Key Takeaway
- Empathy คือความสามารถในการมองโลกจากมุมมองของคนอื่น เข้าใจความรู้สึก ความคิด หรือสถานการณ์ที่พวกเขาเผชิญอยู่ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยให้แต่ละคนสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างเข้าใจกัน
- การมี Empathy ต่อพัฒนาการเด็ก ช่วยให้เด็กมีความสามารถในการรับมือกับความทุกข์หรือสถานการณ์ที่ยากลำบากในอนาคตได้ดีขึ้น อีกทั้งยังส่งเสริมพฤติกรรมเชิงบวก และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบตัว
- หากเด็กขาด Empathy อาจทำให้ไม่เข้าใจหรือไม่เห็นใจผู้อื่น เสี่ยงต่อพฤติกรรมก้าวร้าว มีบุคลิกภาพต่อต้านสังคม และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง
- เทคนิคฝึกลูกให้มี Empathy เริ่มได้ที่บ้าน ด้วยการมอบความรักอย่างเหมาะสม สอนให้ลูกรู้จักแบ่งปัน เข้าใจผู้อื่น เปิดใจยอมรับความหลากหลาย และเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกในชีวิตประจำวัน
Empathy เป็นทักษะสำคัญที่ช่วยให้เด็กเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น การปลูกฝังตั้งแต่ในบ้านตั้งแต่วัยเด็ก จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีทั้งในครอบครัวและสังคม และยังเป็นพื้นฐานในการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เข้าใจและใส่ใจความรู้สึกของผู้อื่น มาดูกันว่าคุณพ่อคุณแม่จะช่วยฝึก Empathy ให้ลูกได้อย่างไรบ้าง

Empathy คืออะไร
Empathy หรือ “ความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น” คือความสามารถในการมองโลกจากมุมมองของคนอื่น เข้าใจความรู้สึก ความคิด หรือสถานการณ์ที่พวกเขาเผชิญอยู่ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยให้คนอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างกลมกลืน สร้างความสัมพันธ์ที่ดี และทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับเด็กๆ การเรียนรู้และฝึกฝน Empathy ตั้งแต่เล็กมีบทบาทอย่างมากต่อการพัฒนาอารมณ์และสังคม เพราะช่วยให้พวกเขารู้จักการใส่ใจผู้อื่น รู้ว่าการกระทำของตนส่งผลต่อคนรอบข้างอย่างไร และเรียนรู้ที่จะมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ ส่วน Empathy ในทางจิตวิทยาหมายถึงการเข้าใจความคิดและความรู้สึกของผู้อื่นอย่างแท้จริง เป็นทักษะที่สำคัญในการให้คำปรึกษาและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ส่วน Empathy ในทาง Design thinking คือการเข้าใจปัญหาเชิงลึกถึงต้นเหตุที่ช่วยให้สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด
ความต่างระหว่าง Empathy กับ Sympathy สามารถทำความเข้าใจได้ง่าย คือ Empathy จะเป็นการเชื่อมต่อและเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นอย่างแท้จริง เช่น การบอกว่า “ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอ และอยากให้เธอรู้ว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียว” ส่วน Sympathy เป็นการรู้สึกเห็นใจแต่ไม่ได้เข้าใจลึกซึ้งถึงความรู้สึกของผู้อื่นอย่างแท้จริง เช่น บอกว่า “อย่างน้อยเธอก็ยังมีสิ่งดีๆ”

ทำไม Empathy ถึงสำคัญต่อพัฒนาการเด็ก
Empathy มีความสำคัญต่อพัฒนาการเด็กอย่างมาก เพราะช่วยให้เด็กเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ซึ่งส่งผลให้เด็กแสดงพฤติกรรมในเชิงบวก เช่น ไม่กลั่นแกล้งหรือดูถูกผู้อื่น และมีความกล้าหาญทางจริยธรรมในการช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อพบปัญหา
นอกจากนี้ Empathy ยังช่วยให้เด็กสามารถรับมือกับความทุกข์ในอนาคตได้ดีขึ้น และส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวและสังคม ทำให้เด็กมีความสุขและสามารถปรับตัวในโรงเรียนและชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม

ประโยชน์ของ Empathy ต่อพัฒนาการเด็ก
ประโยชน์ของ Empathy สำหรับพัฒนาการเด็ก ช่วยให้เด็กเข้าใจและรับมือกับสถานการณ์ที่ยากลำบากได้ดีขึ้น อีกทั้งยังส่งเสริมพฤติกรรมเชิงบวก เช่น การไม่กลั่นแกล้งหรือดูถูกผู้อื่น และกล้าหาญพอที่จะยื่นมือช่วยเหลือเมื่อเห็นคนอื่นประสบปัญหา
นอกจากนี้ความสามารถในการเข้าใจผู้อื่นยังช่วยให้เด็กสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง ทั้งในครอบครัว โรงเรียน หรือสังคมโดยรวม ส่งผลให้ใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม มีความสุข และลดความเสี่ยงต่อพฤติกรรมรุนแรงหรือบุคลิกภาพต่อต้านสังคมในอนาคต

