Key Takeaway
- Storytelling คือการเล่าเรื่องราวที่มีคุณค่าและความหมาย เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์หรือความรู้ผ่านข้อความ ภาพ หรือวิดีโอ โดยมุ่งสร้างความเชื่อมโยงและอารมณ์ร่วมกับผู้ฟังหรือผู้ชม โดยจะเห็นได้ชัดผ่านการเล่านิทานสำหรับเด็ก
- Storytelling มีหลายประเภท เช่น การเล่าเรื่องราวสิ่งที่เป็นนามธรรมให้จับต้องได้ และการเล่าเรื่องเพื่อเชื่อมโยงผู้คนเข้าหากัน แต่ละประเภทก็ช่วยเสริมทักษะและการเรียนรู้ในมิติที่แตกต่างกัน
- เทคนิคสำคัญในการเล่าเรื่อง Storytelling ให้สร้างสรรค์ ได้แก่ การวางโครงเรื่องชัดเจน ใช้ภาษาที่เหมาะสม การสร้างตัวละครและความขัดแย้ง รวมถึงใช้ท่าทาง น้ำเสียง และอารมณ์ร่วม เพื่อทำให้เรื่องเล่าน่าสนใจและจดจำง่าย
- Storytelling ช่วยให้เด็กเข้าใจภาษาในบริบทจริง กระตุ้นความสนใจและอารมณ์ร่วม ทำให้การเรียนภาษามีประสิทธิภาพและสนุกสนานมากขึ้น รวมทั้งช่วยพัฒนาทักษะการฟังและพูดได้ดี
Storytelling คือการเล่าเรื่องราวที่มีคุณค่าและมีความหมายสำคัญ เพื่อถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ หรือสิ่งที่ต้องการสื่อสารผ่านเรื่องเล่าด้วยวิธีการพูดและวิธีการเขียนเป็นหลัก เป็นทักษะสำคัญในยุคปัจจุบัน เพราะช่วยให้การสื่อสารข้อมูลซับซ้อนเป็นเรื่องง่ายและน่าสนใจมากขึ้น โดยกระตุ้นอารมณ์และความอยากรู้อยากเห็นของผู้ฟัง ทำให้เกิดการจดจำและเข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น
การเล่าเรื่องยังช่วยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการตั้งคำถามของเด็กๆ รวมถึงส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังช่วยให้เด็กๆ ได้เชื่อมโยงข้อมูลกับประสบการณ์ของตัวเองได้ดีขึ้น ส่งผลให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพและสนุกสนานมากขึ้น มาทำความรู้จัก Storytelling พร้อมตัวอย่างนิทานภาษาอังกฤษที่เล่าเรื่องแบบนี้ ผู้ปกครองสามารถนำเทคนิคนี้ไปปรับใช้ให้ลูกๆ ได้ฝึกฝนเป็นประจำ เพื่อให้พวกเขาเป็นนักเล่าเรื่องที่ดีในอนาคตได้

ทำความรู้จัก Storytelling คืออะไร?
