fbpx

ทำยังไง เมื่อลูกไม่กล้าแสดงออก แก้ก่อนสายทำลูกกลายเป็นคนเงียบ

สารบัญ
ปกบทความ ลูกไม่กล้าแสดงออก

ทำยังไง เมื่อลูกไม่กล้าแสดงออก แก้ก่อนสายทำลูกกลายเป็นคนเงียบ

ในการเลี้ยงดูลูกน้อยให้มีพัฒนาการสมวัย จะช่วยให้ลูกเติบโตเป็นคนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ มีความเฉลียวฉลาด และคิดบวก มองโลกในแง่ดี อย่างไรก็ตาม คุณพ่อและคุณแม่ในอีกหลายๆ ครอบครัวก็อาจจะเกิดความวิตกกังวลใจเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกได้เหมือนกันหากพบว่าลูกเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าแสดงออก ซึ่งอาจทำให้เกิดผลเสียอื่นๆ ตามมาได้ ดังนั้น ในบทความนี้จะมาอธิบายและให้ข้อมูลถึงสาเหตุที่ทำให้ลูกไม่กล้าแสดงออกว่าเพราะอะไร จะมีผลเสียไหม พร้อมเทคนิคที่ช่วยให้ลูกกล้าแสดงออกยิ่งขึ้นมาให้คุณพ่อและคุณแม่ได้ลองทำตามกันดู

สาเหตุที่ทำให้ลูกไม่กล้าแสดงออก

สาเหตุที่ทำให้ลูกไม่กล้าแสดงออก

การที่ลูกไม่กล้าแสดงออกหรือเป็นคนขี้อายเป็นเรื่องที่ปกติอย่างยิ่ง ซึ่งสาเหตุดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย โดยในบทความนี้จะนำเสนอถึง 5 สาเหตุหลักๆ ที่พบได้บ่อย จะมีอะไรบ้างนั้น มาดูสาเหตุที่เด็กไม่กล้าแสดงออกไปพร้อมๆ กันเลย

ลูกขาดความมั่นใจ

การที่ลูกขาดความมั่นใจถือเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ลูกไม่กล้าแสดงออกได้ ซึ่งอาจเกิดจากคุณพ่อหรือคุณแม่ที่ไม่เชื่อมั่นในตัวลูกว่าจะสามารถทำสิ่งนั้นได้ ส่งผลให้ลูกน้อยรู้สึกกดดันและเชื่อว่าตัวเองทำไม่ได้ จนลูกน้อยกลายเป็นคนที่ขาดความมั่นใจ และไม่กล้าแสงออก

ลูกรู้สึกกดดันมากเกินไป

หลายๆ ครั้งที่คุณพ่อและคุณแม่ตั้งความหวังในเรื่องใดเรื่องหนึ่งไว้กับลูกสูงเกินไป อาจทำให้ลูกน้อยรู้สึกกดดัน และมีความวิตกกังวลในการทำสิ่งต่างๆ ได้ เช่น การถูกห้ามทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือการที่ลูกน้อยควรทำตามสิ่งต่างๆ ที่คุณพ่อและคุณแม่เห็นชอบว่าดีโดยไม่ได้ถามความสมัครใจกับตัวเด็กเอง จะส่งผลให้เด็กรู้สึกเครียดและกังวลจนลูกไม่กล้าแสดงออกในสิ่งที่คิด

ลูกขาดทักษะในการเข้าสังคม

การเข้าสังคมนับเป็นอีกหนึ่งทักษะที่สำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น เนื่องด้วยการเข้าสังคมจะทำให้เด็กได้มีการสื่อสาร หรือปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ส่งผลให้เกิดความสามารถอื่นๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร หรือการรับรู้ รวมไปถึงช่วยในการทำความเข้าใจถึงอารมณ์และความรู้สึกของคนอื่นได้ด้วย ดังนั้นแล้ว หากเด็กคนไหนที่ขาดทักษะในการเข้าสังคมไป อาจทำให้เด็กไม่สามารถปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับคนอื่นได้ ขาดความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่างๆ และส่งผลให้ลูกไม่กล้าแสดงออกในท้ายที่สุด

ลูกกลัวความล้มเหลว

เมื่อลูกน้อยทำความผิด แทนที่คุณพ่อและคุณแม่จะสั่งสอนหรืออบรมให้ความรู้ หากแต่ใช้วิธีการดุด่า หรือทำโทษแทน นอกจากจะทำให้เด็กเกิดความกลัว หรือรู้สึกไม่ปลอดภัยแล้ว ก็อาจทำให้ตัวของเด็กเองรู้สึกล้มเหลว และไม่กล้าพูด กล้าคิด หรือกล้าแสดงออกได้

