Table of Contents

เคล็ดลับเลี้ยงลูกแบบหมอประเสริฐ ที่พ่อแม่ยุคใหม่ต้องรู้!

เคล็ดลับเลี้ยงลูกแบบหมอประเสริฐ ที่พ่อแม่ยุคใหม่ต้องรู้!

Table of Contents

Key Takeaway

  • หมอประเสริฐเป็นจิตแพทย์และนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเด็ก และการพัฒนาเด็ก ผ่านการเขียนหนังสือและบทความเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงลูก
  • การเข้าใจพัฒนาการเด็ก แบ่งเป็นช่วงวัย 12 เดือนแรก สร้างสัมพันธ์แม่ลูก 2-3 ขวบพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่และฝึกห่างกับพ่อแม่ 4-6 ขวบ พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กและทักษะ EF 7-12 ปี เริ่มเข้าสังคมและแข่งขันกับเพื่อนๆ  และ12-18 ปี ค้นหาตัวตน
  • เทคนิคเลี้ยงลูกตามหมอประเสริฐมีดังนี้ การฝึกทักษะ EF การสร้างความไว้ใจกับลูกตั้งแต่ในช่วงปีแรก สร้างพื้นฐานภาษา และสร้างวินัยให้ลูก
  • การฝึก EF แบบหมอประเสริฐเริ่มขั้นแรกที่ “แม่” ขั้นที่ 2 คือ “พัฒนาสายสัมพันธ์ให้มั่นคง” ขั้นที่ 3 คือการสร้างตัวตน ขั้นที่ 4 เป็นการสร้าง Self-esteem ขั้นที่ 5 คือการควบคุมตนเอง และขั้นที่ 6 คือการพัฒนาทักษะ EF

ในปัจจุบันนี้ การมีลูกหรือวางแผนจะมีลูกนับเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง เพราะไม่ใช่แค่มีลูกแล้วจะเลี้ยงดูอย่างไรก็ได้ เด็กแต่ละคนต่างต้องการการเลี้ยงดูที่ใส่ใจ เปี่ยมด้วยความรักจากพ่อแม่ อีกทั้งพ่อแม่ทุกคนต่างต้องการให้ลูกประสบความสำเร็จ 

แนวคิดวิธีการเลี้ยงลูกตามหมอประเสริฐเป็นวิธีการสร้างพื้นฐานที่ดีให้กับเด็กๆ บทความนี้จึงพาไปทำความรู้จักกับหมอประเสริฐ เคล็ดลับการเลี้ยงลูกที่สามารถนำมาปรับใช้ได้จริงมาฝากกัน! 

หมอประเสริฐคือใคร? และการเลี้ยงลูกแบบหมอประเสริฐเป็นอย่างไร

หมอประเสริฐหรือ นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เป็นจิตแพทย์และนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเด็ก และการพัฒนาเด็กและเยาวชน เป็นคนที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการส่งเสริมสุขภาพจิตเด็ก โดยหมอประเสริฐเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาจิตเวช โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ และหมอประเสริฐยังเคยให้ความรู้กับสังคมเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกผ่านหนังสือและบทความจำนวนมาก

โดยแนวคิดหลักในการเลี้ยงลูกสไตล์หมอประสริฐคือการเลี้ยงดูลูกด้วยความเข้าใจ ไม่เร่งรัด ไม่สร้างความกดดัน ให้ลูกเติบโตอย่างมีความสุข มีวินัย รู้จักรอคอย และสามารถจัดการชีวิตตัวเองได้เมื่อโตขึ้น ให้เป็น “เด็กธรรมดาที่มีความสุข” 

เน้นส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านการเล่น การอ่าน และการทำงานร่วมกับผู้อื่นมากกว่าผลการเรียน หรือผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการตั้งแต่เล็กๆ ไม่เร่งให้ต้องแข่งขันตั้งแต่วัยประถม แต่เน้นให้พ่อแม่เล่นกับลูกให้มาก รวมถึงอนุญาตให้ลูกเจออุปสรรคและแก้ปัญหาด้วยตัวเอง

หลักการสำคัญในการเลี้ยงลูกตามหมอประเสริฐ

หลักการสำคัญในการเลี้ยงลูกตามหมอประเสริฐ

หลักการสำคัญของหมอประเสริฐในการเลี้ยงลูก เพื่อให้เด็กเติบโตอย่างมีความสุข และพ่อแม่เข้าใจลูกเป็นอย่างดี มีดังนี้