การเล่าเรื่อง (Storytelling) คือทักษะการสื่อสารที่ใช้การเล่าเรื่องราวผ่านคำพูด ท่าทาง น้ำเสียง หรือสื่ออื่นๆ เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ ความรู้ หรือความคิด โดยมีเป้าหมายให้ผู้ฟังหรือผู้ชมเกิดความรู้สึกร่วมและเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น เป็นการเชื่อมโยงไอเดียกับประสบการณ์จริง ทำให้เรื่องราวมีความหมายและน่าจดจำ
Storytelling ถูกนำมาใช้ในสื่อการสอนสำหรับเด็ก เพื่อพาน้องๆ หนูๆ ไปผจญภัยในโลกแห่งจินตนาการผ่านนิทาน เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวสนุกสนานที่มีข้อคิดดีๆ ผ่านการพูดหรือเขียน เพื่อให้ได้ร่วมสนุก ตื่นเต้น และรู้สึกผูกพันไปกับตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นนิทานก่อนนอน เพลงกล่อมเด็ก หรือเรื่องเล่าจากคุณพ่อคุณแม่ ก็ช่วยให้จดจำสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น แถมยังสร้างแรงบันดาลใจ และสอดแทรกความรู้เรื่องวิถีชีวิต วัฒนธรรม หรือข้อคิดที่อยากสอนได้อีกด้วย ถือเป็นการเล่นที่ได้เรียนรู้ไปในตัวเลย
Storytelling มีลักษณะอย่างไร
Storytelling ที่ดีจะเป็นเรื่องราวที่มีคุณค่าและความหมาย สามารถเชื่อมโยงกับความรู้สึก ความคิด หรือค่านิยมของผู้รับสาร เช่น ความเข้าอกเข้าใจ ความอดทน หรือความรัก นอกจากนี้ยังต้องมีการเรียบเรียงข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เรื่องราวน่าสนใจและเข้าใจง่าย สามารถกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นและสร้างอารมณ์ร่วมกับผู้ฟังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเล่านิทานที่ดีจึงเหมือนกับการร่ายมนตร์วิเศษที่ทำให้เด็กๆ เคลิบเคลิ้มไปกับเรื่องราว ไม่ใช่แค่การพูดให้จบๆ ไป แต่ต้องเป็นนิทานที่มีความหมายซ่อนอยู่ ชวนให้เด็กๆ อยากรู้และติดตาม แถมยังเชื่อมโยงกับความรู้สึกของพวกเขาได้ด้วย
หลักการเล่าเรื่อง Storytelling
หลักการเล่าเรื่องที่ดีต้องมีโครงสร้างชัดเจน คือมีจุดเริ่มต้นที่ดึงดูดใจ มีการพัฒนาเนื้อเรื่องที่น่าติดตาม และมีจุดสูงสุด (Climax) ที่สร้างความตื่นเต้นหรือจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่อง นอกจากนี้ ควรมีความขัดแย้งหรือปัญหาเพื่อกระตุ้นความสนใจ และต้องผสมผสานอารมณ์หรือความรู้สึกให้ผู้ฟังเกิดประสบการณ์ร่วมตลอดทั้งเรื่อง เพื่อให้เรื่องเล่ามีพลังและจดจำได้ง่าย
เพราะฉะนั้น การเล่านิทานให้ลูกฟังจึงเหมือนการเดินทางผจญภัยที่น่าตื่นเต้น คุณพ่อคุณแม่ต้องใช้ทักษะการผูกเรื่องให้สนุก ชวนติดตาม เพื่อให้เจ้าตัวเล็กอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อไป นอกจากนี้ นิทานที่ดียังมีเรื่องเซอร์ไพรส์ หรือจุดที่ทำให้ลุ้นตลอดทาง เหมือนตอนที่ตัวละครเจออุปสรรคแล้วแก้ไขได้สำเร็จ ทำให้เด็กๆ มีส่วนร่วมและเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบเลย

Storytelling มีกี่ประเภท?