พ่อแม่เป็นห่วงลูกมากเกินไป

เป็นธรรมชาติของคนเป็นพ่อและแม่เมื่อลูกได้รับอันตรายหรือเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น คุณพ่อและคุณแม่ก็จะเข้ามาปกป้องดูแล แต่หากคุณพ่อและคุณแม่ห่วงใยจนกระทั่งมากเกินพอดี เช่น การที่คุณพ่อและคุณแม่เป็นผู้ตัดสินใจแทนเด็กทุกอย่าง หรือการสั่งห้ามไม่ให้ลูกน้อยทำในสิ่งต่างๆ เพราะเชื่อมั่นว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด อาจทำให้เด็กรู้สึกกดดัน ไม่กล้าตัดสินใจ หรือกล้าแสดงออกมานั่นเอง

ผลกระทบเมื่อลูกไม่กล้าแสดงออก

เมื่อลูกไม่กล้าแสดงออกนานๆ จะส่งผลกระทบอะไรต่อการใช้ชีวิตประจำวันบ้าง

หลังจากที่รู้สาเหตุเด็กไม่กล้าแสดงออกกันไปแล้ว ลองมาดูถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นว่าเมื่อลูกไม่กล้าแสดงออกนานไป จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

  • การเข้าสังคม : อย่างที่กล่าวไปในตอนต้นว่าการที่ลูกไม่กล้าแสดงออก ส่วนหนึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการขาดทักษะเข้าสังคม จึงทำให้เมื่อลูกเติบโตและต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่น อาจส่งผลให้ลูกน้อยของคุณพ่อและคุณแม่ไม่สามารถปรับตัวร่วมกับผู้อื่นได้ หรือแม้แต่การสื่อสาร รวมถึงไม่กล้าแสดงออกในสิ่งต่างๆ เมื่ออยู่กับเพื่อน เป็นต้น
  • สุขภาพจิต : การที่ลูกน้อยไม่กล้าแสดงออก เนื่องจากกลัวความผิดพลาด หรือกลัวที่จะไม่ได้รับการยอมรับ อาจทำให้เด็กรู้สึกเครียด กดดัน ขี้ระแวงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะส่งผลเสียอื่นๆ อย่างต่อเนื่องอีกด้วย เช่น ด้านพัฒนาการ หรือการเรียนรู้ รวมถึงพฤติกรรม และการแสดงออกของเด็ก
  • พฤติกรรม : จากการที่ลูกน้อยขี้อาย หรือไม่กล้าแสดงออก อาจส่งผลให้นอกจากสุขภาพจิตเด็กจะเสียแล้ว ยังรวมไปถึงพฤติกรรมการแสดงออกอีกด้วย เช่น เด็กมีปัญหาเรื่องการใช้พฤติกรรมรุนแรง มีอารมณ์ฉุนเฉียว โกรธง่าย เป็นต้น
  • พัฒนาการ : พัฒนาการเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งต่อตัวเด็ก เพราะจะมีผลต่อตัวเด็กเมื่อเติบโตขึ้นตามวัย ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการด้านร่างกาย ด้านสติปัญญา หรือด้านอารมณ์และจิตใจ ดังนั้น หากลูกมีพฤติกรรมไม่กล้าแสดงออก อาจส่งผลให้พัฒนาการดังกล่าวช้ากว่าเด็กคนอื่นได้
เทคนิคที่ช่วยให้ลูกกล้าแสดงออก

รวม 10 เทคนิคที่พ่อแม่สามารถนำไปช่วยลูกให้กล้าแสดงออกมากขึ้น

คุณพ่อและคุณแม่คงจะเข้าใจภาพรวมของสาเหตุและปัญหาลูกไม่กล้าแสดงออกกันมากขึ้นแล้วว่ามีผลเสียอะไรบ้าง ดังนั้น เพื่อที่จะช่วยให้ลูกน้อยกล้าพูด กล้าคิด และกล้าแสดงออกมากขึ้น ในบทความนี้ได้รวบรวม 10 เทคนิคสำคัญที่ช่วยฝึกลูกให้กล้าแสดงออกมากขึ้น ดังต่อไปนี้

1. ให้เวลากับลูก

การได้ใช้เวลากับลูกก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยฝึกลูกให้กล้าแสดงออกได้ เพราะเด็กยังเป็นวัยที่ต้องการความรักและความใส่ใจมากๆ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จะต้องใช้เวลาอยู่กับลูก พูดคุยกับลูกเยอะๆ เพื่อให้ลูกน้อยมีพัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจที่ดี พร้อมที่จะเรียนรู้และรับมือกับสิ่งใหม่ๆ ในต่อจากนี้ได้