หากเด็กไม่มี Empathy จะส่งผลเสียอย่างไร
หากเด็กไม่ได้รับการปลูกฝังให้มี Empathy ตั้งแต่เด็กจะส่งผลเสียหลายด้าน เช่น เด็กอาจขาดความสามารถในการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ทำให้เกิดภาวะไม่สนใจความเจ็บปวดของผู้อื่น หรือแม้แต่ชื่นชอบเห็นผู้อื่นทุกข์ทรมาน ซึ่งอาจนำไปสู่พฤติกรรมรุนแรง เช่น การกลั่นแกล้ง (Bullying) และมีบุคลิกภาพต่อต้านสังคม
นอกจากนี้เด็กที่ขาด Empathy มักประสบปัญหาในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น และอาจปรับตัวในสังคมได้ยาก เนื่องจากไม่ใส่ใจความรู้สึกของผู้อื่น รวมถึงควบคุมอารมณ์และสติได้ไม่ดี จึงเกิดความขัดแย้งได้ง่ายในชีวิตและสังคม

เทคนิคฝึกลูกน้อยให้มี Empathy ตั้งแต่ในบ้าน
มาฝึกให้ลูกน้อยมีทักษะ Empathy ตั้งแต่ในบ้าน เริ่มจากพ่อแม่ช่วยกันสร้างพื้นฐาน เพื่อให้ลูกเติบโตอย่างมีความสุข โดยทำได้ดังนี้
1. มอบความรักให้ลูกมากๆ
การให้ความรักกับเด็กอย่างเหมาะสมเป็นพื้นฐานสำคัญในการปลูกฝังให้เด็กเรียนรู้ที่จะรู้จักเคารพและรักผู้อื่น โดยความรักที่ว่านี้ไม่ได้หมายถึงการตามใจหรือมอบของฟุ่มเฟือย แต่เป็นการแสดงความห่วงใยและความเข้าใจอย่างจริงใจ เมื่อเด็กได้รับความรักที่เหมาะสม พวกเขาจะมีความมั่นคงในการเรียนรู้และเติบโต รู้จักรักและเคารพตัวเอง ซึ่งจะทำให้สามารถส่งต่อความรักและความเคารพนั้นไปยังผู้อื่นและสังคมรอบข้างได้อย่างยั่งยืน
2. สอนให้ลูกรู้จักการ “ให้”
การสอนให้เด็กรู้จัก “ให้” ไม่ใช่ในรูปแบบของสิ่งของเท่านั้น แต่รวมถึงการให้ความช่วยเหลือ ให้เกียรติ ให้อภัย และให้โอกาสผู้อื่น ซึ่งเด็กสามารถทำได้ตามวัยและศักยภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินทองใดๆ เมื่อเด็กเรียนรู้คุณค่าของการให้ เขาจะเข้าใจและเห็นคุณค่าของคนรอบข้างรวมถึงสิ่งต่างๆ ในชีวิต ซึ่งจะช่วยให้เขาเติบโตเป็นคนที่ไม่คิดทำร้ายผู้อื่น
3. ฝึกให้รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา
การสอนให้เด็กคิดถึงผู้อื่นคือจุดเริ่มต้นของการปลูกฝัง Empathy เพราะเมื่อเด็กเรียนรู้ที่จะ “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” พวกเขาจะตระหนักถึงผลกระทบของการกระทำต่อตัวเองและผู้อื่นมากขึ้น เด็กจะไม่ทำในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบกับคนอื่น และจะคำนึงถึงความรู้สึกของคนรอบข้างอยู่เสมอ ซึ่งสิ่งเล็กๆ เหล่านี้คือหัวใจสำคัญที่ช่วยสร้างสังคมให้น่าอยู่และเต็มไปด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน
4. พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูก
การเป็นแบบอย่างที่ดีคือวิธีสอน Empathy ที่ได้ผลที่สุด เพราะเด็กเรียนรู้จากการสังเกตพฤติกรรมของผู้ใหญ่ ทั้งการแสดงความใส่ใจ เห็นอกเห็นใจ และช่วยเหลือผู้อื่นในสถานการณ์ต่างๆ จะช่วยให้เด็กซึมซับพฤติกรรมเหล่านี้ไปโดยธรรมชาติ นอกจากนี้ผู้ใหญ่ควรรับฟังและตอบสนองต่อความรู้สึกของเด็กอย่างเข้าใจ เพื่อให้พวกเขารู้ว่าความรู้สึกของตนมีคุณค่าและได้รับการยอมรับ
5. สอนให้ลูกเปิดกว้าง ปราศจากอคติต่อผู้อื่น
การสอนให้เด็กเปิดกว้างเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาทัศนคติและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล วิธีง่ายๆ คือหลีกเลี่ยงการปลูกฝังอคติต่อความแตกต่างตั้งแต่ต้น เมื่อเด็กไม่มีอคติ พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะเข้าใจและเคารพความหลากหลาย ทั้งเพศ ความเชื่อ และวิถีชีวิตต่างๆ เด็กที่เปิดใจจะมองโลกกว้างขึ้น เห็นคุณค่าในตัวผู้อื่น และไม่ใช้ความต่างมาเป็นเหตุผลในการกลั่นแกล้งหรือแบ่งแยก