เข้าใจพัฒนาการตามช่วงวัย

การเข้าใจเด็กในแต่ละวัยนั้นมีพัฒนาการและความสามารถที่แตกต่างกัน การตั้งความคาดหวังให้เหมาะสมกับวัยจะช่วยลดความเครียดและความกดดันที่ไม่จำเป็นของพ่อแม่ลงได้ โดยการเลี้ยงลูกแบบหมอประเสริฐได้แบ่งตามช่วงวัย ดังนี้

ช่วง 12 เดือนแรก 

การเลี้ยงลูกแบบหมอประเสริฐอธิบายว่า เด็กในวัย 12 เดือนแรกเป็นวัยที่พ่อแม่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด โดยสร้าง “แม่ที่มีอยู่จริง” ขึ้นมาก่อน ด้วยการอุ้ม กอด บอกรัก ฯลฯ เพราะเด็กต้องใช้เวลาสร้างแม่ที่มีอยู่จริงถึง 0-6 เดือน จึงจะรู้สึกว่าแม่เชื่อถือได้ ตามด้วยการสร้างโลกที่ไว้ใจได้ ถ้าโลกนี้ไว้ใจไม่ได้ ลูกไม่ไป นั่งแล้วหงายหลัง ลูกไม่ไว้ใจ แล้วไม่พูด ไม่กล้าเผชิญโลก การทำให้โลกไว้ใจได้สำหรับลูก ต้องเริ่มจากแม่ที่ลูกไว้ใจได้ ลูกจึงจะไว้ใจโลก และนำไปสู่สายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับพ่อแม่

ช่วง 2-3 ขวบ

ในวัยนี้ จะเป็นช่วงเวลาที่เด็กเริ่มสร้างตัวตนของตัวเอง โดยธรรมชาติตัวตนของเด็กจะผูกพันกับแม่อย่างแนบแน่นจนถึงอายุประมาณ 3 ขวบ หลังจากนั้นค่อยๆ แยกออกมาเป็นอิสระ หากสายสัมพันธ์ระหว่างลูกกับแม่มั่นคง ลูกจะยังคงหันกลับมาหาแม่เป็นระยะ

พัฒนาการทางร่างกายของเด็กวัยนี้จะเริ่มต้นจากกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น กล้ามเนื้อต้นแขน ต้นขา และกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ เด็กจะเริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น มองตัวเองเป็นศูนย์กลาง ดื้อและวางกติกา โดยพ่อแม่ควรวางกติกาพื้นฐานกับลูกในวัยนี้คือห้ามทำร้ายผู้อื่นเด็ดขาด ห้ามทำลายข้าวของโดยเจตนา และห้ามทำร้ายตัวเอง 

ในช่วงวัยนี้หลายๆ ครอบครัวเริ่มพาลูกเข้าอนุบาล อาจเกิดปัญหาในการปรับตัวเมื่อต้องแยกจากแม่ เช่น เด็กร้องไห้เมื่อแม่จะกลับ หมอประเสริฐให้คำแนะนำในการเลี้ยงลูกจุดนี้ว่าพ่อแม่ควรปล่อยให้เด็กค่อยๆ ปรับตัว โดยค่อยๆ ลดเวลาที่แม่อยู่ด้วย หากเด็กอายุเกิน 7 ขวบยังแยกจากแม่ไม่ได้ อาจเริ่มมีปัญหา ควรปรึกษาแพทย์ วิธีฝึกเบื้องต้นคือเมื่อแยกจากแม่ ควรทำอย่างมั่นคง กอด หอม และบอกเวลาที่จะกลับมา จากนั้นเดินออกไปอย่างมั่นใจ ค่อยๆ ลดระยะเวลาหรือระยะทางที่แม่อยู่กับเด็ก

ช่วง 4-6 ขวบ

สำหรับวัยนี้ เด็กจะมีพัฒนาจากการใช้ร่างกายเป็นศูนย์กลาง มาเป็นการใช้นิ้วมือทั้งสิบมากขึ้น เพราะนิ้วมือเป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้และพัฒนาสมอง การเล่นในวัยนี้ไม่ใช่เล่นเพื่อความสนุก แต่เป็นการฝึกสมองให้แข็งแรง จะเป็นฐานในการพัฒนา EF (Executive Function) หรือการทำงานของสมองส่วนควบคุมตนเอง ซึ่งจำเป็นต่อการจัดการชีวิต 