2. ลงโทษลูกให้ถูกวิธี

บางครั้งลูกน้อยของคุณอาจทำผิดแต่ไม่รู้ถึงข้อผิดพลาด ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของคนเป็นพ่อและแม่ที่จะต้องอบรมสั่งสอนและให้ความรู้ที่ถูกต้องกับเด็กๆ เหล่านี้ เพื่อที่จะได้เกิดความรู้ความเข้าใจว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด ซึ่งคุณพ่อและคุณแม่สามารถใช้วิธีต่างๆ ในการอบรมสั่งสอนได้ตามความเหมาะสม เช่น การอธิบายให้ลูกเห็นภาพและเข้าใจ หรืออาศัยการตักเตือนให้เด็กเกิดความตระหนักรู้ในสิ่งที่ตนทำ

3. ให้รางวัลลูก

เมื่อลูกน้อยทำผิด คุณพ่อและคุณแม่ก็จะอาศัยวิธีการอบรมสั่งสอน หรือการทำโทษอย่างเหมาะสม ในทางตรงกันข้าม เมื่อลูกทำในสิ่งที่ดี หรือสิ่งที่ถูกต้อง ก็เป็นหน้าที่ของพ่อและแม่เช่นกันที่จะให้รางวัลกับลูก เพื่อที่จะให้ลูกเข้าใจว่าสิ่งนี้ดี และมีความมั่นใจในตัวเอง กล้าคิด กล้าทำ และกล้าแสดงออกในสิ่งนั้นๆ ต่อไป

4. ปล่อยลูกได้ทำในสิ่งที่ชอบ

วัยเด็กเป็นวัยแห่งการฝัน เด็กหลายคนมีความถนัดและความชอบที่แตกต่างกัน หากคุณพ่อและคุณแม่พบว่าลูกมีความชอบในสิ่งไหน ควรให้การสนับสนุนในสิ่งนั้นๆ เพราะนอกจากจะทำให้เด็กมีความสุขเนื่องจากได้ทำในสิ่งที่ชอบแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเสริมพัฒนาการเด็กได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

5. ให้กำลังใจลูก

หลายครั้งที่ลูกไม่กล้าแสดงออก ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่มั่นใจว่าทำสิ่งนั้นถูกต้องหรือไม่ ดังนั้นแล้ว คุณพ่อและคุณแม่จะต้องให้กำลังใจลูก ชื่นชมลูกเพื่อให้เกิดความมั่นใจ และกล้าที่จะแสดงออกในสิ่งนั้นต่อไป

6. พาลูกไปทำกิจกรรมใหม่ๆ

นอกจากจะใช้เวลากับลูกแล้ว การพาลูกไปทำกิจกรรมใหม่ๆ ร่วมกันก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยฝึกลูกให้กล้าแสดงออกได้มากขึ้นอีกด้วย อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างทักษะใหม่ๆ ที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต รวมถึงสร้างความสุขและความทรงจำที่ดีให้กับลูกน้อยอีกด้วย

7. ให้ลูกได้มีเวลาส่วนตัว

การเลี้ยงลูกที่ดี ไม่ใช่แค่การใช้เวลากับลูกเยอะๆ เพียงอย่างเดียว แต่การให้ลูกได้มีเวลาส่วนตัว ยังมีส่วนช่วยให้ลูกน้อยของคุณพ่อและคุณแม่ได้พักผ่อนและมีเวลาเป็นของตัวเอง ส่งผลให้เด็กมีสภาพอารมณ์และจิตใจที่ดี มองโลกในแง่ดี ช่วยส่งเสริมให้กล้าพูด กล้าคิด และกล้าแสดงออกมากขึ้น

8. สอนให้ลูกแนะนำตัว

เมื่อเราต้องพบเจอกับคนใหม่ๆ หรือต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม การแนะนำตัวเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งจะช่วยให้เรากล้าพูดกล้าแสดงออก ทั้งยังเป็นที่รู้จักของผู้อื่น รวมไปถึงเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างตัวลูกน้อยเองกับบุคคลอื่นอีกด้วย

9. สร้างสถานการณ์จำลองให้ลูก

สำหรับลูกที่มีนิสัยขี้อาย ไม่กล้าแสดงออก คุณพ่อและคุณแม่อาจเริ่มจากวิธีการง่ายๆ อย่างการสร้างสถานการณ์จำลองขึ้น เพื่อให้ลูกน้อยได้เรียนรู้และฝึกทักษะที่จำเป็นต่างๆ เช่น ทักษะการสื่อสาร หรือทักษะการแก้ไขปัญหา ซึ่งสถานการณ์จำลองเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในตัวเด็กให้กลายเป็นคนที่กล้าแสดงออกมากขึ้น