การเล่าเรื่องสำหรับเด็กมีหลายรูปแบบที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กในด้านต่างๆ โดยแต่ละประเภทมีจุดเด่นและเป้าหมายเฉพาะที่แตกต่างกัน การเข้าใจประเภทของ Storytelling จะช่วยให้ผู้ปกครองสามารถเลือกใช้วิธีเล่าเรื่องที่เหมาะสมกับวัยและความสนใจของลูกน้อย เพื่อกระตุ้นจินตนาการและเสริมสร้างทักษะต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเล่าเรื่องราวสิ่งที่จับต้องไม่ได้ให้จับต้องได้
การเล่าเรื่องแบบนี้คือการนำแนวคิดหรือความรู้สึกที่เป็นนามธรรม เช่น ความรัก ความกลัว หรือคุณธรรมต่างๆ มาถ่ายทอดผ่านเรื่องเล่าที่เด็กสามารถเข้าใจและเชื่อมโยงได้ง่าย เช่น นิทานที่สอนเรื่องความซื่อสัตย์หรือมิตรภาพ การเล่าเรื่องประเภทนี้สำคัญเพราะช่วยให้เด็กได้เรียนรู้คุณค่าทางจิตใจและพัฒนาทักษะทางอารมณ์ผ่านการเข้าใจเรื่องราวที่จับต้องไม่ได้ในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ทำให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริงได้
การเล่าเรื่องราวเพื่อเชื่อมโยงผู้คนให้เข้าหากัน
การเล่าเรื่องประเภทนี้เน้นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฟังและผู้เล่า รวมถึงระหว่างเด็กด้วยกัน ผ่านเรื่องราวที่ส่งเสริมความเข้าใจ การเห็นอกเห็นใจ และความร่วมมือ เช่น นิทานที่เล่าเรื่องเพื่อนช่วยเหลือกันหรือการแก้ไขปัญหาร่วมกัน การเล่าเรื่องแบบนี้มีความสำคัญเพราะช่วยให้เด็กเรียนรู้การสื่อสารและการทำงานร่วมกับผู้อื่น อีกทั้งยังสร้างความอบอุ่นและความไว้วางใจในกลุ่ม ส่งเสริมพัฒนาการทางสังคมและอารมณ์ของลูกให้เติบโตอย่างสมดุล

เทคนิคการเล่าเรื่อง Storytelling ให้สร้างสรรค์
การเล่าเรื่อง Storytelling ต้องมีความเข้าใจและผสมผสานเทคนิคต่างๆ เข้าด้วยกัน แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะ Storytelling เป็นทักษะที่ฝึกฝนได้ โดยผู้ปกครองสามารถชวนน้องๆ หนูๆ มาฝึกเทคนิคการเป็นนักเล่า เพื่อให้สามารถเล่าเรื่องได้อย่างสร้างสรรค์และมีความน่าสนใจมากขึ้น ดังนี้
1. การดึงความสนใจจากผู้ชมหรือผู้ฟัง
การเล่านิทานให้ลูกฟังไม่ใช่แค่พูดไปเรื่อยๆ แต่ต้องจัดลำดับเรื่องราวให้ดี มีจุดประสงค์ชัดเจน เช่น เล่าเพื่อความสนุก ให้ข้อคิดดีๆ หรือสร้างแรงบันดาลใจ เทคนิคที่จะทำให้เด็กติดตามจนจบก็คือการสร้างความขัดแย้ง (Conflict) เล็กๆ หรือเรื่องที่ทำให้ลุ้น เช่น ตัวละครเจออุปสรรคแล้วจะแก้ไขอย่างไร รวมถึงการใช้คำเปรียบเทียบที่เข้าใจง่าย ทำให้เด็กๆ จินตนาการตามได้ นิทานที่เล่าดีจะช่วยดึงความสนใจของลูกน้อยให้จดจ่ออยู่กับเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบเลย
