะจัดสรรเวลาอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้เด็กสามารถจัดการกับความเครียดจากงานหรือกิจกรรมต่างๆ ได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ การทบทวนแผนประจำวัน และการปรับเปลี่ยนเมื่อมีสิ่งใหม่เข้ามา เพื่อให้เด็กสามารถเรียนรู้ที่จะปรับตัวตามสถานการณ์และช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นได้
7. ผลักดันให้เด็กกล้าแสดงออก และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
สิ่งที่จะช่วยเพิ่ม Resilience Skills ให้เด็กได้ คือ การให้เด็กกล้าแสดงออก และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ โดยการให้โอกาสเด็กในการแสดงความคิดเห็นและแบ่งปันความคิดของตนเองในสถานการณ์ต่างๆ เช่น การเลือกเมนูอาหาร การเลือกทำกิจกรรมกับครอบครัวในช่วงวันหยุด การประชุมในกลุ่มกิจกรรม เป็นต้น
ซึ่งการสนับสนุนให้เด็กกล้าแสดงความคิดเห็น จะช่วยเพิ่มความมั่นใจ และเสริมทักษะในการสื่อสาร ทั้งนี้ผู้ใหญ่สามารถสอนให้เด็กมีการตัดสินใจที่ดีได้ด้วยการให้เด็กวิเคราะห์ตัวเลือกที่มีอยู่ พิจารณาผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ และเลือกตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะการสอนให้เด็กมีวิธีการตัดสินใจที่เป็นระบบจะช่วยให้เด็กรู้จักการคิดอย่างมีเหตุผล นอกจากนี้ก็ยังสามารถให้การสนับสนุนและข้อเสนอแนะแบบสร้างสรรค์ เพื่อช่วยให้เด็กเรียนรู้จากประสบการณ์นั้นๆ จะได้สามารถนำไปปรับปรุงใช้ในครั้งหน้า
8. แนะนำการแก้ปัญหาเป็นด้วยตัวเอง
การแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ทำได้โดยสอนให้เด็กเข้าใจปัญหา หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่จะเริ่มหาวิธีแก้ไข เมื่อเข้าใจถึงปัญหาแล้ว ก็ลองแนะนำให้เด็กคิดถึงวิธีในการแก้ไขปัญหา เพื่อหาแนวทางหรือวิธีแก้ไขที่ต่างกัน
9. ส่งเสริมให้เด็กมีความรับผิดชอบ
การส่งเสริมให้เด็กมีความรับผิดชอบ จะทำให้เด็กมี Resilience Skills เพราะความรับผิดชอบ จะช่วยให้เด็กเรียนรู้การจัดการกับผลลัพธ์ของการกระทำของตนเอง และการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ดีขึ้น โดยให้เด็กมีหน้าที่รับผิดชอบที่เหมาะสมกับวัย และความสามารถของตัวเอง เช่น การทำการบ้านตามกำหนด การดูแลสัตว์เลี้ยง การจัดโต๊ะอาหาร เป็นต้น
ซึ่งการมอบหมายหน้าที่เหล่านี้จะช่วยให้เด็กเรียนรู้ความสำคัญของการรับผิดชอบ และการทำงานให้เสร็จสิ้นด้วยตัวเองได้ รวมถึงการสอนให้เด็กเข้าใจว่าการกระทำ มีผลกระทบต่อผู้อื่นและสิ่งรอบตัว เช่น การทำงานบ้าน หรือการช่วยเหลือในกิจกรรมครอบครัวจะทำให้เด็กเห็นถึงความสำคัญของการทำหน้าที่ของตนให้ดี หรือการที่เด็กเห็นผู้ใหญ่ทำหน้าที่ของตนอย่างมีความรับผิดชอบจะช่วยให้เข้าใจและเรียนรู้จากตัวอย่าง
สรุป
Resilience skills คือทักษะที่ช่วยให้สามารถฟื้นตัวจากความเครียด หรืออุปสรรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจำเป็นกับเด็กเพราะช่วยให้สามารถจัดการกับความเครียด และความท้าทายในชีวิตประจำวันได้ดี ซึ่งผู้ใหญ่สามารถสอนเด็กได้หลายวิธี เช่น การควบคุมอารมณ์ การพาเด็กทำกิจกรรมต่างๆ การผลักดันให้เด็กกล้าแสดงออก เป็นต้น
โดยที่ Speak Up เป็นสถาบันสอนภาษาอังกฤษและภาษาจีนที่ประยุกต์ใช้การสอนแบบมอนเตสซอรี่ (Montessori) มีการสอนที่ช่วยส่งเสริมทักษะนี้กับเด็กวัย 2.5 ถึง 12 ปี ช่วยให้มีศักยภาพในการเรียนเต็มที่ สามารถเข้าใจเนื้อหาและนำไปใช้ได้จริง รวมถึงยังทำให้มีพัฒนาการในการเติบโตที่สมวัย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ resilience skills (FAQ)
ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย การมี resilience skills หรือทักษะการฟื้นตัวจากอุปสรรค เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ช่วยให้เด็กๆ เติบโตอย่างเข้มแข็งและปรับตัวได้ดีในทุกสถานการณ์ Speak Up Language Center ได้รวบรวมข้อสงสัยที่พบบ่อยมานำเสนอ
Resilience skills คืออะไร สำคัญต่อเด็กอย่างไร?
Resilience skills คือความสามารถในการรับมือและฟื้นตัวจากความยากลำบาก ความผิดหวัง หรือความล้มเหลว ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้เด็กเติบโตอย่างเข้มแข็งและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค
มีสัญญาณอะไรบ้างที่บ่งบอกว่าเด็กมี resilience skills ที่ดี?
เด็กที่มี resilience skills ที่ดี มักจะสามารถจัดการกับความผิดหวังได้ ไม่ล้มเลิกง่ายเมื่อเจออุปสรรค และเรียนรู้จากความผิดพลาดเพื่อก้าวต่อไปได้
สร้าง resilience skills ให้ลูกได้อย่างไร?
สามารถทำได้โดยการให้ลูกมีโอกาสเผชิญความท้าทายที่เหมาะสม สอนให้รู้จักแก้ปัญหา ให้กำลังใจเมื่อล้มเหลว และเป็นแบบอย่างที่ดีในการรับมือกับความเครียด
การพัฒนา resilience skills มีประโยชน์ต่อเด็กอย่างไร?
ช่วยให้เด็กมีความมุ่งมั่นในการเรียนรู้ ไม่ท้อถอยเมื่อเจอเนื้อหาที่ยาก สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลง และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ๆ ในชีวิต