10. ให้ลูกได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง

การปล่อยให้ลูกน้อยได้มีโอกาสเรียนรู้ด้วยตัวเองก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ช่วยฝึกลูกให้กล้าแสดงออกได้เช่นกัน เพราะเมื่อเด็กได้ลองใช้ชีวิตและเจอสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริง จะทำให้เด็กเหล่านี้เกิดการเรียนรู้และได้รับประสบการณ์ที่สำคัญของชีวิตจนกลายเป็นคนที่เติบโตอย่างเข้มแข็งและกล้าที่จะแสดงออกมากขึ้น

กิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมให้ลูกกล้าแสดงออก

กิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมให้ลูกกล้าแสดงออก เสริมความมั่นใจ ลดความขี้อาย

นอกเหนือจาก 10 วิธีที่จะช่วยฝึกลูกให้กล้าแสดงออกมากขึ้นแล้ว คุณพ่อและคุณแม่ยังสามารถนำกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมให้ลูกกล้าแสดงออก พร้อมเสริมความมั่นใจ และความขี้อายได้มากขึ้นผ่านกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ได้ เช่น

  • กิจกรรมนำเสนอหรือพรีเซนต์ : เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ลูกน้อยได้กล้าแสดงออกผ่านการนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ซึ่งอาจใช้การแสดงบทบาท หรือการแสดงออกต่างๆ รวมถึงการสื่อสารพูดคุย ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะด้านภาษาอีกด้วย นอกจากนี้ สำหรับคุณพ่อคุณแม่คนไหนที่อยากเพิ่มความมั่นใจ กล้าพูด กล้าแสดงออกให้กับลูกน้อย พร้อมเรียนรู้ภาษาไปในตัว ที่ Speak Up Language Center ยังมีเทคนิคการสอนดีๆ สำหรับเด็กเล็ก 2.5-12 ปี ที่ช่วยให้เด็กสนุกสนานและเข้าใจง่ายอีกด้วย
  • กิจกรรมกีฬา : นอกจากจะได้ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีแล้ว ลูกน้อยยังมีโอกาสเล่นกีฬาเป็นทีมกับคนอื่น และสามารถเรียนรู้การอยู่ร่วมกันตลอดจนทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันกับผู้อื่นได้ด้วย
  • กิจกรรมอะไรเอ่ย : เป็นกิจกรรมแนวคำถามคำตอบที่จะให้ลูกน้อยของคุณเป็นฝ่ายตั้งคำถามหรือบอกคำตอบ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจะช่วยให้เด็กได้ใช้เวลาพูดคุยกับคนอื่นมากขึ้น พร้อมเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญาอีกด้วย
  • กิจกรรมศิลปะ : เปิดโอกาสให้ลูกน้อยได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ด้วยการวาดรูปหรือทำกิจกรรมศิลปะต่างๆ เพื่อให้เด็กได้สนุกสนานและแสดงออกถึงความมั่นใจผ่านภาพวาด
  • กิจกรรมอ่านหนังสือที่ห้องสมุด : สร้างนิสัยรักการอ่านพร้อมฝึกลูกให้เป็นคนที่ฉลาดด้วยการพาลูกไปร้านหนังสือ หรือห้องสมุด เพื่อเลือกอ่านหนังสือที่ชื่นชอบ เพื่อให้กลายเป็นคนที่มีไหวพริบดี กล้าพูด และกล้าแสดงออก

สรุป

การที่ลูกไม่กล้าแสดงออกมีสาเหตุเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความไม่มั่นใจในตัวเอง รู้สึกกดดัน หรือกลัวความล้มเหลว ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการของลูกในหลายๆ ด้าน เช่น พัฒนาการด้านจิตใจ หรืออารมณ์ เป็นต้น ดังนั้น คุณพ่อและคุณแม่จึงต้องให้ความรัก ความใส่ใจ และใช้เวลากับลูกมากขึ้น เพื่อที่จะได้เฝ้ามองและติดตามการเติบโตของลูก โดยคุณพ่อและคุณแม่สามารถนำเทคนิคหรือกิจกรรมต่างๆ ไปใช้ในการฝึกลูกให้กล้าแสดงออกมากขึ้น เพื่อให้ลูกมีพัฒนาการการเติบโตที่ดี เหมาะสมกับวัย