2. หาจุดร่วมระหว่างเรื่องที่อยากเล่ากับสิ่งที่คนอยากฟัง
เคล็ดลับสำคัญในการเล่านิทานให้สนุกคือการหาว่าเรื่องที่เราอยากเล่ากับสิ่งที่ลูกอยากฟัง มีอะไรที่เหมือนกันบ้าง ลองคิดดูว่านิทานเรื่องนั้นเกี่ยวกับอะไร หรือมีอะไรที่ลูกชอบและสนใจไหม การเป็นนักเล่านิทานที่ดีต้องเข้าใจว่าคนฟังชอบฟังเรื่องแบบไหน บางทีนิทานอาจช่วยให้แก้ปัญหา สร้างความสุข หรือแม้แต่ทำให้เข้าใจอะไรบางอย่างมากขึ้นก็ได้ แค่รู้ว่าลูกน้อยชอบอะไร ก็ช่วยให้เล่านิทานได้ถูกใจแน่นอน
3. เข้าใจคาแรกเตอร์และความเป็นตัวเอง
ลองสังเกตดูว่าเราเป็นคนตลก ชอบหัวเราะเสียงดัง หรือเป็นคนเงียบๆ ชอบเล่าเรื่องจริงจัง ท่าทาง สีหน้า แววตา หรือแม้แต่การขยับไม้ขยับมือของเราก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การเล่านิทานมีชีวิตชีวา ถ้าเราเป็นคนอารมณ์ดี ก็เหมาะกับการเล่านิทานสนุกๆ ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ แต่ถ้าเราเป็นคนใจเย็น ก็อาจจะเล่านิทานซึ้งๆ ชวนคิดได้ดีกว่า การรู้จักตัวเองจะช่วยให้สร้างสรรค์นิทานในแบบของตัวเองที่ไม่มีใครเหมือนได้แน่นอน
4. รู้ทันกระแสสังคมและนำเทคโนโลยีมาปรับใช้
ในปัจจุบัน ข้อมูลและเรื่องราวสนุกๆ อยู่ใกล้แค่ปลายนิ้ว ไม่ว่าจะเป็นบนอินเทอร์เน็ต แท็บเล็ต หรือมือถือ เราก็สามารถหาเรื่องราวดีๆ ที่กำลังเป็นที่นิยมได้ง่าย การนำเรื่องราวใหม่ๆ เหล่านี้มาเล่าให้ลูกฟังจะช่วยให้เรื่องเล่าของเราสดใหม่และน่าติดตามมากขึ้นด้วย
เคล็ดลับง่ายๆ คือลองเลือกเรื่องราวที่เหมาะกับลูก แล้วหาแพลตฟอร์มที่ชอบ เช่น อาจจะลองเล่าเรื่องจากนิทรรศการภาพสวยๆ หรือกิจกรรมสนุกๆ ที่เพิ่งไปเจอมา แล้วอัดเป็นคลิปวิดีโอ ใส่เสียงพากย์น่ารักๆ เท่านี้ก็ได้เป็นนักเล่าเรื่องยุคใหม่ เป็นพ่อแม่สมัยใหม่ที่พร้อมช่วยให้ลูกได้เรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ
5. เปิดรับความสร้างสรรค์ให้เต็มที่
ถ้าอยากเล่านิทานให้เด็กๆ ฟังแล้วติดใจ สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเลยคือ ความคิดสร้างสรรค์และการเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวในจินตนาการสุดโต่ง กิจกรรมสนุกๆ ที่เคยทำตอนเด็กของคุณเอง หรือแม้แต่ของเล่นชิ้นโปรด ลองหยิบจับสิ่งเหล่านี้มาเล่าให้ลูกฟัง เพราะสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะทำให้การเล่านิทานของคุณไม่เหมือนใคร เต็มไปด้วยความน่าสนใจ และทำให้เรื่องเล่ามีชีวิตชีวาจนลูกต้องร้องว้าว!