หมอประเสริฐอธิบายว่าเด็กวัยนี้จะเริ่มต้นรับผิดชอบตัวเองและสิ่งรอบตัวได้มากขึ้น เช่น ดูแลร่างกายตัวเอง อาบน้ำ แปรงฟัน ทำงานบ้านง่ายๆ เก็บจานหลังทานข้าว เก็บที่นอนหลังตื่นนอน และดูแลความสะอาดของตัวเอง เก็บของเล่นให้เป็นระเบียบ และค่อยขยับความรับผิดชอบกว้างขึ้น เช่น กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจาน เก็บผ้า เทขยะ และควรฝึกให้ลูกจัดตารางเวลา เตรียมของใช้เอง โดยไม่ต้องให้ผู้ใหญ่เตือนบ่อยๆ

ช่วง 7-12 ปี

เด็กในช่วงวัยนี้และเริ่มใช้ชีวิตในสังคมหรือโรงเรียน เด็กจะเปลี่ยนมุมมองจากการเห็นตัวเองเป็นศูนย์กลาง มาให้ความสำคัญกับสังคมและเพื่อนฝูงมากขึ้น เรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่นผ่านการแข่งขันเพื่อแสดงความสามารถ ชิงดีชิงเด่นกับเพื่อนๆ การประนีประนอมเพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดี และการร่วมมือกันเพื่อทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ 

ช่วง 12-18 ปี

เมื่อเด็กวัยนี้เข้าสู่มัธยม เป็นช่วงเวลาของการค้นหาตัวตน สร้างความสัมพันธ์ เข้าใจความหลากหลาย และเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตอย่างมีเป้าหมายและความรับผิดชอบ โดยเด็กจะเริ่มแยกตัวออกจากพ่อแม่ เพื่อเตรียมปีกกล้าขาแข็ง เป็นผู้ใหญ่ที่มีอิสระ เรียนรู้ความหลากหลายทางเพศ รวมตัวเป็นแก๊งเพื่อสร้างตัวตนทางสังคม และเริ่มคิดถึงอนาคตในเรื่องของอาชีพ มองเห็นเป้าหมาย วางแผน ตัดสินใจ ลงมือทำ และประเมินผลเพื่อปรับเส้นทางของตนให้เหมาะสม

เทคนิคเลี้ยงลูกสไตล์หมอประเสริฐ

เทคนิคเลี้ยงลูกสไตล์หมอประเสริฐ

หมอประเสริฐมีเทคนิคสำคัญในการเลี้ยงลูกที่เน้นไปที่ความเข้าใจและส่งเสริมพัฒนาการอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยการให้ความสำคัญกับความสุขและพัฒนาการตามวัย มากกว่าเร่งรัดให้เด็กเรียนเก่ง ส่งเสริมการเล่นหรือกิจกรรมที่ต้องใช้มือทั้งสิบ ให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว รวมถึงการจำกัดการใช้หน้าจอในเด็กเล็ก เพื่อให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นใจ รักตัวเอง และมีเทคนิคในการเลี้ยงลูกแบบหมอประเสริฐเพิ่มเติม ดังนี้

การสร้างความไว้ใจในช่วงขวบปีแรกของลูก

ช่วงขวบปีแรกเป็นช่วงเวลาที่เด็กเริ่มสร้างความไว้ใจต่อโลกและแม่อย่างมั่นคง เพราะในวัยนี้ทารกจะพัฒนาความรู้สึกปลอดภัยผ่านการได้รับความสนใจและการตอบสนองต่อความต้องการอย่างเหมาะสมจากพ่อแม่ โดยการตอบสนองอย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอ เช่น การอุ้มกอดเมื่อลูกร้องไห้ การสบตา พูดคุยกับลูกในเวลาตื่น จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและความไว้วางใจ