สิ่งที่พ่อแม่ไม่ควรทำในการปลูกฝัง Empathy ให้ลูก
- ให้ความรักแบบปรนเปรอจนเด็กคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลก อาจทำให้เด็กขาดความเข้าใจผู้อื่น ไม่รู้จักยอมรับความพ่ายแพ้ และมีแนวโน้มจะเอาแต่ใจเมื่อต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม
- ไม่ละเลยหรือไม่รับฟังความรู้สึกของเด็ก ทำให้เด็กรู้สึกไม่มีที่พึ่งและไม่มั่นคงทางจิตใจ ซึ่งส่งผลให้ขาดพื้นฐานในการพัฒนา Empathy และลดโอกาสในการเข้าใจหรือเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้ในอนาคต
- ไม่สอนหรือไม่ส่งเสริมให้เด็กได้ฝึกคิดในมุมมองของผู้อื่น เช่น การตั้งคำถามกระตุ้นให้ลองจินตนาการว่าเป็นคนอื่น อาจทำให้เด็กขาดโอกาสในการพัฒนาความเข้าใจและความรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นได้อย่างลึกซึ้ง
- ไม่ปล่อยให้เด็กตามใจตัวเองโดยไม่สอนให้ควบคุมอารมณ์และรับผิดชอบต่อการกระทำ อาจทำให้เด็กขาดทักษะในการเห็นอกเห็นใจผู้อื่นและควบคุมตนเอง ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการอยู่ร่วมในสังคมอย่างเหมาะสม
สรุป
Empathy หรือความสามารถในการเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เป็นทักษะสำคัญที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์และอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างกลมกลืน โดยเฉพาะในเด็ก การฝึก Empathy ตั้งแต่เล็กจะช่วยพัฒนาทักษะทางอารมณ์และสังคม ลดพฤติกรรมกลั่นแกล้ง และส่งเสริมพฤติกรรมเชิงบวก การไม่มี Empathy อาจทำให้เด็กมีบุคลิกต่อต้านสังคมหรือมีแนวโน้มใช้ความรุนแรง พ่อแม่สามารถช่วยปลูกฝัง Empathy ได้จากการให้ความรักอย่างเหมาะสม สอนให้รู้จักการ “ให้” เอาใจเขามาใส่ใจเรา และเป็นแบบอย่างที่ดี
Speak Up เป็นสถาบันสอนภาษาอังกฤษและภาษาจีนที่มีการเรียนรู้ผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ เสริมทักษะที่สำคัญให้กับเด็กๆ รวมถึง Empathy เพื่อเตรียมความพร้อมให้เด็กก่อนเข้าเรียนเตรียมอนุบาล ด้วยการเรียนการสอนที่รองรับเด็กตั้งแต่อายุ 2.5 ถึง 12 ปี
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Empathy (FAQ)
หากพูดถึง Empathy แล้ว อาจจะเกิดคำถามบางประการว่าจะทำอย่างไรให้ลูกน้อยมี Empathy และสามารถเติบโตไปอย่างมีความสุข วันนี้เราได้รวบรวมคำถามและคำตอบเกี่ยวกับ Empathy มาฝากกัน
Empathy คืออะไร
Empathy หรือ “ความเข้าใจและการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น” คือความสามารถในการมองโลกผ่านสายตาของผู้อื่น เข้าใจความรู้สึก ความคิด หรือสถานการณ์ที่เขากำลังประสบอยู่ อย่างลึกซึ้งและไม่ตัดสิน
Empathy VS Sympathy ต่างกันอย่างไร
Empathy กับ Sympathy แตกต่างกันที่มุมมองและการตอบสนองต่อความรู้สึกของผู้อื่น โดย Empathy คือการเข้าใจจากมุมมองของผู้อื่นจริงๆ ไม่ตัดสินหรือใช้ประสบการณ์ส่วนตัวมาเป็นเกณฑ์ ขณะที่ Sympathy คือการเห็นใจจากมุมมองของตัวเอง มักมีการตัดสินหรือประเมินสถานการณ์ของผู้อื่นผ่านมุมมองของเรา
จิตวิทยาของ Empathy หมายถึงอะไร
สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (American Psychological Association: APA) ให้นิยามว่า เป็นการเข้าใจอีกฝ่ายจากมุมมองและประสบการณ์ของเขาเอง ไม่ใช่มองผ่านประสบการณ์ของเรา หรือคิดแทนเขา