6. หมั่นฝึกการเล่าเรื่องจากตัวอย่าง Storytelling
อยากเล่านิทานให้ลูกฟังเก่งๆ ไม่ใช่เรื่องยากเลย เทคนิคที่ง่ายที่สุดคือการลองเลียนแบบจากนิทานสนุกๆ ที่มีอยู่แล้ว เพราะนิทานเหล่านี้ถูกสร้างมาให้เข้าใจง่าย มีข้อคิดที่ดีแฝงอยู่เสมอ แถมยังช่วยให้เด็กๆ อินไปกับเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความกล้าหาญ มิตรภาพ หรือการแก้ไขปัญหา การฝึกเล่าจากนิทานจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่เล่านิทานได้น่าฟังและโดนใจเจ้าตัวเล็ก
7. ภาษากายคือสิ่งสำคัญ
นอกจากการเล่าเรื่องราวที่สนุกแล้ว ท่าทางของเราก็สำคัญไม่แพ้กัน ลองสังเกตดูว่าเวลาที่เล่านิทานให้เด็กๆ ฟัง ภาษากายของเรา ทั้งการยืน การนั่ง มือไม้ และแววตา จะบอกอะไรได้เยอะเลย เพราะเด็กมักจะมองจากท่าทาง (55%) และฟังจากน้ำเสียง (38%) ส่วนคำพูดจริงๆ แค่ 7% เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ฝึกยืนหลังตรง ไม่กอดอก และมองตาเจ้าตัวเล็กบ่อยๆ เวลาเล่าจะช่วยให้นิทานน่าสนใจและดึงดูดใจเด็กๆ ได้มากขึ้นเยอะเลย
ประโยชน์ของ Storytelling ในการเรียนภาษา
การใช้ Storytelling ในการเรียนภาษาสำหรับเด็กเป็นวิธีที่ช่วยเสริมสร้างทักษะภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเรื่องราวที่เล่าจะช่วยให้เด็กๆ เข้าใจภาษาในบริบทที่เป็นธรรมชาติและน่าสนใจ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นความสนใจและอารมณ์ร่วม ทำให้เด็กมีส่วนร่วมในการเรียนรู้มากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อการจดจำคำศัพท์และโครงสร้างภาษาอย่างยั่งยืน
สร้างความเข้าใจผ่านบริบท
การเล่าเรื่องแบบ Storytelling ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ภาษาในบริบทที่ชัดเจนและมีความหมาย ลูกจะได้ติดตามเรื่องราวที่มีโครงสร้าง เช่น ลำดับเหตุการณ์และความสัมพันธ์ของเหตุและผล ทำให้เข้าใจความหมายของคำศัพท์และประโยคในสถานการณ์จริงได้ดีขึ้น การเรียนรู้ผ่านบริบทนี้ช่วยให้เด็กๆ ไม่เพียงแต่จำคำศัพท์ได้ แต่ยังเข้าใจวิธีใช้ภาษาอย่างถูกต้องในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้ทักษะภาษาโดยรวมของลูกน้อยพัฒนาขึ้น
กระตุ้นความสนใจและอารมณ์ร่วม
Storytelling มีพลังในการดึงดูดความสนใจของเด็กผ่านเรื่องราวที่น่าติดตามและมีอารมณ์ร่วม เช่น ความตื่นเต้น ความสงสัย หรือความสนุกสนาน ซึ่งช่วยให้เด็กมีความกระตือรือร้นในการฟังและเรียนรู้มากขึ้น การมีอารมณ์ร่วมจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคุณและลูก ทำให้ลูกเปิดใจรับภาษาใหม่ได้ง่ายขึ้น และยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้ภาษา ส่งผลให้การเรียนภาษาเป็นประสบการณ์ที่สนุกและมีประสิทธิภาพ