ตัวอย่างกิจกรรมที่ช่วยสร้างความไว้ใจในช่วงวัยนี้ ได้แก่ การพูดคุย ร้องเพลง สบตา ยิ้ม อุ้มกอด และตอบสนองเมื่อลูกร้องไห้ เพื่อสร้างความรู้สึกปลอดภัย เล่นจ๊ะเอ๋หรือเล่นท่าทางเลียนแบบ เพื่อกระตุ้นพัฒนาการทางอารมณ์และสังคม รวมถึงการจับของเล่นเพื่อส่งเสริมพัฒนาการสมองและความมั่นใจในตัวเอง

การฝึกทักษะ EF (Executive Function)

ทักษะ EF เป็นทักษะสำคัญในการควบคุมตัวเอง การวางแผน และการแก้ปัญหา ซึ่งมีผลต่อการสร้างพื้นฐานที่ดีให้กับเด็กๆ แต่กระบวนการพัฒนาทักษะ EF นั้นหมอประเสริฐมองว่าต้องพัฒนาไปทีละขั้น เพื่อพัฒนาให้เด็กมีทักษะดังกล่าว โดยแบ่งเป็นบันไดได้ 6 ขั้นก่อนที่จะมีขั้นสุดท้ายเป็นทักษะ EF ดังนี้

บันไดขั้นที่ 1

เริ่มจาก “แม่” หมอประเสริฐได้นิยามการเลี้ยงลูกในขั้นนี้ว่า เมื่อแม่คลอดลูกออกมา ทารกยังไม่รู้จักว่าใครคือแม่ของตนเอง จนกระทั่งช่วงอายุประมาณ 6-12 เดือน เด็กจึงจะเริ่มยอมรับและมอบสิทธิ์ให้แม่เป็น “แม่” อย่างแท้จริง ซึ่งสิทธิ์นี้อาจเป็นไปตลอดชีวิต ดังนั้นในช่วงเวลานี้ แม่ต้องใช้เวลาและความเอาใจใส่อย่างเต็มที่ เพื่อให้ลูกยอมรับว่าตนเองคือแม่ ไม่ใช่แค่การคลอดลูกออกมาแล้วจะถือสิทธิ์ในฐานะผู้ให้กำเนิดโดยอัตโนมัติเท่านั้น

บันไดขั้นที่ 2

บันไดขั้นต่อมาคือ “สายสัมพันธ์” ขั้นตอนนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุประมาณ 1 ปี เมื่อเด็กเข้าสู่เดือนที่ 13 เด็กจะเริ่มหันมามองแม่เป็นระยะๆ ขณะหัดเดิน และแม่จะส่งเสียงปรบมือหรือแสดงความดีใจ เพื่อให้เด็กมั่นใจว่าแม่ยังอยู่ใกล้ๆ จึงจะกล้าเดินต่อไปได้ สายสัมพันธ์นี้เกิดขึ้นจากการที่แม่ได้สร้างความมั่นคงและความไว้ใจในบันไดขั้นที่ 1 ไว้แล้ว และไม่ว่าลูกจะเติบโตไปไกลแค่ไหน สายสัมพันธ์ที่ดีตั้งแต่ต้นนี้ก็จะคอยดึงให้ลูกกลับมาหาแม่เสมอ

บันไดขั้นที่ 3

ในขั้นนี้จะเป็นการสร้างตัวตน อยู่ในช่วง 2-3 ปี เมื่อพัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ของเด็กแข็งแรงขึ้น เด็กจะเริ่มรู้จักเตะ ถีบ หรือปัดสิ่งของเมื่อไม่พอใจ จากนั้นเมื่อเข้าสู่อายุ 4-6 ปี กล้ามเนื้อมัดเล็กบริเวณมือจะเริ่มทำงานได้ดีขึ้น เป็นช่วงที่เด็กพัฒนาทักษะการใช้มือทั้งสิบในการหยิบจับ ขีดเขียน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะส่งเสริมการพัฒนาสมองในด้านการอ่านและการคิดในขั้นต่อไป

บันไดขั้นที่ 4

บันไดขั้นที่ 4 คือ “Self-Esteem” หรือการนับถือตนเอง ซึ่งหมายถึงความสามารถในการกำหนดชีวิตของตนเอง โดยอาศัยสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งจากบันไดขั้นที่ 2 และการพัฒนาตัวตนผ่านการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่และเล็ก เด็กจะเริ่มทดสอบกฎเกณฑ์ต่างๆ ทั้งในบ้านและโรงเรียน 