วิธีฝึก Storytelling ง่ายๆ สำหรับผู้เรียนภาษา
การฝึก Storytelling สำหรับผู้เรียนภาษา โดยเฉพาะเด็กๆ นั้นสามารถทำได้ง่ายและสนุก เพื่อช่วยเสริมทักษะการใช้ภาษาและความมั่นใจในการสื่อสาร ดังนี้
- วางโครงเรื่องง่ายๆ ก่อนเล่า เริ่มต้นด้วยการคิดโครงเรื่องแบบง่ายๆ มีจุดเริ่มต้น กลางเรื่อง และจุดจบ เช่น เล่าเรื่องกิจกรรมในวันหยุด หรือเหตุการณ์ที่ประทับใจ เพื่อให้เด็กเข้าใจลำดับเหตุการณ์และสามารถเล่าเรื่องได้ครบถ้วน
- ใช้ภาษาง่ายและคำศัพท์ที่เด็กรู้จัก เลือกใช้คำศัพท์และประโยคที่เด็กคุ้นเคย เพื่อให้เด็กสามารถเล่าเรื่องได้อย่างมั่นใจและไม่รู้สึกกดดัน การใช้ภาษาที่เหมาะสมช่วยให้เด็กเข้าใจและจดจำได้ดีขึ้น
- ฝึกเล่าเรื่องจากประสบการณ์จริงหรือจินตนาการ กระตุ้นให้เด็กเล่าเรื่องจากสิ่งที่เคยเจอหรือคิดขึ้นเอง เช่น เล่าเรื่องสัตว์เลี้ยง หรือผจญภัยในจินตนาการ วิธีนี้ช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และทำให้เรื่องเล่ามีชีวิตชีวา
- ใช้ท่าทาง น้ำเสียง และการแสดงออก สอนเด็กใช้ท่าทาง สีหน้า และน้ำเสียงประกอบการเล่าเรื่อง เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจอารมณ์ของเรื่องราวได้ดีขึ้น
- ฝึกเล่าเรื่องเป็นกลุ่มและรับฟีดแบ็ก จัดกิจกรรมให้เด็กเล่าเรื่องในกลุ่มเล็กๆ เพื่อฝึกการสื่อสารและรับฟังความคิดเห็นจากเพื่อนๆ การแลกเปลี่ยนนี้ช่วยสร้างความมั่นใจและพัฒนาทักษะการเล่าเรื่องอย่างต่อเนื่อง
- ฟังและเล่าเรื่องตามตัวอย่าง ให้เด็กฟังนิทานหรือเรื่องสั้นที่มีโครงสร้างชัดเจน แล้วลองเล่าเรื่องนั้นซ้ำด้วยคำของตัวเอง เป็นวิธีฝึกที่ช่วยให้เด็กเข้าใจรูปแบบการเล่าเรื่องและพัฒนาภาษาได้ดี
- บันทึกเสียงหรือวิดีโอเพื่อตรวจสอบและปรับปรุง การบันทึกการเล่าเรื่องช่วยให้เด็กเห็นจุดแข็งและจุดที่ควรปรับปรุง เช่น การใช้เสียง น้ำเสียง หรือจังหวะการเล่า และยังเป็นแรงจูงใจให้พัฒนาต่อไป
ตัวอย่าง Storytelling นิทานภาษาอังกฤษที่ใช้สอนได้
มาดูตัวอย่าง Storytelling นิทานภาษาอังกฤษที่เป็นเครื่องมือที่ดีในการสอนภาษาและค่านิยมให้กับเด็กๆ ผ่านเรื่องราวที่น่าสนใจและเข้าใจง่าย นิทานเหล่านี้มักมีโครงสร้างชัดเจน มีตัวละครและเหตุการณ์ที่เด็กสามารถติดตามได้ง่าย พร้อมทั้งสอดแทรกบทเรียนที่ช่วยเสริมสร้างทักษะภาษาและคุณธรรมในตัวเด็ก

1. Little Red Riding Hood (หนูน้อยหมวกแดง)
เรื่องราวของหนูน้อยหมวกแดงเล่าถึงเด็กหญิงคนหนึ่งที่ต้องไปเยี่ยมคุณยาย แต่ระหว่างทางเธอได้พบกับหมาป่าที่เจ้าเล่ห์ซึ่งพยายามจะหลอกล่อและกินเธอและคุณยาย เรื่องนี้สอนให้เด็กๆ ระวังคนแปลกหน้าและรู้จักความกล้าหาญในการเผชิญกับอุปสรรค
นิทานหนูน้อยหมวกแดงใช้เทคนิค Storytelling โดยมีการสร้างความตึงเครียดและความลุ้นระทึก เช่น การพบหมาป่าและการช่วยเหลือจากนายพราน ซึ่งช่วยกระตุ้นความสนใจของเด็กๆ และทำให้พวกเขามีอารมณ์ร่วมกับเรื่องราว นอกจากนี้ยังใช้ภาษาซ้ำๆ และคำพูดที่จำง่าย ช่วยให้เด็กจดจำและฝึกพูดภาษาอังกฤษได้ดี
2. The Tortoise and the Hare (กระต่ายกับเต่า)
นิทานเรื่องกระต่ายกับเต่าเล่าถึงการแข่งขันวิ่งระหว่างกระต่ายที่วิ่งเร็วแต่หยิ่งผยอง กับเต่าที่ช้าแต่มีความพยายามและไม่ยอมแพ้ ผลการแข่งขันแสดงให้เห็นว่า “ช้าแต่ชัวร์” สามารถชนะได้หากมีความตั้งใจและไม่ประมาท
การเล่าเรื่องนี้ใช้วิธี Storytelling ที่เน้นการเปรียบเทียบตัวละครสองตัวที่มีนิสัยต่างกันอย่างชัดเจน พร้อมกับจุดหักมุมที่กระต่ายนอนหลับทำให้เต่าชนะ ซึ่งช่วยให้เด็กเข้าใจบทเรียนชีวิตผ่านเรื่องราวที่สนุกสนานและน่าติดตาม อีกทั้งยังใช้ภาษาง่ายและประโยคซ้ำเพื่อเสริมการจดจำ

3. Goldilocks and the Three Bears (สาวน้อยกับหมีสามตัว)
สาวน้อยกับหมีสามตัว นิทานเรื่องนี้เกี่ยวกับสาวน้อยโกลดิล็อกซ์ที่เข้าไปในบ้านของหมีสามตัวและทดลองใช้ของใช้ต่างๆ ของพวกเขา เช่น เก้าอี้ ข้าว และเตียง แต่ละอย่างมีขนาดแตกต่างกันจนเธอพบสิ่งที่ “พอดี” กับตัวเอง เรื่องนี้สอนให้เด็กเรียนรู้เรื่องความเคารพทรัพย์สินของผู้อื่นและการตัดสินใจที่เหมาะสม
การเล่าเรื่องนี้ใช้เทคนิค Storytelling โดยมีการเล่าเรื่องที่ชัดเจนและมีลำดับเหตุการณ์ซ้ำๆ เช่น การลองใช้ของสามชิ้นที่แตกต่างกัน ซึ่งช่วยให้เด็กเข้าใจโครงสร้างเรื่องและฝึกใช้คำศัพท์ มีเทคนิคที่ทำให้เรื่องน่าจดจำและง่ายต่อการเล่า
4. The Three Little Pigs (ลูกหมูสามตัว)
ลูกหมูสามตัว เรื่องราวของลูกหมูสามตัวที่สร้างบ้านด้วยวัสดุต่างๆ เพื่อป้องกันหมาป่าที่พยายามจะทำลายบ้านของพวกเขา นิทานนี้สอนเรื่องความขยันและการเตรียมตัวล่วงหน้าเพื่อความปลอดภัยและความสำเร็จในชีวิต
นิทานนี้เล่าเรื่องแบบ Storytelling โดยใช้โครงสร้างที่ชัดเจนและมีจังหวะซ้ำๆ เช่น หมาป่าที่พยายามเป่าบ้านแต่ละหลัง ทำให้เด็กๆ รู้สึกตื่นเต้นและติดตามเรื่องราวได้ง่าย การใช้ภาษาที่เรียบง่ายและประโยคสั้นๆ ช่วยให้เด็กเข้าใจและสามารถเล่าเรื่องต่อได้

5. The Lion and the Mouse (สิงโตกับหนู)