การชื่นชมและให้กำลังใจเด็กในวัยนี้จะสร้างพลังบวกที่ผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้า ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จากการมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับแม่ตั้งแต่บันไดขั้นที่ 2 สายสัมพันธ์นี้จะช่วยยึดเหนี่ยวให้เด็กอยู่ในกรอบที่เหมาะสม ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับอบายมุข และในขณะเดียวกันก็เป็นแรงผลักดันให้เด็กมุ่งมั่นศึกษาหาความรู้ในโลกที่เปิดกว้าง โดยไม่ทำลายความเชื่อมั่นในตนเอง

บันไดขั้นที่ 5

หมอประเสริฐกับการเลี้ยงลูกในขั้นนี้คือ “Self-Control” หรือการควบคุมตัวเอง ซึ่งอยู่ในช่วงอายุ 3-7 ปี เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของ Executive Function (EF) การศึกษาในช่วงนี้ควรเน้นการเล่นและการเรียนรู้อย่างเปิดกว้าง เพื่อเตรียมความพร้อมของสมองในทุกด้าน หมอประเสริฐกล่าวว่าเทคโนโลยีที่มีในปัจจุบันทำให้เด็กสามารถกำหนดเป้าหมายของตนเองได้มากกว่าผู้ใหญ่ที่กำหนดให้ แต่การที่เด็กจะสามารถกำหนดเป้าหมายชีวิตด้วยตนเองได้อย่างเหมาะสมนั้น จำเป็นต้องพัฒนาทักษะ EF ให้มั่นคงเสียก่อน

บันไดขั้นที่ 6

บันไดขั้นที่ 6 คือ “Executive Function” (EF) บันไดขั้นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบันได 5 ขั้นก่อนหน้านี้มั่นคงและแข็งแรงแล้ว การเลี้ยงลูกให้ได้ดีตามฉบับนายแพทย์ประเสริฐแนะนำว่า การจะก้าวขึ้นไปยังบันไดขั้นสุดท้ายและพัฒนาทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ ทักษะการเรียนรู้ ทักษะชีวิต และทักษะด้านไอทีนั้น จะต้องมาจากการประกอบสร้างทักษะย่อยต่างๆ ทั้งจากที่บ้านและระบบการศึกษาที่ได้รับการออกแบบมาอย่างเหมาะสม

การสร้างพื้นฐานภาษา

การสร้างพื้นฐานภาษา

การอ่านหนังสือให้ลูกฟังและการเล่นบทบาทสมมติเป็นวิธีการที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาภาษาของเด็ก เพราะการอ่านช่วยสร้างความผูกพันระหว่างแม่ลูก และกระตุ้นพัฒนาการทางภาษาของเด็ก ในขณะที่การเล่นบทบาทสมมติช่วยให้เด็กได้ฝึกใช้ภาษาเพื่อแสดงความคิดเห็นและความรู้สึก 

โดยการเลี้ยงลูกเชิงบวกตามแบบหมอประเสริฐอาจมีกิจกรรมเสริมให้ลูก ดังนี้ การอ่านนิทานให้ลูกฟังด้วยน้ำเสียงที่สดใสและชี้ชวนให้ลูกดูภาพและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวในนิทาน การเล่นบทบาทสมมติจะช่วยส่งเสริมทักษะทางภาษา เรียนรู้ที่จะสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกัน และรู้จักปรับตัวเข้าหากัน รวมถึงการทำเสียงเลียนแบบ จากเสียงสัตว์หรือเสียงรอบตัวต่างๆ เพื่อกระตุ้นความสนใจและพัฒนาการฟังของลูก

การสร้างวินัย

หนึ่งในเทคนิคที่หมอประเสริฐแนะนำในการเลี้ยงลูกคือ ให้ความสำคัญกับการสร้างวินัยให้กับเด็กตั้งแต่เล็ก จะช่วยใหห้เด็กมีความรับผิดชอบและปรับพฤติกรรมได้ โดยไม่ควรละเลยการทำความเข้าใจโลกของลูกในแต่ละช่วงวัย โดยแบ่งตามช่วงอายุได้ดังนี้