นิทานเรื่องสิงโตกับหนู เล่าถึงหนูที่ช่วยชีวิตสิงโตเอาไว้ แม้หนูจะตัวเล็กแต่ก็ทำทุกวิถีทาง จนในที่สุดก็ช่วยสิงโตได้ เรื่องนี้สอนให้เด็กๆ รู้จักคุณค่าของความเมตตาและการช่วยเหลือกันไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่
การเล่าเรื่องนี้ใช้เทคนิค Storytelling ที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พร้อมกับบทเรียนที่ชัดเจนและง่ายต่อการเข้าใจ เรื่องราวมีความอบอุ่นและสร้างอารมณ์ร่วม ทำให้เด็กๆ รู้สึกประทับใจและเรียนรู้คุณธรรมผ่านนิทาน
สรุป
การเล่านิทานแบบ Storytelling ให้เด็กๆ ฟังไม่ใช่แค่การอ่านเรื่องราว แต่เป็นการผจญภัยร่วมกัน หัวใจสำคัญคือการผูกเรื่องให้น่าสนใจ มีจุดพลิกผันที่น่าตื่นเต้น และทำให้เด็กๆ อยากรู้อยากเห็นไปตลอดเรื่อง ที่สำคัญไม่แพ้กันคือภาษากายของผู้เล่า ทั้งท่าทาง การใช้มือ และสายตา ล้วนมีผลอย่างมาก เพราะเด็กๆ มักตัดสินจากสิ่งที่เราแสดงออกและน้ำเสียง ดังนั้น การฝึกจัดระเบียบร่างกายและแสดงอารมณ์ผ่านท่าทาง จะช่วยให้การเล่านิทานดึงดูดใจและทำให้เด็กๆ มีส่วนร่วมได้อย่างเต็มที่
พาลูกๆ มาฝึกภาษาด้วยการเรียนรู้ผ่านการเล่าเรื่องแบบ Storytelling พร้อมฝึกพัฒนาการให้กล้าแสดงออก พร้อมเข้าสังคมได้ที่ Speak Up สถาบันสอนภาษาอังกฤษและภาษาจีน เหมาะสำหรับเด็กเล็ก 1.5 – 12 ปี มีการประยุกต์การสอนแบบมอนเตสซอรี่ (Montessori) โดยคุณครูมืออาชีพที่มีประสบการณ์และมีเทคนิคการสอนภาษาสำหรับเด็กเล็ก
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Storytelling (FAQ)
มาไขข้อข้องใจเพิ่มเติมด้วยคำตอบจากคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Storytelling กัน!
Storyline คืออะไร?
Storyline คือโครงเรื่องหรือเส้นเรื่องหลักที่เชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ ภายในเรื่องเข้าด้วยกันอย่างมีลำดับและความหมาย เป็นกรอบที่ช่วยให้เรื่องราวมีทิศทางชัดเจนและผู้ฟังติดตามได้ง่าย
เทคนิคการเล่าเรื่องให้สนุกมีอะไรบ้าง?
เทคนิคการเล่าเรื่องให้สนุก ได้แก่ การเปิดเรื่องให้น่าตื่นเต้น ดึงความสนใจด้วยเหตุการณ์หรือปมที่น่าสนใจ เล่าเรื่องอย่างมีจังหวะ ใช้เสียง น้ำเสียง และภาษากายประกอบ รวมถึงการสร้างตัวละครที่มีมิติและความขัดแย้งในเรื่อง เพื่อกระตุ้นอารมณ์ร่วมของผู้ฟัง
องค์ประกอบของ Storytelling มีอะไรบ้าง?
องค์ประกอบหลักของ Storytelling ได้แก่ ตัวละครที่น่าสนใจ เหตุการณ์หรือปัญหาที่ต้องเผชิญ โครงเรื่องที่มีจุดเริ่มต้น กลางเรื่อง และจุดจบ รวมถึงบทสรุปหรือบทเรียนที่ชัดเจน นอกจากนี้ยังต้องมีการสร้างอารมณ์ร่วมและความเชื่อมโยงกับผู้ฟังเพื่อให้เรื่องเล่ามีพลังและน่าจดจำ