  • เด็กแรกเกิดถึง 1 ขวบ คิดว่าตนเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล (Self-Centered) และมีควมเชื่ออื่นๆ เช่น
    • Animism คือเชื่อว่าสิ่งของทุกอย่างมีชีวิต เช่น ตุ๊กตาทุกตัวมีชีวิต และไม่แยกสิ่งของออกจากกัน
    • Magic Thinking หรือความเชื่อในเวทมนตร์ ที่คิดว่า “ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยเวทมนตร์”
    • Phenomenalistic Causality คือการเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ แบบจับแพะชนแกะโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน
  • ช่วงอายุ 6-12 ปี เด็กวัยนี้จะมีการคิดเชิงรูปธรรม เห็นอะไรว่าอย่างนั้น เช่น เห็นหมาก็คิดว่าเป็นหมาโดยตรง ไม่มีการตีความซับซ้อนหรือแฝงนัย
  • ช่วงอายุ 12-18 ปี เริ่มมีการคิดเชิงนามธรรม (Abstract) สามารถให้ความหมายกับสิ่งที่เห็นและสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เช่น ความคิด ความรู้สึก หรือแนวคิดที่ซับซ้อนมากขึ้น

ประยุกต์ใช้เคล็ดลับเลี้ยงลูกแบบหมอประเสริฐได้อย่างไร

เทคนิคเลี้ยงลูกตามแบบหมอประเสริฐเน้นความเข้าใจธรรมชาติของเด็ก การสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคง และส่งเสริมพัฒนาการอย่างเป็นขั้นตอน ซึ่งพ่อแม่สามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และศักยภาพ เพื่อให้ลูกเติบโตอย่างมีความสุข โดยแก่นสำคัญคือเน้นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและไว้วางใจ ส่งเสริมการเล่นและพัฒนาการตามวัย ให้กำลังใจและชมเชยพฤติกรรมหรือความพยายามที่ดีมากกว่าผลการเรียน หลีกเลี่ยงการใช้หน้าจอในเด็กเล็ก 

เช่นเดียวกับ นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐ หรือหมอวิน กุมารแพทย์เจ้าของเพจเลี้ยงลูกตามใจหมอ ที่ได้อธิบายถึงปัญหาการเลี้ยงลูกที่เกิดขึ้นในปัจจุบันว่ามาจากความไม่เข้าใจพัฒนาการตามวัยของเด็ก เช่น เมื่อเด็กถึงวัยที่ใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กได้แล้ว แต่พ่อแม่ไม่เคยให้ลูกลองหยิบจับอาหารด้วยตัวเอง ทำให้ลูกมีปัญหาจากความไม่เข้าใจของพ่อแม่ ดังนั้นการเลี้ยงลูกแบบเข้าใจธรรมชาติของเด็กจึงช่วยให้ความสัมพันธ์ครอบครัวแน่นแฟ้นขึ้น และเด็กได้โตตามวัยอย่างมีความสุขฉบับหมอประเสริฐ

ประยุกต์ใช้เคล็ดลับเลี้ยงลูกแบบหมอประเสริฐได้อย่างไร

สรุป

หมอประเสริฐมีหลักการเลี้ยงลูกให้เป็น “เด็กธรรมดาที่มีความสุข” โดยไม่เร่งรัดหรือกดดัน ให้พัฒนาตามวัยอย่างเป็นธรรมชาติและมีวินัยที่เหมาะสม เทคนิคสำคัญในการเลี้ยงลูกแบบหมอประเสริฐ ได้แก่ การสร้างความไว้ใจในช่วงปีแรกด้วยการอุ้มกอดและตอบสนองความต้องการ งดใช้หน้าจอในเด็กเล็ก ส่งเสริมการเล่นและทำงานบ้านตั้งแต่เด็กเล็ก เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก และการฝึกให้เด็กมีทักษะ EF คือการให้เด็กได้ฝึกความอดทน รู้จักวางแผนและควบคุมตัวเอง ผ่านกิจกรรมที่เหมาะสมตามวัย เช่น การเล่น การทำงานบ้าน และการเรียนรู้แบบเปิดกว้าง โดยเน้นให้พ่อแม่มีท่าทีมั่นคงและชัดเจนในการสอน

หากกำลังมองหาสถาบันสอนภาษาอังกฤษที่เหมาะสำหรับเด็กเล็กอายุ 2.5 ปี จนถึงอายุ 12 ปี แนะนำ Speak Up สถาบันสอนภาษาที่มีการเรียนรู้ เสริมพัฒนาการ และทักษะที่จำเป็นสำหรับเด็กผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัยแบบหมอประเสริฐ